เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 77 - 2 การลงมือของเขา
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 77 - 2 การลงมือของเขา
พอฐานะของตนเองถูกเปิดเผย ความขัดแย้งตรงหน้าคงจะแก้ไขไปได้ชั่วคราว แต่ผลกระทบที่ตามมาย่ำแย่มากกว่าความขัดแย้งตรงหน้ามากนัก
“ที่แท้ก็เป็นองค์ราชินีนี่เอง” ท่ามกลางความเงียบสงัดผืนหนึ่ง จ้าวซื่อจื๋อก็เอ่ยปากในที่สุด โค้งกายถวายคำนับ เสียงแปลกประหลาดเอ่ยว่า “ได้ยินพระนามของฝ่าบาทมาเนิ่นนาน วันนี้ได้ประสบพบพระพักตร์ในที่สุด นับเป็นบุญวาสนาของกระหม่อมโดยแท้ ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงกล้าหาญชาญชัย ทรงกระทำการเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ บัดนี้ดูท่าทางมิใช่ความเท็จ คราวก่อนทรงสังหารบุตรชายผู้บัญชาการคั่งหลงที่ย่านตลาด บัดนี้ทรงสังหารภรรยาของกระหม่อมถึงในจวนอีก ทรงมีพระเมตตาโดยแท้ ทรงมีไอสังหารมากล้นนัก! เพียงไม่รู้ว่าภรรยาของกระหม่อม ผู้เป็นเพียงสตรีวัยกลางคนในจวนขุนนาง ไม่เคยพบเห็นฝ่าบาทและไม่เคยล่วงเกินฝ่าบาท จะยั่วยุให้ฝ่าบาทไม่ทรงพระเกษมสำราญ นำมาซึ่งเภทภัยแห่งการประหัตประหารได้อย่างไร”
จิ่งเหิงปัวมองเห็นในแววตาของผู้บัญชาการทหารคั่งหลงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีเจตนาร้ายกะพริบวูบเลือนราง แอบด่าว่าจ้าวซื่อจื๋อเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ วาจาประโยคเดียวลากทหารคั่งหลงเข้าฝ่ายตนเอง กระตุ้นความแค้นครั้งก่อน
“เจิ้นไม่ได้สังหารฮูหยินเจ้า” นางกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นว่า “แม้ว่านางฉุดขุนนางหญิงไป วางแผนเหยียดหยามนาง หากเอ่ยถึงความผิดแล้วไม่เบาเลย ทว่าหากจะสังหารย่อมต้องให้กองอาญาสังหาร ไม่คู่ควรให้เจิ้นแปดเปื้อนด้วยมือของตนเอง”
“เหอะๆ” จ้าวซื่อจื๋อยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “สังหารคนซ้ำยังใส่ร้ายป้ายความผิดให้อีก ภรรยาผู้ต่ำต้อยโชคร้ายเพียงใด สิ้นชีพแล้วยังต้องประสบพบเจอเรื่องเช่นนี้!”
เสียงของเขาโศกเศร้าเสียใจ ผู้คนรอบด้านต่างมีสีหน้าสงสาร ปีศาจแมงมุมน้องสาวภรรยากองนั้นร้องห่มร้องไห้เละเทะวุ่นวายขึ้นมา
จิ่งเหิงปัวถลกแขนเสื้อขึ้น มองไปทางฝูงชนแล้วเอ่ยว่า “ฆาตกรตัวจริงต้องยังอยู่เป็นแน่ ให้เจิ้นหามันออกมามอบให้พวกเจ้า”
“ฆาตกรตัวจริงคือฝ่าบาทนั่นแล ยังต้องเสียแรงตามหาอีกครั้งด้วยเหตุใด? ข้างพระวรกายของพระองค์น่าจะมีพลกล้าตายที่ยินยอมสิ้นชีพเพื่อพระองค์เช่นกัน พระองค์ทรงชี้ไปเรื่อยเปื่อยสักคนย่อมมีผู้ยอมรับผิดแทนพระองค์ แม้ว่ากระหม่อมจะโง่เขลา ทว่าหลักการขั้นนี้ยังคงเข้าใจได้ถ่องแท้” มุมปากของจ้าวซื่อจื๋อผุดเผยรอยยิ้มถากถางออกมาผืนหนึ่ง พลันเบี่ยงกายเพียงครั้ง ถอยให้เห็นเส้นทาง เอ่ยว่า “ไม่ว่าจะอย่างไรพระองค์ทรงเป็นราชินีที่กำลังจะขึ้นครองราชย์ กระหม่อมนับว่าเป็นขุนนางของพระองค์แล้ว กระหม่อมไม่อาจขวางทางเสด็จต่อหน้าต่อตาราษฎรเหล่านี้ พระองค์เชิญเสด็จ”
เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าเปลี่ยนไป จิ่งเหิงปัวหรี่ตาลง พวกเฮฮาร้องยินดีอย่างลำพองใจ เอ่ยว่า “รู้อยู่แล้วว่าเด็กน้อยเจ้ากลัวล่ะสิ”
“ทว่า!” จ้าวซื่อจื๋อคล้ายไม่ได้ยินเสียงร้องยินดีของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ็ดสังหาร เปล่งเสียงเคร่งขรึมเฉียบขาดสืบต่อว่า “ต่อให้ฝ่าบาททรงเป็นเจ้านายแห่งต้าฮวงเรา แต่จะทรงสังหารผู้บริสุทธิ์เรื่อยไปไม่ได้! แม้ภรรยาของกระหม่อมคือชีวิตไร้ค่าชีวิตหนึ่ง แต่จะสิ้นชีพโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ในจวนเช่นนี้ไม่ได้! กระหม่อมจะต้องแสวงหาความเป็นธรรมให้ภรรยาแม้ต้องพลีสิ้นชีวิตนี้! ฝ่าบาท พระองค์โปรดทรงรอคอยขุนนางฝ่ายบุ๋นแห่งต้าฮวงเราร่วมกันกล่าวโทษพระองค์เถิด!” สะบัดแขนเสื้อ หันกายเชิดหน้า หยาดน้ำตาเปี่ยมล้น
ยามนี้บุรุษวัยกลางคนที่มั่วโลกีย์มากล้นยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย เคร่งขรึมสงบนิ่ง แสงรุ่งโรจน์ไร้สิ้นสุด ทุกคนต่างทอดถอนใจ ทั้งสงสารทั้งเคารพเลื่อมใส สายตาที่มองจิ่งเหิงปัวยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น เหล่าปีศาจแมงมุมพุ่งขึ้นไปกอดชายผ้าของเขาไว้ ร้องห่มร้องไห้อย่างซาบซึ้ง เอ่ยว่า “พี่เขย! ขอบคุณที่ท่านไม่เกรงกลัวอำนาจแข็งแกร่ง ร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมแทนพี่หญิง!”
อีชีเอ่ยว่า “ขยะแขยง!”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ็ดสังหารเอ่ยว่า “แสดงเก่งนัก!”
เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยว่า“พวกเจ้าหุบปาก!”
จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “พวกเจ้าล้วนหุบปากให้หมด!”
ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าขยะแขยงเช่นกัน เสมือนกินแมลงเข้าไปครึ่งกิโล จ้าวซื่อจื๋อคนนี้เป็นนักการเมืองโดยแท้ กลอกกลิ้งแคล่วคล่อง คราวนี้เห็นได้ชัดเจนว่าจะใช้การตายของฮูหยินเพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย ให้ได้รับทั้งความสงสารทั้งความเคารพเลื่อมใสจากผู้อื่นโดยง่ายดาย วันนี้เขาดูคล้ายปล่อยตนเองไป แท้จริงแล้วอีกประเดี๋ยวจะโจมตีรุนแรงยิ่งกว่านี้ ข่าวที่แพร่ออกไปคงเป็น ‘ราชินีบุกเข้าจวนขุนนาง สังหารฮูหยินขั้นสองด้วยเพราะทะเลาะวิวาท ใต้เท้าจ้าวเคารพอำนาจของขุนนาง ให้ราชินีเสด็จออกจากจวนก่อน แล้วทำตามหลักทำนองคลองธรรม ยื่นหนังสือทัดทาน ใช้เรี่ยวแรงต่อต้านอำนาจแข็งแกร่ง อุปนิสัยเคร่งขรึม…’
ได้รับความเคารพจากผู้อื่น ได้รับความไว้วางใจจากขุนนางฝ่ายบุ๋น ได้ฉกฉวกเกียรติยศทางการเมือง ได้ฉวยโอกาสเคลื่อนไหวต่อต้านราชครู โจมตีได้ร่นถอยได้ จากนั้นกลับบ้านอย่างสดใส รับมอบทรัพย์สินของฮูหยิน แล้วค่อยตบแต่งภรรยาอ่อนวัยรูปโฉมงดงาม
แผนการช่างดีเยี่ยม
ฉะนั้นเขาจะไม่ยอมให้นางหาฆาตกรตัวจริง ฉะนั้นเขาจึงประกาศกร้าวว่านางคือมือสังหาร
วันนี้ออกไปได้โดยง่าย ภายหลังต้องเกิดคลื่นลูกใหญ่แน่นอน
นางไปไม่ได้ จำเป็นต้องหามือสังหารให้เจอ แต่เจ้าบ้านไม่ยอมร่วมมือแล้วจะหาได้อย่างไร?
“ฝ่าบาท เชิญเสด็จเถิด!” จ้าวซื่อจื๋อยืดกายตรงขอให้นางจากไป หันกายครั้งหนึ่งจดจ้องศพฮูหยิน หยาดน้ำตาในเบ้าตาวูบไหว พาให้คนเปี่ยมด้วยความรู้สึกหดหู่
นักการเมืองที่ดีมักแสดงเก่งเสมอ
ยามนี้เหยียลี่ว์ฉีไม่เอ่ยวาจา เขามองออกแน่นอนว่าผลลัพธ์ของวิธีจัดการเช่นนี้คืออะไร ทว่าเรื่องนี้มิใช่เรื่องดียิ่งนักหรือ?
กงอิ้นจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากด้วยเพราะเรื่องนี้ พรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นใต้บัญชาเขาจะเกิดความแตกแยกแบ่งฝักฝ่าย
ส่วนราชินี…อาจจะเป็นราชินีไม่ได้แล้ว เช่นนั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย จวนราชครูฝ่ายซ้ายเลี้ยงไหว
เหยียลี่ว์ฉียิ้มตาหยีมือสองข้างกอดอก ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งให้ลมโชยเย็นสบาย
เขาก็เป็นนักการเมืองเช่นกัน นักการเมืองให้ความสำคัญกับสถานการณ์ส่วนรวมเสมอ ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ฝ่ายตนเองเสมอ ขอเพียงจิ่งเหิงปัวมีชีวิตรอดปลอดภัย เขาก็ยินดีมองดูภาวะชะงักงันยามนี้
ปริมาณสมองที่มีจำกัดของศิษย์พี่ศิษย์น้องเจ็ดสังหารนึกไปไม่ถึงความร้ายแรงภายในเหตุการณ์นี้ ร้องยินดีไชโยโห่หิ้วระลอกหนึ่ง เอ่ยว่า “ไปเถิดๆ”
ทว่ากลับถูกอีชีตบอย่างรุนแรงเรียงกันไปตามลำดับ ร้องว่า “พวกโง่!”
“เจ้าให้เจิ้นไปแล้วเจิ้นจะไปหรือ?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เจิ้นไม่ไป เจิ้นจะเป็นแขกของที่นี่ ในเมื่อเจ้าเอ่ยเต็มปากเต็มคำว่าจะปฏิบัติตามพิธีรีตองแห่งขุนนาง ไม่เอ่ยถึงบุญคุณความแค้นไม่กลั่นแกล้งเจิ้นก่อน เช่นนั้นเตรียมรับเสด็จเถิด!”
“ฝ่าบาท!” จ้าวซื่อจื๋อคิดไม่ถึงว่าท่ามกลางความกดดันเช่นนี้นางกลับไม่ยอมจากไป ภายใต้ความตกตะลึงเขาเดือดดาลนัก เอ่ยว่า “พระองค์ทรงข่มขู่กระหม่อม!”
จิ่งเหิงปัวไม่สนใจเขา…ถึงอย่างไรเจ้าต้องพลีชีพจัดการพี่เต็มกำลังอยู่แล้ว พี่ข่มขู่เจ้าล่วงหน้าแล้วมีอะไรไม่ถูกต้อง?
“เหล่าพ่อรูปงามเจ็ดสังหาร!” นางตะโกนเสียงหนึ่งว่า “มือสังหารอยู่ในฝูงชนฝั่งตรงข้าม พวกเจ้าล้อมไว้ได้หรือไม่?”
“เรื่องเล็กเรื่องน้อย!”
“ได้เลยประเดี๋ยวนี้!”
“เรื่องง่ายดายขนาดนี้ ให้เจ้าสามไปทำคนเดียวก็พอแล้ว ผู้สูงศักดิ์เช่นข้าช่วยเสริมกำลังได้”
“ข้าเสนอให้เดิมพัน คนหนึ่งดูแลทิศทางหนึ่ง ผู้ใดปล่อยให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว ต้องถอดกางเกงวิ่งรอบตี้เกอรอบหนึ่ง!”
…
“ล้อมคนของข้าในจวนข้า? เจ้านึกว่าตนเองเป็นราชินีผู้สถาปนาแคว้นหรือ” จ้าวซื่อจื๋อโกรธจนหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “เจ้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ไร้คุณธรรม ข้าไม่จำเป็นต้องเคารพยำเกรงเจ้า! องครักษ์…”
“ราชครูมาเยือน…”
เสียงคำสั่งเสียงหนึ่งยาวนานชัดเจน สะท้านจนทุกผู้คนต่างสิ้นเสียงอีกครั้ง
ณ ต้าฮวง ยามเหยียลี่ว์ฉีมาถึงเรียกว่าราชครูฝ่ายซ้ายมาเยือน ทว่ายามกงอิ้นมาถึงเรียกเพียงราชครู เพื่อแสดงการยกย่องตำแหน่งราชครูลำดับหนึ่งของเขา
เขามาถึงในเวลานี้ สีหน้าของทุกคนดูแปลกประหลาดเล็กน้อยโดยพลัน
ฝูงชนแยกทาง เกี้ยวสีม่วงสว่างดูหรูหราคันหนึ่งเคลื่อนเข้ามาเชื่องช้า แลดูคล้ายไม่รวดเร็วทว่าเข้าใกล้เบื้องหน้าในพริบตา
ทุกผู้คนถอยออกเป็นสองฝั่ง โค้งกายถวายคำนับ แม้ว่าเสียงต้อนรับต่างเจือด้วยอารมณ์ ทว่าไร้คนกล้าเฉยเมย
จิ่งเหิงปัวมองดูเกี้ยวที่มีม่านปกคลุมมิดชิดคันนั้น ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้ยิ่งวางมาดใหญ่โตขึ้นทุกวัน เข้ามาในจวนคนอื่นแล้วยังนั่งเกี้ยวอีก ซ้ำยังสยายม่านหนาหนัก นึกว่าตนเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์วัยแรกรุ่นหรืออย่างไร?
ภายในความนิ่งเงียบ เหล่าปีศาจแมงมุมที่ร้องไห้หาพี่สาวฝูงนั้นต่างเร่งรีบหันหน้ามา แสดงความเคารพไปพลาง แอบใช้หางตาชำเลืองมองอย่างตื่นเต้นดีใจไปพลาง
แตกต่างจากราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีที่สง่างามรักอิสระชอบแล่นไปทุกหนแห่ง ราชครูฝ่ายขวากงอิ้นแห่งต้าฮวงเก็บเนื้อเก็บตัว สูงส่งน่าเกรงขาม ไม่เคยเยือนจวนขุนนางชั้นผู้ใหญ่ คุณหนูสูงศักดิ์ในตี้เกอกว่าครึ่งได้ยินเพียงนามไม่เคยเห็นตัวจริง
จิ่งเหิงปัวเบะปาก…ประจบสอพลอ!
เกี้ยวหยุดลง เหมิงหู่ก้าวขึ้นไปเลิกม่านออก ภายในเกี้ยวหรูหรา บุรุษชุดขาวราวหิมะนั่งตระหง่านดุจขุนเขา ทุกคนมองเห็นเพียงนิ้วมือที่วางไว้บนหัวเข่าแต่ละนิ้วดุจหยก มองเห็นไข่มุกที่กลัดแน่นตรงคอเสื้อมันวาวมัวสลัว แสงทองเปล่งประกายเพียงน้อยสาดส่องเส้นริมฝีปากอ่อนช้อยผืนหนึ่ง
เหล่าปีศาจแมงมุมเบิกตาโพลงจนแทบหลุดออกจากเบ้า มองเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดเจน ได้แต่น้ำลายไหลให้บุคลิกสูงศักดิ์นั้น
กงอิ้นไม่ได้ออกจากเกี้ยว
จิ่งเหิงปัวกลับรู้สึกได้ถึงแววตาของเขาที่กวาดผ่านร่างกายตนเองอย่างมีพลังยิ่ง ด้วยเพราะมีพลังเหลือเกิน ฉะนั้นนางถึงพบว่าจนถึงขณะนี้ ตนเองยังถูกเหยียลี่ว์ฉีกับอีชีจูงช่วงบ่าจับช่วงไหล่ทั้งข้างซ้ายข้างขวาอยู่
มองดูแล้ว รู้สึกเลยว่า…คลุมเครือเล็กน้อย
แววตานั้นหนาวเหน็บเพียงนี้ แม้แต่คนที่ไม่ใส่ใจอะไรเลยแบบจิ่งเหิงปัว ยังรู้สึกว่าอากาศคล้ายเกร็งแน่น…มีไอสังหาร!
แววตาเย็นเยียบของกงอิ้นเฉียดผ่านบนมือที่จับจิ่งเหิงปัวไว้ของสองคนนั้น
รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีไม่เปลี่ยนแปลง อีชีไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย จิ่งเหิงปัวมอบรองเท้าส้นสูงให้พวกเขาคนละครั้ง ทั้งสองต่างร้องโหยหวนสองเสียง แก้ไขปัญหาไปทั้งคู่
นางขยับเขยื้อนช่วงไหล่ ยิ้มแย้มขอโทษกงอิ้นที่อยู่ภายในเกี้ยว
นางรู้สึกเสียใจไม่ใช่เพราะขลุกอยู่กับเหยียลี่ว์ฉีและอีชี ทว่าเพราะนางพยายามจะไม่นำพาความยุ่งยากมาให้เขา แต่คล้ายว่ายังคงเกิดปัญหาขึ้น
กงอิ้นกลับแสดงความพอใจต่อการปรนนิบัติด้วยรองเท้าส้นสูงสองข้างนั้นของนาง สีหน้าอบอุ่นเล็กน้อย รัศมีโค้งมุมปากนุ่มนวลขึ้นมาบ้าง มองนางเพียงปราดเดียว แล้วเอ่ยกับจ้าวซื่อจื๋อว่า “หมู่นี้ผู้ชราจ้าวลาป่วยอยู่ในจวน ไม่ได้พบเจอกันเสียนาน วันนี้ดูแล้วสีหน้าไม่เลว”
จ้าวซื่อจื๋อชะงักงัน ทุกผู้คนต่างชะงักงัน
ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่ากงอิ้นมาถึงในยามนี้ อารัมภบทกลับเป็นวาจาประโยคหนึ่งเช่นนี้
จ้าวซื่อจื๋อชะงักงันเพียงชั่วครู่แล้วปีติยินดี
เขาเข้าใจวาจาซ่อนแฝงความนัยของกงอิ้น
เดิมทีเขาไม่ได้ป่วยไข้ ด้วยเพราะไม่ได้ตำแหน่งรองเสนาบดี จึงอารมณ์เสียจนลาป่วยอยู่จวน เป็นการต่อต้านแบบนุ่มนวลต่อกงอิ้น ทว่าในใจรู้แน่ชัดว่ากงอิ้นมีท่าทีแข็งกร้าว จะไม่ยอมถอยด้วยเพราะเขาแสร้งป่วย พักอยู่จวนมาเนิ่นนานแล้ว ไม่แน่ว่าแม้แต่ตำแหน่งเสนากองขุนนางอาจจะรักษาไว้ไม่ได้ อีกสักวันสองวันกำลังตระเตรียมจะรายงานตัวกลับไปปฏิบัติหน้าที่อยู่พอดี
ยามนี้ได้ฟังวาจานี้แล้ว กงอิ้นมีความนัยเชื้อเชิญเขากลับราชสำนักซ่อนแฝงไว้ โดยปกติแล้วยามสองคนแข่งขันกำลังกัน ผู้ใดเอ่ยปากก่อนหมายถึงผู้นั้นอ่อนข้อยอมถอย หากกงอิ้นเอ่ยปากเชิญเขากลับราชสำนักก่อน แสดงว่าท่าทางผ่อนคลาย เขาย่อมร้องขอตำแหน่งรองเสนาบดีได้
จ้าวซื่อจื๋อดีใจเป็นล้นพ้นไปชั่วขณะ แทบจะหลงลืมแม้แต่การสิ้นชีพของฮูหยิน
“ขอบคุณราชครูที่ห่วงใย” เขาเร่งรีบโค้งคำนับ เอ่ยว่า “ข้าน้อยพักผ่อนมานาน กำลังวังชาฟื้นคืนแล้ว กำลังคิดจะรายงานตัวกลับราชสำนัก รับใช้ราชสำนักมากขึ้นอีกขั้น”
‘มากขึ้นอีกขั้น’ เป็นวาจาหยั่งเชิงประโยคหนึ่ง เขาเหลือบตาชำเลืองมองกงอิ้น
กงอิ้นยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม พยักหน้าเอ่ยว่า “ดียิ่งนัก ใต้เท้าจ้าวกำลังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ความรู้ความสามารถเลิศล้ำ จะปล่อยตนว่างเปล่าอยู่นอกวังยาวนานได้อย่างไร ควรแบกรับภาระยิ่งใหญ่เพื่อแคว้นเพื่อราษฎร์ให้มากจึงจะถูกต้อง”
จ้าวซื่อจื๋อได้รับความนัย ดีใจจนแม้แต่เสียงยังสั่นเครือ เอ่ยขึ้นว่า “ขอบคุณราชครูที่รักใคร่ให้ความสำคัญ! ข้าน้อยย่อมต้องทุ่มเทเต็มกำลัง อุทิศตนรับใช้แคว้น!”
สองคนสนทนากันเรียบง่ายไม่กี่ประโยค คนส่วนใหญ่สับสนงุนงง
มุมปากของเหยียลี่ว์ฉีมีรอยยิ้มผืนหนึ่ง…เด็ดเดี่ยวเหลือเกิน ลงทุนเหลือเกิน! เพื่อนางแล้ว กงอิ้นยอมกระทำ…
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ครุ่นคิดว่าพวกเขากำลังทักทายกันหรือ? แต่เหตุใดลางสังหรณ์ของนางบอกว่าสองคนนี้กำลังบรรลุข้อตกลงสำคัญยิ่งใหญ่ข้อหนึ่งภายในวาจาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคเล่า?
แต่ไหนแต่ไรมากงอิ้นไม่เคยเอ่ยวาจาเหลวไหล โบกมือหยุดยั้งน้ำใจไมตรีประจบประแจงไม่หยุดหย่อนของจ้าวซื่อจื๋อ เอ่ยว่า “เปิ่นจั้วมากราบบังคมทูลเชิญราชินีเสด็จกลับวัง”
จ้าวซื่อจื๋อสีหน้าเปลี่ยนไป ยืดเอวขึ้น มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง แล้วมองซากศพภรรยาปราดหนึ่ง
เพียงปราดเดียว แล้วตัดสินใจเด็ดขาด
เขาอาศัยเรื่องนี้มาอาละวาดใหญ่โต เพียงเพื่อฉกฉวยความเคารพและความสงสารจากแวดวงปัญญาชนและพรรคพวกขุนนางฝ่ายบุ๋น เพิ่มลูกตุ้มถ่วงน้ำหนักอีกลูกหนึ่งเพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมืองของตนเอง บัดนี้บรรลุจุดมุ่งหมายแล้ว จะต้องก่อความวุ่นวายอีกด้วยเหตุใด?
หากยั่วยุกงอิ้นให้โกรธเคือง ตำแหน่งรองเสนาบดีที่ได้มาอยู่ในมือคงต้องลอยหายไปอีกครั้ง
“ขอรับ” เขาก้มศีรษะถอยออกไปก้าวหนึ่งโดยพลัน เอ่ยว่า “กระหม่อมน้อมส่งเสด็จฝ่าบาทและราชครูกลับวัง”
ทุกคนรอบด้านต่างชะงักงัน จากนั้นผุดเผยสีหน้าเหยียดหยามโดยพร้อมเพรียง
เดิมทีนึกว่าคงจะต้องมีวาจาเสียดายหรือต่อต้านสักประโยค นึกไม่ถึงว่าจะตอบรับได้อย่างราบรื่นเช่นนี้ ความรักภรรยาลึกซึ้งเปี่ยมล้นด้วยอารมณ์ฮึกเหิมเมื่อครู่ แท้จริงแล้วเป็นเพียงการแสดงเดี่ยวที่ใส่อารมณ์พลุ่งพล่านเข้าไปด้วยฉากหนึ่ง
มุมปากของจิ่งเหิงปัวแสยะออกอีกครั้ง…กระดูกของปัญญาชนแข็งจริงหรือ? พออ่อนขึ้นมาหน่อยก็อ่อนกว่าใครทั้งนั้น