เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 71 - 1 เพื่อความรักปราศจากความกลัว
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 71 - 1 เพื่อความรักปราศจากความกลัว
“ข้าอุดหูของเจ้าไว้ เจ้าจะเปิดกล่องอย่างไร” ซังต้งถามจิ่งเหิงปัว
“ไม่เป็นไร” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เจ้าอุดหูข้าไว้ ทำสัญญาณมือแสดงว่าเจ้าจะเริ่มเอ่ย ข้าย่อมจะเปิดกล่องให้เจ้า”
ซังต้งใช้ม้วนผ้าสองก้อนอุดหูของจิ่งเหิงปัวไว้ ก่อนจะทำสัญญาณมือครั้งหนึ่ง จิ่งเหิงปัวกดปุ่มปากกาอัดเสียง แล้วปรับเปลี่ยนทิศทาง
ซังต้งเอ่ยวาจาด้วยความรวดเร็วและยืดยาวยิ่งนัก สีหน้ามีความฮึกเหิมอยู่หลายส่วน ทว่าภายหลังกลับค่อยๆ สงบเงียบลง ดูท่าเขาคงจะเริ่มมอบหมายเรื่องราวสำคัญบางสิ่ง
รถม้าโลดแล่นอย่างเชื่องช้า ลูกน้องสองคนจ้องมองฝูงชนที่มืดมิดข้างนอก สีหน้าค่อยๆ ดูกดดันขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซังต้งก็เริ่มทำสัญญาณมือ จิ่งเหิงปัวกดปุ่มกด ซังต้งจึงดึงม้วนผ้าออกจากหูของนาง ยามนี้เรื่องในใจของนางหมดสิ้นแล้ว ท่าทางดูสงบเงียบขึ้นมามากกว่าก่อนหน้านี้ พลางเอ่ยถามว่า “กล่องเล่า?”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมา นิ้วมือผ่อนคลายลง ปากกาอัดเสียงร่วงหล่นลงพื้นแล้วกล่าวว่า “กดปุ่มกดสีเงินปุ่มนั้น แล้วจะมีเสียงออกมา”
ซังต้งกระทำตามคำบอกของนาง แล้วก็มีเสียงแว่วออกมาจริงๆ นางคล้ายถูกเสียงของตนเองทำให้ตกใจ เมื่อฟังโดยละเอียดหลายประโยคก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา จากนั้นก็รีบเร่งปิดปากกาอัดเสียง
“ข้าว่า…” จิ่งเหิงปัวสังเกตสีหน้าของนาง กล่าวว่า “ของสิ่งนี้เจ้าคงต้องเหลือสักคนไว้มอบให้นายน้อยใหญ่ตระกูลเจ้ากระมัง”
พอวาจานี้เอ่ยออกมา ลูกน้องตระกูลซังสองคนต่างคิ้วกระตุก มองตากันและกันเพียงปราดเดียวแล้วต่างคนต่างรีบเร่งร่นถอย
“จริงด้วย” ซังต้งพึมพำพลางหันกายมา คล้ายอยากจะเลือกหนึ่งคนจากในสองคนมาถ่ายทอดข่าวสารนี้ให้ซังเทียนสี่
ลูกน้องสองคนพลันตึงเครียดขึ้น
นี่ก็ชัดเจนยิ่งนัก ผู้ใดถูกส่งไปมอบกล่องนี้ให้นายน้อยใหญ่ ผู้นั้นจะมีชีวิตรอด
สองคนนั้นเดิมทีได้ยอมรับความคิดว่าตนเองต้องสิ้นชีพ ทว่าสุดท้ายแล้วเกิดความไม่พอใจ บัดนี้มีความหวังแล้ว ผู้ใดจะยอมปล่อยไปเล่า?
ทว่าเรื่องนี้อย่างมากต้องการเพียงคนเดียว แต่ผู้ใดจะอยู่ผู้ใดจะตาย?
จิ่งเหิงปัวคล้ายเสนอขึ้นมาเหมือนไม่ได้ใส่ใจว่า “ข้าว่านะ…เหลือไว้ทั้งสองคนก็ได้ สภาพการณ์ในยามนี้ เพียงแค่คนเดียวก็ไม่แน่ว่าจะหนีรอดได้ มีข้าสิ้นชีพด้วยกันกับเจ้า ยังไม่พออีกหรือ”
ลูกน้องตระกูลซังสองคนมองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่งอย่างซาบซึ้งใจยิ่งนักเป็นครั้งแรก
“ไม่ได้” ซังต้งเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่างมากไปได้เพียงคนเดียว! ตระกูลซังของเราคือตระกูลสูงศักดิ์ร้อยปี! เป็นตระกูลชนชั้นสูง! ข้าคือผู้นำตระกูลรุ่นที่ยี่สิบสี่! ผู้นำตระกูลชนชั้นสูงไม่ว่าจะสิ้นชีพอย่างไร แต่ข้างกายจะไร้ผู้พลีชีพปรนนิบัติไม่ได้! ต่อให้มีเพียงคนเดียวแต่ก็ต้องมี! มิฉะนั้นข้าย่อมพาให้วงศ์ตระกูลสูงส่งของตระกูลซังด่างพร้อย ข้าจะไม่มีแม้แต่ตำแหน่งป้ายวิญญาณในศาลบรรพชน!”
จิ่งเหิงปัวส่ายหน้า มองลูกน้องสองคนนั้นแวบหนึ่งอย่างรู้สึกเสียใจ พึมพำออกมาว่า “ข้าไม่เข้าใจพฤติกรรมสิ้นชีพอย่างมีเกียรติของตระกูลสูงศักดิ์เลย…ขอโทษนะ ดูท่าว่าพวกเจ้าสองคนคงต้องเสียสละซึ่งกันและกันแล้วล่ะ”
สองคนนั้นใบหน้าถอดสี มองหน้าสบตากันอีกปราดหนึ่ง ในแววตาคล้ายมีประกายไฟสาดปะทุไปทั่วทิศ
ซังต้งพลันหันหน้ากลับมา มองสองคนอย่างเดือดดาลปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อย่างไรเล่า? พวกเจ้าสองคนคิดจะแย่งชิงกันหรือ”
ลูกน้องสองคนรีบเร่งโค้งคำนับพึมพำว่ามิกล้า
เสียงของซังต้งแหลมคม เปี่ยมด้วยการเสียดสี
“หากข้ายังอยู่ ข้าจะไม่อนุญาตให้พวกเจ้าเข่นฆ่ากันเอง! ไม่ว่าจะอย่างไร ต้องมีคนหนึ่งอยู่ด้วยกันกับข้า!” นางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้ารู้ว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยยังรักชีวิตของมัน ข้าเองก็ไม่อยากระบุนามว่าผู้ใดควรอยู่ผู้ใดควรไป พวกเจ้าไปถึงยมโลกแล้วจะได้ไม่เกลียดข้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็จับฉลากเถิด!”
แขนเสื้อของนางสะบัดเพียงครั้ง ก่อนจะยื่นกำปั้นสองข้างออกมา เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ในมือข้างหนึ่งมีอัญมณีสีแดง ส่วนในมืออีกข้างมีอัญมณีสีเขียว พวกเจ้าลองทายดู ผู้ใดที่ทายถูกนั้นจงนำกล่องบันทึกคำสั่งเสียของข้าจากไป วางใจได้ ในเมื่อข้าให้เจ้ารับผิดชอบถ่ายทอดคำสั่งเสียของข้าแล้ว ย่อมมีหนทางให้เจ้าจากไปอย่างปลอดภัย พวกเจ้าแค่ทายก็พอ”
รถม้าแล่นช้าลงยิ่งขึ้น ทว่าก็ยิ่งเข้าใกล้จัตุรัสหวงเฉิงมากขึ้นเช่นกัน ยามนี้คลื่นราษฎรใหญ่โตคลาคล่ำนั้นได้ถูกกั้นขวางอยู่ภายนอกจัตุรัส ทหารคั่งหลงกับทหารอวี้จ้าวต่างเคลื่อนพลลากเส้นระวังภัยยืดยาวสายหนึ่ง ราษฎรสงบเสียงเอะอะโวยวายยามที่ชุมนุมเป็นกลุ่ม ทุกคนต่างกลั้นหายใจ แววตาจ้องมองไปที่รถม้าคันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ…ความปลอดภัยความเป็นความตายของสตรีในรถม้านางนั้นส่งผลกระทบไปถึงดวงใจของทุกผู้ทุกคน
ครั้งนี้เป็นครั้งหนึ่งที่ราชินีอาศัยความสามารถและเสน่ห์ของตนเอง จนได้รับความสนใจจากราษฎรที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าฮวง
บรรยากาศฝั่งตรงข้ามจัตุรัสตึงเครียดและกดดัน ศีรษะของคนขยับเบียดเสียดกัน ทว่าที่หน้ากำแพงวังกลับไม่มีทหารแม้เพียงนายเดียว ทหารอารักขาส่วนที่อาจจะได้รับอันตรายจากการจู่โจมทุกนายต่างถอนกำลังจนหมดสิ้น บนจัตุรัสศิลาขาวทั่วลานกระจ่างใสดุจสายธาร นอกจากรูปปั้นมหึมาของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นที่ตั้งตระหง่านนิรันดร์กาลกลางจัตุรัสแล้ว ก็มีเพียงกงอิ้นที่สวมชุดขาวทั่วทั้งร่าง ดูกระจ่างใสดุจสายธารยืนอยู่อย่างเงียบเชียบเช่นกัน
ซังต้งชะโงกหน้าออกไป จัตุรัสที่ไม่ได้จัดวางกำลังป้องกันเลยแม้แต่น้อยทำให้นางรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก
ใบหน้าของนางแสดงความเสียใจออกมาเล็กน้อย เดิมทีสิ่งที่นางต้องการก็คือรถม้าพาลมพาเพลิงที่พลันปรากฏตรงจัตุรัสหวงเฉิงดุจโลงศพแห่งความตายคันหนึ่ง ที่ชนทุกสิ่งกีดขวาง แม้แต่ประตูตำหนักอวี้จ้าวจนพังทลายลงดังครืนด้วยความรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ทุกผู้คนในตี้เกอแห่งนี้ต่างสะเทือนใจด้วยเสียงที่ดังขึ้นกึกก้องทั่วจักรวาลอย่างไม่ทันคาดคิด
ใช้วิธีการเช่นนี้สั่นสะท้านต้าฮวง มอดไหม้ให้หมดสิ้น นางรู้สึกว่าเช่นนี้ถึงจะระบายความคับแค้นในใจออกมาได้
ทว่าได้ฝากคำสั่งเสียให้เทียนสี่ นับว่าเป็นการได้รับโดยไม่คาดคิด พอคิดว่าภายหลังบุตรชายจะได้ยินเสียงของตนเองบ่อยๆ ก็นับว่าเป็นความสบายอกสบายใจประการหนึ่งในชั่วชีวิตที่โดดเดี่ยวและขมขื่นของนางนี้ นางมีสีหน้านุ่มนวล ก่อนจะค่อยๆ รู้สึกโล่งอก
จิ่งเหิงปัวจ้องมองสีหน้าของนาง นางรู้สึกว่าดูท่าทางจัตุรัสไม่ได้จัดวางกำลังป้องกันเลยแม้แต่น้อย แต่ข้างบนต้องมีการจัดวางการป้องกัน ซังต้งเป็นขุนนางสำคัญของแคว้นมานานหลายปี ย่อมต้องรู้แน่ชัดยิ่งกว่านาง แต่ว่าซังต้งยังคงมีท่าทางเตรียมพร้อมแต่แรกเริ่ม ดูแล้วคงมีความเชื่อมั่นในรถม้านี้อย่างยิ่ง คิดว่ารถม้านี้จะหลุดพ้นสิ่งกีดขวางทุกอย่างไปสู่จุดมุ่งหมายที่นางต้องการได้
ก็ไม่รู้ว่าเวลาที่ถ่วงไว้จะทำให้การจัดวางสมบูรณ์พร้อมมากขึ้นจนขัดขวางนางไว้ได้หรือไม่?
จิ่งเหิงปัวไม่กล้ามองออกไปนอกหน้าต่างสักแวบเดียว นางกลัวว่าจะมองเห็นกงอิ้นที่ถือกระบี่เตรียมที่จะฆ่าตัวตาย และในทางกลับกันก็ยิ่งกลัวว่าจะไม่เห็นกงอิ้นที่ถือกระบี่แล้วเตรียมฆ่าตัวตาย นางยังกลัวว่าหากตนเองชะโงกหน้ามั่วซั่วแล้วจะรบกวนความคิดของกงอิ้น ซ้ำยังกลัวอีกว่าหากตนเองชะโงกหน้าไปแล้วจะมองไม่เห็นใครที่กระวนกระวาย…เฮ้อ อันที่จริงแล้วนางก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร…
“ทายสิ” ซังต้งเบนสายตากลับมา เอ่ยอย่างเย็นชา
ลูกน้องสองคนไม่ได้ครุ่นคิดซับซ้อนเหมือนสตรีสองนาง ต่างคนต่างจ้องมองกำปั้นนั้นอย่างแน่วแน่ ลมหายใจเริ่มกระชั้นชิด สีหน้าแดงก่ำ แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาก่อน
เรื่องความเป็นความตายมักยากจะตัดสินใจเสมอ
ซังต้งกลับไม่ได้มีความอดทนมากมายขนาดนั้น นางเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “หากไม่ทายก็ตายด้วยกัน”
“มือซ้ายสีแดง!” ลูกน้องตระกูลซังที่อายุน้อยกว่าคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วอดรนทนไม่ไหวจนต้องตะโกนขึ้นมา
หลังจากเอ่ยออกมาแล้ว เขาก็หลับตาลงถอนหายใจออกมายืดยาว ถึงขนาดไม่กล้ามองดูผลลัพธ์
ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นกลับถลึงตามองเขาอย่างโกรธแค้น รู้สึกว่าเขาแย่งชิงโอกาสในการอยู่รอดของตนเอง
ยามให้เขาทายเขากลับไม่กล้าทาย ทว่าพอผู้อื่นแย่งทายก่อนกลับรู้สึกว่าถูกช่วงชิงอำนาจในการเลือก
นิสัยมนุษย์มักเป็นเช่นนี้
ซังต้งคลายฝ่ามือออกอย่างไร้อารมณ์
ฝ่ามือซ้ายมีอัญมณีสีแดงเปล่งประกายระยิบระยับ
ผู้อ่อนวัยที่ทายถูกผู้นั้นพ่นลมหายใจออกมายืดยาวปานได้รับการนิรโทษ ส่วนสีหน้าของอีกคนหนึ่งกลับเปลี่ยนแปลงไปมาหลากหลาย จ้องมองผู้อ่อนวัยคนนั้นด้วยความอำมหิต
“เสิ่นจิน เจ้านำกล่องจากไปเถิด ข้ามีสิ่งของจะให้เจ้า…” ซังต้งแบฝ่ามืออีกข้างหนึ่งออก อัญมณีสีเขียวบนฝ่ามือเปล่งประกาย นางกำลังปล่อยอัญมณีให้ร่วงหล่น สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
สองคนนั้นก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
อัญมณีสีแดงกับสีเขียวพลันขยับด้วยตนเอง!
การแลกเปลี่ยนครั้งหนึ่งเกิดขึ้นปานสายฟ้าแลบภายใต้ดวงตาสามคู่นั้น อัญมณีสีแดงในมือซ้ายขยับเขยื้อนไปมือขวา อัญมณีเขียวในมือขวาขยับเขยื้อนไปมือซ้าย!
“อ๊ะ!” ซังต้งร้องอุทานขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา
นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น?
อีกสองคนรู้สึกงงงวยไปหมดแล้ว พวกเขาเบิกตาโพลงมองอัญมณีตัดสินชีวิตคนนี้ที่พลันตัดสินโชคชะตาใหม่อีกครั้ง
ผู้ที่เพิ่งดีใจแทบเสียสติกลับงงเป็นไก่ตาแตก ส่วนผู้ที่เพิ่งมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากกลับดีใจจนแทบสิ้นสติ
“ลิขิตฟ้า! ลิขิตฟ้า!” องครักษ์วัยกลางคนที่ทายผิดผู้นั้นดีใจยกใหญ่ ประคองมือของซังต้งไว้ด้วยร่างที่สั่นเทิ้ม ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าควรอยู่! ข้าสมควรอยู่! ท่านผู้นำ ขอบคุณท่าน! ขอบคุณท่าน! ข้าจะต้องตั้งป้ายวิญญาณอายุวัฒนะให้ท่าน เซ่นไหว้บูชาท่านชั่วกัปชั่วกัลป์!”
เขาซาบซึ้งจนน้ำตานองหน้า แทบอยากจะคุกเข่าลงจุมพิตมือของซังต้ง…อัญมณีได้ข้อสรุปแน่นอนชัดเจนแล้วพลันสลับตำแหน่งกัน ย่อมเป็นเพราะผู้นำตระกูลเปลี่ยนที่ คงจะเห็นเขาอยู่ตระกูลซังมานานหลายปีจึงตั้งใจมอบโอกาสรอดชีวิตให้กับเขา
ซังต้งมองดูเขาด้วยท่าทางปากอ้าตาค้าง ก่อนจะมองดูฝ่ามือของตนเอง กระซิบกระซาบว่า “เรื่องนี้…”
จิ่งเหิงปัวแอบเบ้ปาก
“ท่านผู้นำ!” ผู้อ่อนวัยที่ร่วงหล่นจากสรวงสวรรค์แห่งความยินดีสู่นรกภูมิแห่งความสิ้นหวังนั้น ยามนี้ก็ได้คืนสติกลับมาในที่สุด ตะโกนลั่นออกมาว่า “ไม่ เป็นเช่นนี้ไม่ได้! ท่านผู้นำ! ท่านกระทำการมิชอบต่อหน้าต่อตา! ไม่ได้!”
“ข้า…” ซังต้งยังคงรู้สึกไม่เข้าใจ นางเพียงมองดูอัญมณีในมือของตนอย่างงงงวย
“นี่เป็นความตั้งใจของท่านผู้นำ เจ้าก็กล้าที่จะฝ่าฝืนหรือ?!” ลูกน้องวัยกลางคนผู้นั้นตะโกนก้องใส่ลูกน้องอ่อนวัยกว่า
“เป็นข้าที่ทายถูกก่อนชัดๆ ท่านผู้นำช่วยเจ้าโกง!” ผู้อ่อนวัยตะโกนกลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อย
“ความตั้งใจของท่านผู้นำศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจต่อต้านได้ ผู้ใดต่อต้านต้องตาย!” ลูกน้องวัยกลางคนชักมีดโดยพลัน
“เอ่ยกันแล้วว่าผู้ใดทายถูกผู้นั้นอยู่รอด แม้ท่านผู้นำก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลง!” ผู้อ่อนวัยว่าพลางพลันชักกระบี่
“พอได้แล้ว!” ซังต้งเดือดดาล เอ่ยขึ้นเสียงแหลมว่า “ข้ายังไม่สิ้นชีพ พวกเจ้ายังหวังเข่นฆ่ากันเองต่อหน้าข้า! เอาใหม่ ทายอีกครั้งหนึ่ง!”
นางโค้งกายลง แขนเสื้อบดบังอัญมณีไว้ชั่วประเดี๋ยวเดียวแล้วยกขึ้นอีกครั้ง กำหมัดสองข้างแน่น ร้องว่า “ทาย!”
“มือขวาสีแดง!” คราวนี้ลูกน้องวัยกลางคนรีบเร่งแย่งตอบก่อน
ซังต้งแบฝ่ามือออก อัญมณีสีเขียวในมือขวาอึมครึมดุจดวงเนตรน่าสะพรึงกลัวข้างหนึ่งจ้องมองทุกผู้คน
ลูกน้องวัยกลางคนมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“ฮ่าๆๆ คราวนี้ข้าไม่ได้แย่งเจ้าตอบ แต่เจ้าก็ยังตอบผิด เจ้าน่ะสมควรตาย!” ผู้อ่อนวัยเงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น
ซังต้งค่อยๆ แบฝ่ามือออก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าหวัง ยอมรับเถิด…”
“ไม่…” ลูกน้องวัยกลางคนตะโกนก้องเสียงหนึ่ง มีดในมือพุ่งไปทางผู้อ่อนวัยกว่าที่กำลังเงยหน้าหัวเราะลั่นในทันใด ร้องว่า “ไม่ควรทายใหม่! ตายซะ! ตายซะ!”
เสียงหัวเราะของผู้อ่อนวัยหยุดลงโดยพลัน
เขาค่อยๆ ก้มหน้าลง มองดูบาดแผลบริเวณเอวของตนเอง โลหิตผืนใหญ่ผืนโตพุ่งออกมาประหนึ่งกระแสน้ำ ก้อนโลหิตที่โผล่ออกมาคล้ายลาวาไหลริน
“กรี๊ด” ซังต้งกรีดร้องเสียงหนึ่ง คนที่กำลังงงงวยสองคนต่างหันหน้ามองนางในทันใด กลับเห็นว่านางไม่ได้จ้องมองฉากสังหารของพวกตน ทว่ายังคงก้มหน้ามองดูมือของตนเอง
ในฝ่ามือ มือขวามีอัญมณีแดง มือซ้ายมีอัญมณีเขียว
อัญมณีสลับกันอีกแล้ว!
ลูกน้องวัยกลางคนมองดูอัญมณีนั้นอย่างงงงวย คล้ายไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว
ผู้อ่อนวัยกลับหัวเราะขึ้นมาเสียแล้ว เขาหัวเราะไปพลางไอโขลกไปพลาง ทำให้โลหิตไหลย้อยออกมา แล้วร้องว่า “มารดามันเถอะ ล้อกันเล่นหรือไร…”
จากนั้นที่ช่วงเอวของเขาก็สะท้านคราหนึ่ง แสงนิลสายหนึ่งเหินพุ่งดุจอสนีบาต เสียง ฉึก! ดังขึ้นแผ่วเบา จมสู่หน้าอกของลูกน้องวัยกลางคนที่ยืนงงงวยอยู่ฝั่งตรงข้าม
ชายวัยกลางคนนั้นสั่นสะท้านไปทั่วร่าง อุดหน้าอกไว้พลางโซเซถอยหลัง มองดูผู้อ่อนวัยแล้วมองดูซังต้ง สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างแปลกประหลาดยิ่งนัก คล้ายคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ว่าจะจำแนกสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไรก็จำแนกไม่ออก
นิ้วมือของซังต้งพลันอ่อนแรง อัญมณีสองเม็ดร่วงหล่นลงพื้นกลิ้งสู่ซอกมุม นางอ้าปากค้างคล้ายว่าชะงักงันไปแล้ว
คนที่มีโลหิตทั่วทั้งร่างสองคนนั้นจ้องมองกันอย่างงงงวยอยู่สักพัก คล้ายเข้าใจในที่สุดว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นก็พลันตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งโดยพร้อมเพรียงกัน
“มารดามัน ล้อกันเล่นหรือ!”
ในเสียงตะโกนนั้น สองคนหันกายโดยพร้อมเพรียง มีดกระบี่ในมือพุ่งสู่ร่างกายของซังต้งอย่างรุนแรง
“กรี๊ด!” ซังต้งร้องออกมาอย่างโหยหวน ฝืนใจถอยหลัง คนใกล้ตายสองคนนั้นกลับไร้เรี่ยวแรงไล่โจมตีอีกเช่นกัน ต่างคนต่างหัวเราะออกมาอย่างน่าสมเพช โซซัดโซเซสองครั้งก่อนจะล้มลงดังพลั่ก
คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองฟ้าท่ามกลางสระโลหิตที่ปะปนโลหิตของกันและกัน ต่างตายตาไม่หลับ ดวงตาคู่หนึ่งเบิกโพลงจ้องมองหลังคารถม้าอย่างไร้ชีวิตชีวา หรือไม่ก็อาจจะกำลังจับจ้องไถ่ถามสวรรค์ว่า…เหตุใดต้องปั่นหัวพวกเขาเช่นนี้ เหตุใดต้องจัดวางจุดจบเช่นนี้
จิ่งเหิงปัวเบือนหน้าหนีไม่มองซากศพตรงฝ่าเท้า สองคนนี้ก็เท่ากับว่าตายเพราะนาง นางรู้สึกขยะแขยง รู้สึกต่อต้านทางกายภาพ แต่กลับไม่มีความรู้สึกผิดอะไร
ต่างเป็นพวกรนหาที่ตายทั้งนั้น พวกเจ้าก็จงไปศึกษาอัญมณีสีแดงกับสีเขียวที่สลับไปสลับมานั้นในนรกเถอะ!
ยามนี้เหลือเพียงแค่ซังต้งคนเดียวแล้ว ซ้ำยังเป็นซังต้งที่บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าสองคนนั้นจะลงมือก่อนตาย แต่ดูท่าทางก็ไม่ได้แทงถูกจุดสำคัญตรงหน้าอก แต่ตอนนี้ซังต้งก้มหน้าอยู่คล้ายสลบไสลไปแล้ว จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเล็กน้อย คิดว่าคราวนี้คงจะปลอดภัยขึ้นมาระดับหนึ่งกระมัง? นี่ควรจะหาวิธีอะไรมาแจ้งข้างนอกกับหลบหนีดีล่ะ
จากนั้นนางก็มองเห็นซังต้งที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ลมหายใจเฮือกหนึ่งของจิ่งเหิงปัวพลันกลั้นอยู่ตรงคอหอย