เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 81 - 1 ขอแต่งงาน
- Home
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]
- เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 81 - 1 ขอแต่งงาน
วาจาเพียงประโยคเดียวกลับสะเทือนฟ้าดิน ทุกผู้คนต่างตะลึงงัน
จิ้งอวิ๋นนึกไม่ถึงเลยว่านางจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ ตกใจจนมือสั่นเทาครั้งหนึ่ง เกือบจะสาดน้ำแกงขิงทิ้งไปแล้ว
พวกชุ่ยเจี่ยที่อยู่อีกด้านก็ถอยออกไปแล้ว ชุ่ยเจี่ยพ่นลมหายใจออกมาอย่างยืดยาว ยงเสวี่ยไร้ซึ่งสีหน้า ส่วนจื่อหรุ่ยขมวดคิ้วคล้ายกำลังครุ่นคิด
เดิมทีกงอิ้นจะก้าวเข้ามาด้วย แต่ยามนี้เขากลับหยุดฝีเท้าลง
ก่อนหัวเราะอย่างคลุมเครือเล็กน้อย
จิ่งเหิงปัวเป็นคนอัศจรรย์ยิ่งนัก หลังร่ำสุราก็ยิ่งอัศจรรย์เป็นพิเศษ ทั้งเลอะเลือน ทั้งสุขุม ทั้งเรียบง่าย ทั้งซับซ้อน
นางอาจจะได้สติอยู่แล้ว เพียงแต่ฤทธิ์สุรานั้นกระตุ้นจุดประกายอารมณ์ของนาง พาให้นางยิ่งปลดปล่อยตัวตนมากขึ้น อยากจะเอ่ยวาจาทุกประโยคที่ตนเองอยากเอ่ยออกมา
ทว่ายามนี้ ควรจะเป็นช่วงสร่างเมาหลังจากฤทธิ์สุราของนาง
นางให้เขาแบกหลังจากดื่มสุรานั่นคือฤทธิ์สุราขั้นแรก นางตกน้ำนั่นคือฤทธิ์สุราขั้นที่สอง แต่ไม่รู้ว่าฤทธิ์สุราขั้นที่สามของนางจะก่อเรื่องก่อราวอะไรขึ้นมาอีก
“ข้า…ข้าเปล่า…” หลังจากความลุกลี้ลุกลนในตอนแรกหายไป จิ้งอวิ๋นก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก นางส่ายหน้ารัวๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “ที่เจ้ามีน้ำแกงขิงแล้ว ข้าเห็นว่าราชครูยังไม่ได้ดื่มเลยส่งชามให้เขา ข้าเพียงแต่คิดว่าหากเขาป่วยไข้เพราะเจ้า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่กลุ่มนั้นอาจจะกลั่นแกล้งเจ้าอีก…”
“จิ้งอวิ๋นเอ๋ย…” จิ่งเหิงปัวดูคล้ายไม่ได้ยินวาจาของนาง หน้าผากยังคงค้ำยันลายฉลุบนหน้าต่าง สะอึกสุราพลางยิ้มตาหยี กล่าวว่า “แค่ส่งน้ำแกงขิงน่ะก็ไม่เป็นอะไรหรอก การชอบใครสักคนหนึ่งก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน กงอิ้นก็ไม่ใช่สิ่งของในครอบครองของข้าเสียหน่อย เขาเป็นคนดีถึงเพียงนั้น หล่อเหลาถึงเพียงนั้น เย็นชาจนพาให้จิตใจของคนหวั่นไหวถึงเพียงนั้น แม้แต่ข้าก็ยังอดหลงเสน่ห์เขาไม่ได้ หากเจ้าจะชอบเขา ข้าก็เข้าใจได้นะ…”
เหมิงหู่มองดูเจ้านายอย่างกังวล เป็นไปตามคาด สีหน้าของเจ้านายเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงผิดปกติหลายอย่างตามบทสนทนาที่แปลกประหลาดของราชินี…ประโยคแรกคือไม่พอใจ ประโยคที่สองคือชื่นชอบ ประโยคที่สามคือโกรธเคือง ประโยคที่สี่คืออยากตีคน…
ความสุขุมเยือกเย็นที่จิ้งอวิ๋นฝืนใจรักษาไว้เกือบจะถูกวาจาเหล่านี้ของจิ่งเหิงปัวทลายจนพังพินาศเช่นกัน นางเงยหน้าขึ้นอย่างสับสนอยู่บ้าง อ้าปากอยู่หลายครั้งอย่างไม่รู้ว่าควรเอ่ยตอบอย่างไร สายตาคล้ายกะพริบวูบด้วยความหวังหลายส่วน ซ้ำยังมีความสงสัยหลายส่วน ผ่านไปชั่วครู่นางจึงเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ…”
“อึก…ข้าว่านะ…” จิ่งเหิงปัวที่อยู่ในสภาพเมาสุรากลับมีความคิดเป็นของตัวเองโดยสิ้นเชิง ไม่มีความคิดเช่นการสื่อสารนี้ดำรงอยู่เลย สะอึกครั้งหนึ่งกล่าวต่อไปว่า “แต่ว่านะ แม้ข้าจะขวางให้ผู้อื่นชอบเขาไม่ได้ แต่ข้าขวางไม่ให้ผู้อื่นแย่งเขาได้ ผู้อื่นคนนี้อาจจะเป็นเจ้า หรืออาจจะเป็นนาง ไม่ก็อาจจะเป็นแม่ของเหมิงหู่ อาจจะเป็นดอกไม้ริมทางข้างตำหนักก็ได้…”
แสงแห่งความหวังในดวงตาของจิ้งอวิ๋นจางหายไป สีหน้าปกคลุมด้วยสีน้ำค้างซีดเผือดอีกครั้ง
เหมิงหู่กับกงอิ้นมีสีหน้าเขียวคล้ำอย่างพร้อมเพรียงกัน
เหมิงหู่…มารดาข้าอายุห้าสิบแล้ว!
กงอิ้น…มารดาเขาอายุห้าสิบแล้ว!
…
“..เขาคือแฟนหนุ่มของข้า คือคนที่ข้าชอบ เจ้าคือสหายคนสนิทของข้า คือสหายรู้ใจของข้า” จิ่งเหิงปัวคว้ามือของจิ้งอวิ๋นไว้ผ่านลายฉลุบนหน้าต่างนั้น กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ภรรยาของสหายไม่อาจหยอกเย้า สามีของสหายไม่อาจแย่งชิง จิ้งอวิ๋น ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ข้าอาจจะตาฝาดก็ได้ หรือไม่ข้าก็อาจจะดื่มจนเมามาย เจ้าจงคิดเสียว่าข้าเพียงแค่เอ่ยวาจายามเมามาย ข้าเพียงขอบอกเจ้าไว้ว่าบุรุษผู้นี้น่ะ ข้าชอบแล้ว จะไม่อนุญาตให้ข้างกายของเขาปรากฎเป้าหมายที่น่าสงสัยเด็ดขาด สิ่งมีชีวิตเพศหญิงที่คิดจะเข้าใกล้เขาล้วนเป็นศัตรูของข้าทั้งนั้น หากเขาวางแผนสมคบคิดกับสิ่งมีชีวิตเพศหญิง เช่นนั้นเขาย่อมเป็นศัตรูของข้า…อึก…เพียงแต่ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับคนข้างกาย…”
ใบหน้าของกงอิ้นหนักแน่นดุจสายน้ำ มองจิ่งเหิงปัวด้วยหางตา ดูท่าทางหากไม่ใช่ด้วยเพราะไม่สะดวกเข้าไป เขาก็อยากจะหิ้วนางออกมาสั่งสอนสักรอบ
วาจาธรรมดาทว่าตรงไปตรงมา บางครั้งก็เสียดแทงใจยิ่งกว่าการด่าประจาน ยามที่จิ้งอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าขาวซีดของนางก็พลันแดงซ่านขึ้นมาแล้ว
“ข้า…ข้า…” นางเปล่งเสียงร้องไห้ออกมา เอ่ยว่า “เหตุใดเจ้าต้องเอ่ยถึงข้าเช่นนี้ ข้าเพียงมาส่งน้ำแกงขิงชามหนึ่งเท่านั้น ซ้ำยังเอ่ยเหตุผลกับเจ้าแล้ว นี่ข้าก็หวังดีต่อเจ้ามิใช่หรือ…”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะ น้ำเสียงฉายแววอ่อนใจขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “…ข้าเป็นสตรีนะ ข้าเป็นสตรีที่กำลังมีความรักนะ ข้ามองแววตาของเจ้าออก…”
จิ้งอวิ๋นถอยหลังเล็กน้อยดั่งถูกสายฟ้าฟาด
“พวกเราเป็นสหายสนิทกันชั่วชีวิตดีหรือไม่” จิ่งเหิงปัวจูงมือของนางไว้ กล่าวว่า “เจ้าพักผ่อนอยู่ในวังให้เต็มที่ ในภายภาคหน้าข้าจะรับอาสาหาสามีที่ดีที่สุดให้เจ้า มอบสินเดิมที่ล้ำค่าที่สุดแก่เจ้า ให้เจ้าออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี ใช้ชั่วชีวิตอย่างมีความสุขดีหรือไม่ พวกเราทำเรื่องราวให้ง่ายดายขึ้นสักหน่อยดีหรือไม่ บางทีอาจจะเป็นเพียงความลุ่มหลงชั่วครู่ เพื่อข้า เพื่อมิตรภาพของพวกเรา เพื่อความลำบากที่พวกเราเดินมาบนเส้นทางนี้…เจ้าจะทะนุถนอมพวกมัน ได้หรือไม่?”
ชามน้ำแกงขิงร่วงลงพื้นในที่สุด กระแทกจนแตกละเอียดดังเพล้ง จิ้งอวิ๋นพยายามจะแกะมือของจิ่งเหิงปัวออก แต่จิ่งเหิงปัวกลับมีพลังขึ้นมาอย่างยิ่ง คว้านางไว้ไม่ยอมปล่อย
นางจ้องมองดวงตาของจิ้งอวิ๋น กล่าวทีละคำว่า “ขอโทษด้วย ข้ารู้ว่าข้าทำเกินไป แต่ว่า…” นางปล่อยมือออก กล่าวต่อไปว่า “เรื่องปกป้องคนที่ข้าชอบ ข้าไม่เคยร่นถอย”
“ฮือ…” สุดท้ายแล้วจิ้งอวิ๋นก็เปล่งเสียงร้องไห้โฮที่อัดอั้นไว้ออกมา หมุนกายวิ่งออกไป ความรู้สึกภายในใจแปรปรวนมากเหลือเกิน ดุเดือดเหลือเกิน นางวิ่งไปไม่ถึงสองก้าวก็ล้มลงบนพื้น
องครักษ์หญิงในลานบ้านต่างไม่ขยับเขยื้อน หลายคนที่อยู่ภายในห้องต่างไม่ขยับเขยื้อน ฝีเท้าของเหมิงหู่ยกขึ้นเล็กน้อยก่อนหยุดลง
จิ้งอวิ๋นหมอบอยู่บนพื้น เงยหน้าที่เปี่ยมไปด้วยคราบน้ำตาขึ้น ค่อยๆ มองดูซ้ายขวารอบหนึ่งก็มองเห็นเท้าที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้เศษเสี้ยวเหล่านั้น
บางครั้งความเงียบงันก็คือความกดดันที่ไร้วาจาแบบหนึ่งเช่นกัน ตระหง่านและเย็นยะเยือก
จิ้งอวิ๋นก้มหน้าลง ใช้ข้อศอกค้ำยันพื้นแล้วลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เดินโซซัดโซเซกลับสู่ห้องของตนเอง ปิดประตูดังปัง จากนั้นภายในห้องก็แว่วเสียงร้องไห้ด้วยความอัดอั้นที่ระเบิดออกมาอย่างฉับพลัน
ภายในลานบ้านเงียบงันจนน่าหวาดกลัว
จิ่งเหิงปัวพิงลายฉลุบนหน้าต่าง ค้ำยันหน้าผากไว้ รู้สึกว่าเมื่อคำพูดกล่าวออกไปแล้ว แต่ในสมองกลับยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้น ในใจก็สับสนวุ่นวายเช่นกัน นางแค่อยากอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง เช่นนั้นจึงโบกมือ แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมดเถิด…”
ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยรู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง แต่จื่อหรุ่ยดึงสาบเสื้อของพวกนาง ก่อนก้าวถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
คนไปแล้ว จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านครั้งหนึ่ง รู้สึกว่ายังคงอยากอาบน้ำ นางจึงลุกขึ้นแล้วเดินลากขาไปยังถังอาบน้ำ
พลั่ก!
พวกจื่อหรุ่ยเพิ่งเดินพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงดังลั่นเสียงหนึ่งดังขึ้นภายในห้อง
พวกนางกำลังกรูกันเข้าไป แต่ข้างกายกลับมีเงาสีขาวกะพริบพรวดพราด ไอเหน็บหนาวผนึกแน่น ก่อนจะได้ยินเสียงม่านประตูเลิกขึ้นแล้วสยายลงรำไร
ชุ่ยเจี่ยยังอยากจะวิ่งเข้าไปข้างใน แต่จื่อหรุ่ยคว้านางไว้ได้ในครั้งเดียว ก่อนจะลากนางไปข้างนอก
“ต้าปัว…” ชุ่ยเจี่ยกระวนกระวาย จื่อหรุ่ยยื่นปากครั้งหนึ่ง บอกใบ้ให้นางมองในลานบ้าน
คราวนี้ชุ่ยเจี่ยถึงได้พบว่าราชครูที่ยืนอยู่ในลานบ้านหายไปแล้ว เหล่าองครักษ์ก็กำลังถอนกำลังออกไปภายนอกอย่างเงียบเชียบ
สามคนเบาฝีเท้าโดยพลัน ทำสัญญาณมือครั้งหนึ่งบอกใบ้ให้นางกำนัลทุกนางถอยออกไป
“ไปเถิด…”