เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 54 - 2 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 54 - 2 มนต์เสน่ห์แห่งราชินี
บนเวทีสูงเงียบสงบ เดิมทีขุนนางกองพิธีการยังต้องอธิบายประวัติศาสตร์ต้าฮวงอีกมากมายและอธิบายคุณูปการของผู้ปกครองที่ปรีชาสามารถแต่ละสมัยในอดีต ยามนี้ล้มลงไปต่อกันสองท่านจึงไม่มีผู้ใดมีกะจิตกะใจจะกล่าววาจายาวยืดแล้ว ผู้ชราหมวกสูงที่ใบหน้าเ**่ยวย่นงามสง่าผู้หนึ่งออกจากแถวโดยพลัน โค้งคำนับเล็กน้อย เอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงได้รับความเมตตาแลภารกิจยิ่งใหญ่จากเบื้องบนให้ทรงสยบทั่วสารทิศ ฝ่ายกระหม่อมขอฝ่าบาททรงแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ให้ขุนนางและราษฎรต้าฮวงของเราได้อาบไล้แสงพร่างพราวแห่งคุณธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนพอเห็นผู้ชรานั้นออกมาต่างผุดเผยสีหน้าเคารพเลื่อมใส ทยอยเอ่ยว่า “มหาปราชญ์ออกหน้าทดสอบด้วยตนเอง ต้องน่าชมเป็นแน่”
สิ่งที่เรียกว่าปราชญ์คือตำแหน่งเกียรติยศรูปแบบหนึ่งของต้าฮวง โดยทั่วไปแล้วรับตำแหน่งโดยข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลังเกษียณที่ดูแลมหาอำนาจหลายปี ความปราดเปรื่องโดดเด่นเป็นขุนนางสุจริต เสียงสรรเสริญในหมู่ราษฎรดียิ่ง คนเหล่านี้ตำแหน่งบริสุทธิ์สูงส่ง อิทธิพลและบารมีล้ำเลิศ เทียบได้กับท่านประธานผู้มีชื่อเสียงในปัจจุบันเทือกนั้น
จิ่งเหิงปัวฟังวาจาสุภาพเรียบร้อยประโยคหนึ่งนี้ คาดเดาต่างๆ นานาว่าคงจะให้นางแสดงความสามารถเพื่อพิสูจน์ว่า “มีคุณธรรมความสามารถสำหรับเป็นราชินีหรือเปล่า” ล่ะมั้ง
เพียงแต่การทดสอบที่ขังอยู่ในห้องมืดแบบนี้จะมีผลลัพธ์ยุติธรรมได้จริงหรือ คนที่ไม่ชอบนางกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่านางจะทำอย่างไรล้วนตัดสินว่าคะแนนติดลบไล่ออกไป นางยังมีจุดจบที่ดีเหรอ
“ในเมื่อเป็นการทดสอบ จะหลบๆ ซ่อนๆ ขนาดนี้ทำอะไร” นางกระหวัดนิ้วมือพลางกล่าวว่า “ไม่กลัวโกงหรือ”
“ฝ่าบาททรงหมายถึง…” ใบหน้าของมหาปราชญ์แข็งทื่อ
“จะทดสอบก็ทดสอบอย่างเปิดเผย! จะชมทุกคนก็ชมด้วยกัน!” จิ่งเหิงปัวสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งทันที กล่าวเสียงดังว่า “เปิด!”
เสียงสวบเสียงหนึ่งดังขึ้น ม่านกั้นหลากสีผืนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้านางพอดีร่วงลงมาจากราวดังพึ่บพั่บ แสงอาทิตย์ผ่องอำไพกลุ่มหนึ่งสาดเข้ามา
เสียงร้องเสียงตะโกนของราษฎรที่แออัดอยู่ด้านนอก รอคอยอยู่ตรงหน้าม่านกั้นหลากสี แทบจะพุ่งเข้ามาปานคลื่นธารโดยพลัน
“เหล่าราษฎรของข้า!” จิ่งเหิงปัวยื่นมือทอดไปยังฝูงชนดำขลับเบื้องล่างพลางกล่าวว่า “เจิ้นไม่เพียงแต่เป็นราชินีแห่งราชสำนัก ราชินีแห่งหกแคว้นแปดชนเผ่า แต่ยังเป็นราชินีของพวกเจ้า! เจิ้นจะรับผิดชอบราชสำนัก รับผิดชอบขุนนาง แต่ยังจะรับผิดชอบราษฎรต้าฮวงนับหมื่นหมื่นคน! ปลดม่านกั้นบ้าบอพวกนี้ลง เจิ้นอนุญาตให้พวกเจ้ายืนดูการทดสอบครั้งหนึ่งนี้อยู่ข้างๆ! ข้าคู่ควรจะเป็นราชินีหรือไม่ พวกเจ้า…” นางชี้ไปยังฝูงชน กล่าวต่อไปว่า “เป็นผู้ตัดสิน!”
ราษฎรร้องเฮเสียงหนึ่งดุจถูกอสนีบาตฟาดเปรี้ยง…ต้าฮวงสถาปนาแคว้นหลายร้อยปี มวลชนสำนึกตนว่าอยู่ในชนชั้นใต้ปกครอง อดกลั้นความไม่เสมอภาคหลากหลายรูปแบบจนเคยชิน ไม่เคยมีผู้ให้ความสำคัญกับพวกเขาเลย ไม่เคยมีผู้รับฟังความเห็นของพวกเขาเลย ไม่เคยมีผู้นำความคิดประเภท “ไพร่ฟ้าสำคัญ บ้านเมืองด้อยค่า” นั้นถ่ายทอดสู่ในใจพวกเขาเลย สิ่งที่ขวางกั้นมวลชนไม่เพียงแค่ม่านกั้นผืนหนึ่งแต่คือรั้วแห่งชนชั้นที่มิอาจสั่นคลอนในหลายร้อยปีมานี้
ทว่าราชินีองค์ใหม่ในวันนี้ แต่ละกิริยาวาจาเปี่ยมด้วยแสงรุ่งโรจน์แห่งอิสรเสรีและเสน่ห์โดยธรรมชาติ ดุจสายลมสดชื่นแลสว่างไสวสายหนึ่งพลันพัดผ่านในดวงใจของราษฎรต้าฮวง พัดพาความเคยชินเลวร้ายประเพณีคร่ำครึไปด้วย เปลี่ยนแปลงเป็นคลื่นความคิดปรารถนาจะตัดสินใจเองลูกใหม่
“ปลดพวกมันลง! ฝ่าบาทตรัสว่าปลดพวกมันลง!” แทบจะโดยพลัน ราษฎรนับมิถ้วนก็กระโดดขึ้นมา ข้ามผ่านองครักษ์ที่ขัดขวาง ปลดม่านกั้นหลากสีที่ห้อยสยายบนที่สูงเหล่านั้นลง
ในฝูงชนกลุ่มของอีชีกระทำอย่างทุ่มเทเต็มที่…พวกเขาลอยล่องบนที่สูง ปลายเท้าเตะเพียงครั้ง ม่านกั้นหลากสีกว้างเกือบจั้งผืนหนึ่งก็ร่วงหล่นอย่างเงียบเชียบ
“ภรรยาข้าเอ่ยว่าจะเก็บผ้าม่าน” อีชีเอ่ยกับองครักษ์ที่ขัดขวางอย่างจริงจัง
“ฝนตกฟ้าร้องเก็บเสื้อผ้าด้วย!” เหล่าผู้มีฝีมือสูงตะโกนอย่างเบิกบานว่า “ผู้ใดเก็บได้ว่องไวผู้นั้นสมรสกับนาง!”
…
ม่านกั้นหลากสีที่ล้อมเวทีรอบด้านร่วงลงจนสิ้น แสงอาทิตย์สาดส่องแพรวพราวกว้างขวาง กำแพงไร้รูปร่างด้านหนึ่งซึ่งขวางกั้นระหว่างราษฎรและชนชั้นสูงนั้นถูกทำลายอย่างเยือกเย็นเป็นครั้งแรก
สีหน้าของฝูงขุนนางหลากหลายยิ่งนัก…ท่าทางของจิ่งเหิงปัวเร็วเกินไป ไม่มีเวลาให้ทุกคนคัดค้านโดยสิ้นเชิง การใช้พลังเคลื่อนย้ายปลดม่านกั้นหลากสีที่นางเผยให้เห็นครั้งหนึ่งนั้นทำให้ทุกคนตื่นตะลึงเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากเริ่มครุ่นคิด ราชินีมีวรยุทธลึกล้ำหรือ
จิ่งเหิงปัวมองดูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แท้จริงแล้วหางตาเพ่งไปที่กงอิ้นกับเหยียลี่ว์ฉีตลอดเวลา
นางพบว่ากงอิ้นไม่ค่อยใส่ใจการกระทำของนางเท่าไร ทว่าบางครั้งสายตาเฉียดผ่านหน่วยองครักษ์รอบด้านกลางฝูงชน ส่วนเหยียลี่ว์ฉีจ้องกงอิ้นเขม็งโดยตลอด ความสนใจที่มีต่อกงอิ้นคล้ายจะมากกว่าความสนใจที่มีต่อนางเสียอีก
เหมิงหู่เดินไปข้างกายกงอิ้นอย่างเงียบเชียบ หางตาของกงอิ้นวูบไหวลอยล่องไป เหมิงหู่พยักหน้าเพียงน้อยจนแทบมองไม่ออก
ทุกสิ่งพร้อมแล้ว รับมือสถานการณ์ตลอดเวลา
เหยียลี่ว์ฉีดีดนิ้วแผ่วเบา องครักษ์ที่สัปหงกผู้หนึ่งข้างกายเขายื่นศีรษะเข้าไปคล้ายมิได้ตั้งใจแลคล้ายกำลังหาว ทว่ายื่นปากไปยังข้างหูเขา
“ใต้เท้า” องครักษ์กระซิบว่า “ข้างล่างรายงานขึ้นมาแล้ว กงอิ้นมีความเคลื่อนไหวผิดปกติจริงแท้ เขาโยกย้ายหลงฉีกับคั่งหลง สายสืบจอมอุบายวันนี้ก็ทุ่มเทกำลังรุกเคลื่อนพลขอรับ”
สายตาของเหยียลี่ว์ฉีแฉลบผ่านด้วยรอยยิ้มสายหนึ่งคล้ายอยู่ในการคาดการณ์ แลคล้ายประหลาดใจเล็กน้อย
“นึกไม่ถึงว่าเขาจะทำจริง…” เขาทอดถอนใจเพียงน้อย ทว่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยพลัน เอ่ยสืบต่อว่า “ในเมื่อเขาอยากจะกระทำเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนดินสักหน่อย พวกเราก็จับจ้องให้มั่นสักนิด รอจับผิดเขาก็พอ”
“ขอรับ”
“อีกทั้ง…” สายตาของเหยียลี่ว์ฉีเฉียดผ่านกลางฝูงชน ที่นั่นมีสายตาเยือกเย็นโกรธแค้นสายหนึ่งติดตามเขาโดยตลอด ผู้นั้นคือผู้นำของเผ่าจั๋นอวี่ บิดาของจั้นเจวี๋ยนามจั้นซิน
“ชราแล้วไม่ยอมสิ้นชีพคือผู้ชั่วช้า…” เขาพึมพำ สายตาปะทะกับจั้นซิน ภายใต้สายตาโกรธแค้นของอีกฝ่ายจ้องเขม็ง เขาผุดเผยรอยยิ้มไร้เดียงสาแลสุภาพอ่อนโยน
“รีบเร่งถลึงตา หากไม่ถลึงตาประเดี๋ยวจะไม่มีโอกาสแล้วนะ…”
องครักษ์ที่สัปหงกอย่างเกียจคร้านพลันหดลำคอกลับไป คล้ายว่านอนหลับไปอีกครั้ง ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่ เงาร่างซบอยู่อย่างไม่สะดุดตานั้นของเขาก็หายไปจากข้างกายเหยียลี่ว์ฉี…
ล่างเวทีสายลมสายคลื่นลอบสาดซัด บนเวทีกำลังยกตนข่มท่าน
จิ่งเหิงปัวปลดม่านกั้นหลากสีลงโดยไม่ได้ปรึกษา ทำให้เหล่าขุนนางรับมือไม่ทัน แอบรู้สึกได้เลือนรางถึงความเผด็จการที่กระทำสิ่งใดไร้ลำดับของราชินีองค์ใหม่ จากนั้นเหล่าขุนนางจึงรู้สึกว่า ทำเช่นนี้ย่อมมีข้อดีของการทำเช่นนี้ คนเยอะความกดดันมาก ภายใต้สถานการณ์ที่มีผู้คนมากมายความพ่ายแพ้ของนางจะยิ่งอัปยศอดสูขึ้น ยิ่งมิอาจหวนคืนมากยิ่งขึ้น
มหาปราชญ์คุกเข่านั่งฝั่งตรงข้ามของจิ่งเหิงปัว เริ่มไถ่ถามอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย
“ทูลถามฝ่าบาททรงมีความสามารถพิเศษใดแสดงให้ประจักษ์พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งเหิงปัวเท้าแก้ม กล่าวว่า “พวกเจ้าคิดว่าสิ่งใดคือความสามารถพิเศษ”
ปราชญ์ไตร่ตรองชั่วครู่
“ฝ่าบาททรงมีฝีมือวรยุทธหรือไม่ พลังวรยุทธที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่จะทำให้ขุนนางและราษฎรรู้สึกว่าได้รับการปกปักรักษาพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี! สตรีนางหนึ่งรบราฆ่าฟันจะน่าชมหรือ การฝึกวรยุทธจะทำให้ผิวพรรณนุ่มนวลของข้าเสียหาย!”
“ฝ่าบาททรงแต่งบทกลอนบทกวีเป็นหรือไม่ ความรู้ความสามารถที่ล้ำเลิศจะสามารถชี้นำขุนนางและราษฎรไปสู่ทิศทางข้างหน้าได้พ่ะย่ะค่ะ”
“โนจั้วโนดาย[1] ข้ารู้สึกว่ากลอนประโยคนี้ดียิ่งนัก ถ่ายทอดสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ เหล่าขุนนางและราษฎร โดยเฉพาะพวกเจ้าพอฟังแล้วก็จะไม่รนหาที่ตายอีกแล้ว”
“…ฝ่าบาทวาจาลึกซึ้ง ขอทรงอธิบายให้แจ่มแจ้งด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“สติปัญญาที่อยู่เหนือกาลเวลานับร้อยนับพันปีน่ะ ลิขิตของเจ้ามิอาจหวนคืน” จิ่งเหิงปัวทอดถอนใจ กล่าวว่า “ช่างเถิด เอ่ยภาษามนุษย์ ไม่เป็น! ข้อต่อไป!”
“ฝ่าบาทเชี่ยวชาญหนังสือนโยบายหรือไม่ จักรพรรดิผู้ชำนาญเหตุการณ์ปัจจุบันสามารถมอบนโยบายบริหารปกครองแคว้นที่แจ่มแจ้งที่สุดให้แคว้นพ่ะย่ะค่ะ”
“หนังสือนโยบายคือสิ่งใดหรือ ข้าน่ะมีคัมภีร์บ้ากามที่ยอดเยี่ยมเล่มหนึ่ง จัดแบ่งพ่อรูปงามทั่วโลกหล้าเป็นสี่ประเภทใหญ่สิบหกประเภทย่อย จัดลักษณะพิเศษที่พ่อรูปงามแต่ละสายมีเป็นข้อๆ อย่างละเอียดยิ่งนัก แลดำเนินการวิเคราะห์ที่สมบูรณ์แบบจากแง่มุมราศี นักษัตรเป็นต้น…ช่างเถิดเจ้ามองข้าเยี่ยงนี้ทำอะไร ไม่เชี่ยวชาญ! ข้อต่อไป!”
“ฝ่าบาทเข้าใจตำราพิชัยสงครามหรือไม่ พลังการทหารที่เข้มแข็งยิ่งใหญ่คือพื้นฐานของการสถาปนาแคว้นแคว้นหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ในสามสิบหกกลยุทธ์หนีคือสุดยอดกลยุทธ์นับหรือไม่”
…