เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 61 - 2 เสน่ห์ล้นเหลือ
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 61 - 2 เสน่ห์ล้นเหลือ
ย่ำยีอยู่เนิ่นนานเพิ่งนึกเรื่องสนุกสนานขึ้นมาได้ นางปล่อยกงอิ้นลงไปหันข้างให้นาง จัดท่วงท่างอศอกเท้าแก้ม รวบผมยาวของเขาไว้แล้วดึงคอเสื้อลงไปข้างล่าง
เส้นผมระหว่างนิ้วเรียบลื่นดุจต่วน นางขยี้อย่างรุนแรง
ในลำแสงขาวโพลนมัวสลัว คนผู้นี้คือโฉมสะคราญอรชรดั่งไห่ถัง[1]นิทรายามวสันต์ชัดๆ เลย
จิ่งเหิงปัวเกิดอารมณ์ขับกลอน ท่องเสียงสูงว่า “บุษบาลาวัณย์ทรวงสำราญ[2] หากโหลวหลานมิพ่ายไร้หวนคืน[3]” ไปพลาง คว้าโพลารอยด์ออกมาจากกระเป๋าช่วงเอวไปพลาง
บุกวังบรรทมของกงอิ้นตอนกลางคืน เดิมทีนางมีความคิดออกล่าหาของแปลกอยู่แล้ว อยากจะเข้าใจโครงสร้างที่พักอาศัยของเขาให้มากขึ้น ฉะนั้นจึงนำเจ้าของสิ่งนี้มาด้วย
ปรับจุดโฟกัส แชะ!
ในพริบตาหนึ่งที่กดชัตเตอร์นั้น กงอิ้นที่เงียบสงบไร้เรี่ยวแรงมาโดยตลอดก้มศีรษะลงมาเล็กน้อยโดยพลัน
ผมยาวร่วงสยายลงมาบดบังใบหน้าไว้
ลำแสงไม่ดี จิ่งเหิงปัวก็ไม่ได้ดูภาพถ่าย ชูภาพถ่ายไว้หัวเราะก๊ากๆ อย่างลำพองใจ
“กงอิ้น นับแต่วันนี้ไปจุดอ่อนของเจ้าน่ะอยู่ที่ข้าแล้ว ภาพหลุดเฉินกวนซี[4]ฉบับต้าฮวง! ฮ่าๆ ฮ่าๆ วันหลังเชื่อฟัง! เด็กดี!”
“เล่นพอหรือยัง” กงอิ้นเอ่ยวาจาในที่สุด เอ่ยสืบต่อว่า “เล่นพอแล้วออกไป ภายในสิบสองชั่วยามนี้บัญชาคนเฝ้าประตูข้าให้ดี แลเอ่ยว่าข้ากำลังปิดตำหนักไม่รับแขก หยุดจัดการกิจธุระทุกเรื่องชั่วคราว”
“เจ้าควรเอ่ยว่าราชินีที่เคารพ ขอพระองค์ทรงช่วยกระหม่อมบอกกล่าวเหมิงหู่ว่าภายในหนึ่งวันนี้กระหม่อมไม่อาจทำงานได้ รอให้กระหม่อมหายดีแล้วจะทำงานนอกเวลานะพ่ะย่ะค่ะจุ๊บๆ”
จิ่งเหิงปัวเก็บภาพถ่ายไว้อย่างอารมณ์ดียิ่ง กล่าวว่า “เฮ้อ ข้ารู้สึกขึ้นมาว่าภาพนั้นเมื่อครู่ยังสะท้านใจไม่พอแฮะ”
กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาอีกแล้ว ผมสีดำขลับปรกยุ่งเหยิงบนหน้าผาก ขนตาประสานกันเพียงน้อย ท่วงท่ายามนี้คือมนตร์เสน่ห์แห่งความเกียจคร้านที่ยามปกติไม่อาจมีอยู่
จิ่งเหิงปัวคลานลงจากเตียง เดินวนรอบหนึ่งแล้วกลับมาอย่างผิดหวัง ส่ายหน้าพึมพำว่า “ถ้าไม่มีเทียนไขแส้หนัง ไร้หนทางจัดองค์ประกอบภาพจริงด้วย รู้อยู่แล้วว่าเจ้าคงไม่มีสิ่งของน่าสนใจขนาดนี้…”
นางพึมพำไปพลางสะบัดผ้าปูเตียงเนื้อโปร่งออกไปพลาง ฉีกผ้ามั่วซั่วเป็นเส้นใหญ่หลายเส้น พิจารณาสายผ้าครุ่นคิดถึงวิธีการมัด
แบบจีน? แบบยุโรป? แบบญี่ปุ่น? แบบไหนก็มัดไม่เป็นสักแบบ
ท่วงท่าอะไรก็ได้มาสักท่าแล้วกัน ถึงอย่างไรก็แค่อยากถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ตอนจำเป็นอาจจะเป็นไพ่ตายได้เลยนะ ตอนทะเลาะวิวาทหยิบออกมาฆ่าความน่าเกรงขามของเขาสักหน่อยก็ดีแฮะ ไม่เชื่อหรอกว่าเขาดูภาพถ่ายแบบนี้ของตนเองแล้วยังทำท่าทางสูงส่งยิ่งใหญ่เปี่ยมคุณธรรมได้อีก?
ไม่แน่ว่านับจากนี้ไปลมประจิมจะสยบลมบูรพา[5]ได้แล้ว
อย่างไรก็มัดมั่วซั่วสักหน่อยแล้วกัน
จิ่งเหิงปัวยุ่งวุ่นวายจัดท่ากงอิ้นเป็นรูปอักษรต้า[6] แขนขาแยกออก มัดกับเสาเตียงสี่ทิศอย่างง่าย
กงอิ้นไม่ได้ดิ้นรน ความจริงแล้วเขาเองดิ้นรนไม่ได้ ตอนจิ่งเหิงปัวขยับเขยื้อนร่างกายเขาก็รู้สึกได้ตั้งนานแล้ว ค่ำวันนี้ร่างกายเขาอ่อนแออย่างมาก ไม่มีเรี่ยวแรงสักสาย ทำได้แต่การเคลื่อนไหวที่ง่ายที่สุดบางอย่าง บนผิวกายยังมีหยาดเหงื่อซึมออกมาบ่อยครั้งคล้ายกำลังเคลื่อนวรยุทธขับพิษโดยตลอด ไม่มีจิตใจจะสนใจการทำทุกอย่างตามอำเภอใจของนาง
จิ่งเหิงปัวหรี่ตา ตื่นเต้นดีใจจนมือสั่นเทา…มหาเทพที่เรือนร่างอ่อนยวบนอนหลับสลบไสลแล้วแต่คนอื่นจะจัดวาง ยั่วยวนจังเลยยั่วยวนจัง!
การ์ตูนที่ลายเส้นสวยงามที่สุดยังวาดสภาพอ่อนโยนนั้นออกมาไม่ได้ ผู้ที่ในยามปกติหลีกเลี่ยงละเว้นประหนึ่งภูเขาน้ำแข็ง หลังจากถอดอาวุธน้ำแข็งหิมะพลันมลายหายดุจธารวสันต์ ความแตกต่างมากจนนางเกือบจะเลือดกำเดาพุ่ง!
จิ่งเหิงปัวได้เห็นเป็นบุญตา ความโกรธแค้นอะไรหายไปแล้ว หัวเราะคิกๆ คุกเข่าอยู่บนเตียง ถ่ายซ้ายถ่ายขวา เล่นอย่างสนุกสนาน รู้สึกทันทีว่าในภาพถ่ายมีเพียงกงอิ้นไม่มีแรงโจมตีขนาดนั้น เพิ่มตนเองที่แข็งแกร่งเกรียงไกรเข้าไปถึงจะดีที่สุด
ทำอย่างไรทั้งสองคนถึงเข้าเลนส์กล้องในขณะเดียวกันได้ล่ะ? นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นั่งลงข้างกายกงอิ้น มือหนึ่งทำท่ามีดพาดบนลำคอเขา อีกมือหนึ่งยกโพลารอยด์ขึ้น
แชะภาพหนึ่ง
พลิกกายกึ่งคุกเข่า บีบคอหอยเขาไว้แผ่วเบา
แชะภาพหนึ่ง
นอนตรงข้อพับเขา ข้อศอกพาดอยู่บนลำคอเขา
แชะอีกภาพหนึ่ง
“ดูสิ ดูสิ” นางถ่ายรูปไปพลาง กล่าวอย่างอวดเก่งไปพลางว่า “ภายหลังเจ้าทำตัวน่ารำคาญอีกสิ? ภายหลังเจ้าสูงส่งเย็นชาอีกสิ? หวนนึกถึงภาพถ่ายหวาบหวิว ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะดำดินมุดโคลนไม่ได้เงยหน้าอีกเลย”
กงอิ้นลืมตาขึ้นโดยพลัน สองมือปัดป่ายคล้ายกำลังดิ้นรนลุกขึ้น
จิ่งเหิงปัวตกใจจนมือสั่น โพลารอยด์ร่วงหล่นบนหน้าอกกงอิ้น นางรีบเร่งหันกายไปเก็บ ชนเข้ากับร่างกงอิ้นดังพลั่กเสียงหนึ่ง
ใบหน้าฉวยโอกาสซุกลงไปยังที่ซึ่งอ่อนนุ่มเยือกเย็นแห่งหนึ่ง
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวแข็งทื่อ
ลมหายใจบัวหิมะบนผาสูงที่คุ้นเคย มนตร์เสน่ห์ที่เยือกเย็นบริสุทธิ์ ผิวกายเกลี้ยงเกลาดุจหยกที่คุ้นเคย ริมฝีปากนุ่มลื่นเล็กน้อย…ที่คุ้นเคย
นางแทบจะจินตนาการได้ว่าริมฝีปากนวลนุ่มแดงซ่านยิ่งนักซึ่งเป็นของเขาถูกนางโถมทับแนบแน่นจนกลายเป็นเส้นเดียว…
โครงเรื่องแนวซินเดอเรลล่าขั้นย่ำแย่แวบสู่สมองในพริบตา คล้ายว่าท่วงท่าต่อไปควรเป็น “โลดแล่นสุดสาย ปลายลิ้นเที่ยวท่อง?”
ยังไม่ทันได้รอให้นางคิดเสร็จว่าจะแสดงตามบทละครอย่างซื่อตรงดีไหม ข้างกายมีมือข้างหนึ่งยกขึ้นกะทันหัน คว้าโพลารอยด์ที่ร่วงลงไปขึ้นมาจากขอบเตียง เอนเอียงหันมาทางตนเองแล้วกดชัตเตอร์
“แชะ”
จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างมองดูมือข้างขวาที่ไม่รู้ว่าหลุดพ้นจากการผูกมัดตอนไหนของกงอิ้นกำลังถือโพลารอยด์ถ่ายรูปตนเองอย่างสบายอกสบายใจ
เขาใช้เป็นได้อย่างไร?
สมองของผู้ชายพวกนี้เป็นเครื่องบินขับไล่เหรอ?
“ฉึบ” เสียงหนึ่งดังแผ่วเบา ภาพถ่ายค่อยๆ ปล่อยออกมา ในใจจิ่งเหิงปัวรู้ว่ามุมของภาพถ่ายนี้ต้องมีปัญหาแน่จึงยื่นมือยื้อแย่ง การเคลื่อนไหวของกงอิ้นเร็วกว่านางเสมอ นิ้วมือดีดเพียงครั้ง ภาพถ่ายลอยออกไป ทะลุผ่านกระโจมสูญสลายสู่ส่วนลึกของตำหนักใหญ่ดังสวบเสียงหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงมองดูภาพถ่ายสูญหายไป รู้ว่าชาตินี้ถ้าอยากจะหาภาพถ่ายภาพนั้นเจอคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
กงอิ้นเจ้าคนโคตรใจดำ ไม่แปลกเลยที่ก่อนหน้านี้จะไม่สนใจอะไรเลยสักนิด!
ท่วงท่าเสแสร้งท่าหนึ่ง หลอกให้นางส่งจูบด้วยตนเองซ้ำยังถูกถ่ายภาพส่งจูบ อยากเอาเปรียบยังเอาเปรียบไม่ได้ กลับถูกเขาเอาเปรียบเสียแล้ว
“เฮ้” นางไม่ยอมถอดใจ หยิกลำคอเขาถามว่า “เมื่อครู่เจ้าถ่ายสิ่งใดไป? เจ้าภาคภูมิใจอะไร? เจ้าถูกทับอยู่ใต้ร่างข้าถูกข้าย่ำยี ถ่ายออกมามีศักดิ์ศรีนักหรือ?”
“ถ่ายใบหน้าแบะปากฝืนส่งจุมพิตของเจ้าไว้” กงอิ้นเอ่ยอย่างสงบเยือกเย็นว่า “แน่นอนว่าไม่มีใบหน้าของข้า”
จิ่งเหิงปัวโกรธแค้น นิ้วมือกดลงไปบนริมฝีปากเขาอย่างรุนแรง กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าจะทำให้เจ้าอึดอัดจนสิ้นชีพ…”
กงอิ้นไม่เอ่ยวาจา ดวงตาดำขลับจ้องมองนาง นัยน์ตาหนักแน่นดุจธารลึก นางมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในนัยน์ตาเงียบสงบเช่นนั้น ในใจพลันกระตุกวูบทั้งเต้นตึกตัก นิ้วมือพลันรู้สึกร้อนผ่าว แล้วพลันรู้สึกว่าริมฝีปากของเขานุ่มขนาดนี้ทั้งขัดแย้งทั้งกลมเกลียวกับอุปนิสัยปานน้ำแข็งหิมะของเขา ซ้ำยังพลันนึกถึงการโถมทับเมื่อครู่ครั้งหนึ่งนั้น กลิ่นหอมอ่อนจางของเขาโชยมาสะกดผู้คน สงบเงียบและลึกซึ้งยาวไกล…
นางร่นนิ้วมือ หันหน้ามานั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง กุมภาพถ่ายปึกหนึ่งรวบไว้แล้วเปิดออก เปิดออกแล้วรวบไว้ในมือประหนึ่งไพ่โป๊กเกอร์
กงอิ้นยังไม่สนใจนาง หลับตาพักผ่อนร่างกาย พลันเอ่ยว่า “ในน้ำแกงมีเทียนซือซั่นหรือ?”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ เสียงหนึ่ง กล่าวว่า “เดิมทีวางแผนจะจัดการเหยียลี่ว์ฉี เจ้าจะแย่งไปให้ได้ สมน้ำหน้า”
กงอิ้นกลับไม่ได้โกรธเคือง บนใบหน้าค่อยๆ ผุดเผยสีแดงอ่อนสายหนึ่ง สีหน้าท่าทางค่อนข้างพึงพอใจ
จิ่งเหิงปัวมองแวบหนึ่งก็รู้ว่าโรคซุ่มเงียบของบางคนกำเริบ ไม่ใช่ด้วยเพราะแน่ใจว่าคนที่นางอยากจัดการคือเหยียลี่ว์ฉีเหรอ
“ข้าจะมาดูว่าเจ้าสิ้นชีพหรือยัง หากสิ้นชีพแล้วจะหาคนมาเก็บศพให้เจ้า” นางทำหน้าบูดบึ้งคลานไปข้างล่าง กล่าวว่า “เพียงแต่ยามนี้ดูท่าคงไม่ต้องแล้ว”
“หนึ่งวัน” กงอิ้นเอ่ย
“หืม?”
“เทียนซือซั่นออกฤทธิ์สามวัน ทว่าข้าต้องการเพียงหนึ่งวัน เดิมทีสามชั่วยามก็พอแล้ว ทว่ายามข้าเคลื่อนวรยุทธ์พลันถูกคนขัดจังหวะ หายใจติดขัด ชั่วยามจึงยืดยาวออกไป”
จิ่งเหิงปัวแค่นเสียงหนึ่ง
“เช่นนั้นเจ้าก็นอนสักวันสิ” นางจะเดินจากไปต่อ
“ในวันหนึ่งนี้” กงอิ้นเอ่ยต่อไปเสียเองว่า “จะมีขุนนางในราชสำนักเกินร้อยเดินทางมาพบมาขอคำแนะนำเรื่องการงาน จะมีสมุดพับนับร้อยรอให้แทงหนังสือตอบกลับ ด้วยเพราะข้าไม่ได้ดำเนินการจัดการล่วงหน้า ถึงขนาดอาจจะมีผู้เป็นปฎิปักษ์มาสอดแนมหาโอกาสลงมือกับข้า”
นี่กำลังกระตุ้นความรู้สึกละอายใจของนางเหรอ? เสียใจที่นางไม่มี
“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า ผู้ใดใช้ให้เจ้าแย่งดื่มน้ำแกงเอง”
“หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจเข้าสู่วังบรรทมของข้า ภายในระยะเวลาอันสั้นที่แห่งนี้จะไม่มีข่าวคราวแพร่ออกไป แล้วหากข้าพลาดการประชุมราชสำนักหนึ่งชั่วยามไม่ปรากฏกายโดยไม่มีเหตุผลกลใด ตำหนักอวี้จ้าวจะเข้าสู่การระมัดระวังระดับหนึ่ง สองชั่วยามไม่ปรากฏกาย หลงฉีจะเดินทัพเข้านครหลวง สี่ชั่วยามไม่ปรากฏกาย คั่งหลงจะทลายกำแพงวัง หกชั่วยามไม่ปรากฏกาย…” เขาหยุดไปชั่วครู่ เอ่ยสืบต่อว่า “ตี้เกออาจะต้องเปิดสงครามแล้ว”