เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 1.3
เรือนไม้กฤษณาหลังหนึ่ง อาภรณ์อบอุ่นทั่วห้อง
เตียงสลักลายแขวนกระโจมห้อยตะขอทองคำ หลังม่านโปร่งเลือนรางพร่ามัวมีสตรีที่หายใจรวยรินนอนอยู่
นางกำนัลหลายนางชุลมุนวุ่นวาย นำเสื้อผ้าเปียกที่เปลี่ยนแล้วและน้ำร้อนที่นำมาเช็ดตัวออกไป
หมอชราผู้หนึ่งเช็ดมือเชื่องช้า ปิดกล่องยาลง
ประตูเปิดออก คนผู้หนึ่งยืนอยู่ปากประตู เรือนร่างสูงใหญ่ภายใต้แสงเงา เสียงทุ้มต่ำไพเราะเอ่ยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
“ถูกวางยาพิษ ทว่าคล้ายได้กินยาถอนพิษแล้วเช่นกัน เพียงแต่ยาถอนพิษรักษาไม่ค่อยตรงอาการเท่าใด ทำให้ยามนี้ลมปราณภายในร่างกายนางไร้ระเบียบ ผู้ชราจะลองออกใบสั่งยาดู” ชายสูงวัยขมวดหัวคิ้วอยู่ เอ่ยสืบต่อว่า “นอกจากนี้ ความเจ็บปวดภายในใจยังต้องการยาใจคอยรักษา ความกลัดกลุ้มของนางผนึกแน่นอยู่ในใจทว่าระบายออกมาไม่ได้ ผ่านไปนานเข้า จะไร้ประโยชน์ต่อการฟื้นฟูร่างกายของนาง”
เขาชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “รบกวนท่านคิดหาวิธี”
“ผู้ชราออกใบสั่งยาแล้ว ส่วนที่เหลือต้องอาศัยตัวนางเอง” หมอเอ่ย
“นางมีนิสัยยืดหยุ่น ข้าว่าคงไม่เป็นไร” บุรุษเอ่ย
“ไม่แน่เสมอไป” หมอชราส่ายหน้า เอ่ยว่า “ยามสถานการณ์ผิดแผกจากปกติ นิสัยยืดหยุ่นไม่สู้นิสัยอ่อนแอ หากนิสัยนางขี้ขลาดอ่อนแอ พบเจอเรื่องสะเทือนอารมณ์ครั้งยิ่งใหญ่คงบ้าคลั่งหรือร้องไห้โวยวายออกมาสักครั้ง ความกลัดกลุ้มแหลกสลาย แม้ว่ายามนั้นบาดเจ็บสาหัส แต่วันหน้าย่อมไร้กังวล หากกล้ำกลืนฝืนทนสุดชีวิต หัวเราะสนุกสนานเฉกเช่นปกติ อาการบาดเจ็บถึงเข้าสู่ภายใน ทำร้ายชีวิตแสนสาหัสอย่างแท้จริง”
บุรุษนิ่งเงียบ หน้าผากหนักหน่วงกลางแสงเงา ผ่านไปเนิ่นนานจึงถอนหายใจออกมา
“ผู้ชราขออำลา” ผู้ชราวางยาเม็ดกลมสีทองม่วงเม็ดหนึ่งไว้ มองดูอย่างเสียดายอยู่บ้าง จากนั้นก็หิ้วกล่องยาเดินจากไป
“ท่านหมอโปรดรับค่ารักษา” บุรุษมองเห็นค่ารักษาที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ขยับเขยื้อน รีบเร่งร้องเรียก
หมอชราส่ายหน้า เดินไปยังข้างประตู บุรุษเบี่ยงกายหลีกทาง
ภายในแสงอาทิตย์แสงหิมะเบาบางยามย่ำรุ่ง ท่าทางของเขาเป็นธรรมชาติ สีหน้าคล้ายยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม
หมอชรากลับหยุดลงโดยพลัน บุรุษชะงักงัน
“ไม่จำเป็นต้องสังหารข้าปิดปาก” หมอเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
แขนเสื้อของบุรุษขยับเขยื้อนเล็กน้อย ขนคิ้วเชิดขึ้น จากนั้นยิ้มแย้ม
“หมอเช่นท่านนี้ ผู้ต่ำต้อยเคยพบเจอป็นครั้งแรกโดยแท้” เขาคล้ายกำลังชื่นชม เอ่ยว่า “มองทะลุไอสังหารของข้าได้ด้วย”
หมอชราหัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ช่วยเหลือคนมามากแล้ว ได้คบค้าสมาคมกับผู้กล้าในยุทธภพไม่น้อยเช่นกัน ไอดุร้ายไอสังหารยังพอจำแนกแยกแยะได้”
“เช่นนี้ ข้ายิ่งต้องสังหารเจ้าแล้ว” เสียงวาจาเขานุ่มนวลคล้ายกำลังปรึกษาหารือด้วยท่าทางอ่อนโยนน้ำเสียงนุ่มนวล
“ผู้ชรารู้ว่าท่านกระทำไปเพียงเพื่อรักษาความลับ” หมอชราหันข้างเล็กน้อย ลักษณะท่าทางอ่อนโยน เอ่ยว่า “ทว่าท่านราชครูฝ่ายซ้ายโปรดวางใจ สภาพองค์ราชินีเช่นนี้ แม้สิ้นชีพผู้ชราก็จะไม่เปิดเผย”
ภายในแสงหิมะสว่างไสว สีหน้าของเหยียลี่ว์ฉีประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้ารู้จักนางจริงด้วย!”
“ครอบครัวบริเวณตรอกซีเกอและตรอกหลิวหลี หลายครอบครัวมีภาพวาดกับป้ายอายุวัฒนะ[1]ของนาง” หมอชราชี้ไปยังหัวใจของตนเองแล้วชี้ไปยังปากของตนเอง เอ่ยด้วยความเคารพอย่างสูงว่า “บุตรชายของผู้ชราอยู่ในเหตุการณ์รถม้าเพลิงที่ตรอกหลิวหลีในวันนั้นเช่นกัน ยามนั้นเขาล้มหมอนนอนเสื่อมาหลายปี อาการดีขึ้นมาเล็กน้อยจึงเดินผ่อนคลายข้างนอกด้วยกันกับคนในครอบครัว หากไม่มีราชินี บุตรชายที่ผู้ชราช่วงชิงกลับมาอย่างยากลำบากคงจะไม่มีแล้ว เมื่อถึงยามนั้น ทั้งครอบครัวของผู้ชราคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
แววตาของบุรุษวูบไหว สีหน้าประทับใจ
“เพื่อรักษาความลับ ผู้ชราควรปลิดชีพตนเองที่นี่” หมอชราเอ่ยอย่างสุขุมเยือกเย็นว่า “เพียงแต่ในบ้านมีภรรยาชราและบุตรชายอ่อนแอจึงจำต้องคิดหนีเอาชีวิตรอด ผู้ชราสาบานว่าหากได้ทำผิดต่อองค์ราชินีแม้เพียงเศษเสี้ยว ทั้งตระกูลไร้ทายาท อสนีบาตฟาดเปรี้ยง!”
“วันนี้ได้เห็นหมอเฉาหยิ่งในศักดิ์ศรี เชิญเถิด” บุรุษโค้งกายเล็กน้อย หลีกทางเดินให้ คราวนี้หลีกไปไกลนัก
“ด้วยเพราะราชินี ข้าจึงรักษาความลับ ด้วยเพราะราชินี ข้าจึงไม่เก็บค่ารักษา ด้วยเพราะราชินี ข้าจึงสั่งยาเม็ดที่ดีที่สุดซึ่งเป็นสูตรลับของตระกูลเฉาของข้า” หมอเฉาเดินออกจากปากประตูแล้วหันกาย จ้องมองเหยียลี่ว์ฉีอย่างจริงจัง เอ่ยว่า “ในฐานะราษฎร ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องใดขึ้น ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับราชินี ทว่าข้ารู้ว่านางตกทุกข์ได้ยากแล้ว ข้านี้มีวาจาประโยคหนึ่งจะเอ่ยแด่ราชครู…ราชินีได้ความรักความเคารพจากราษฎร ย่อมจะไม่พเนจรร่อนเร่เรื่อยไป ไม่ว่าราชครูจะคิดอย่างไร ตนเองยืนอยู่ฝ่ายใด ขอให้ท่าน…” เขาโค้งกายลึกล้ำครั้งหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ปกป้องนางให้ดี”
เหยียลี่ว์ฉียกมือขึ้นหวังจะแสดงความเคารพตอบเขา หมอชราหันกายไปโดยไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ เงาร่างค่อยๆ ห่างออกไปกลางสายลมหิมะ
เหลือเพียงเขาที่ยืนอยู่ภายในห้อง ชั่วพริบตาหนึ่งความรู้สึกนับร้อยผันผ่าน
ผ่านไปนานครู่ใหญ่เขาก็ค่อยๆ หันหลังเดินไปข้างเตียง ก้มหน้ามองจิ่งเหิงปัวที่อยู่บนเตียง
สตรีที่อยู่บนเตียงซีดเซียวบอบบาง ไม่อาจเทียบเคียงความงดงามเพริศแพร้วในยามปกติได้ ลมหายใจรวยริน หากไม่มองโดยละเอียดคงไม่อาจรู้ว่ายังมีลมหายใจอยู่
สายตาของเขามีความสงสารที่ตัวเขาเองยังไม่เคยสังเกตเห็น
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาค่อยๆ นั่งลงข้างกายนาง วางนิ้วมือที่โผล่ออกมานอกผ้าห่มเล็กน้อยของนางกลับสู่ในกองผ้าห่มอย่างระมัดระวัง
“เหิงปัว” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเบา
พอเสียงนี้เปล่งออกมา ตัวเขาเองคล้ายตกตะลึงเช่นกัน ดั่งนึกไม่ถึงว่าตนเองจะเรียกนางเช่นนี้ และคล้ายนึกไม่ถึงว่าพอเสียงนี้เปล่งออกมาแล้วจะสั่นสะเทือนถึงดวงใจเช่นนี้
ทว่าเรียกเช่นนี้จริงแล้ว คล้ายเป็นธรรมชาติยิ่งนักเช่นกัน ซ้ำยังอาลัยอาวรณ์ยิ่งนัก อยากเรียกต่อไปให้ยืนยาวเช่นนี้
“เหิงปัว” เขากุมมือของนางไว้ เอ่ยอย่างเจื้อยแจ้วไพเราะว่า “วาจาเมื่อครู่ เจ้าควรฟังสักหน่อยโดยแท้”
“ฟังสักหน่อย เจ้าอาจจะดีขึ้นมาบ้าง เจ้าอาจจะไม่สิ้นหวังอีก”
“เจ้าดูสิ เรื่องราวในโลกนี้ย่อมมีเหตุและผล เหตุการณ์รถม้าเพลิงที่ตรอกหลิวหลีทำให้เจ้าล่วงเกินคั่งหลง ตกอยู่ในสถานการณ์ปานนี้ ทว่าทำให้เจ้าได้หัวใจของราษฎรด้วย หัวใจของราษฎรเหล่านั้น มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ทว่าแข็งแกร่งและยาวนานยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับความจงรักภักดีของขุนนาง พวกเขาดำรงอยู่ยืนยาวท่ามกลางเส้นทางที่เจ้าก้าวเดินไปข้างหน้า”
เขาสอดชายผ้าห่มเข้าข้างในให้นาง ขมวดคิ้วมองดูสีหน้าของนาง เคยชินกับความอวดตนสวยสดงดงามของนาง ไม่คุ้นเคยกับนางที่ซีดเซียวเช่นนี้ยิ่งนัก หวังมองเห็นนางหัวเราะลั่นพลางลุกขึ้นนั่ง นิ้วมือเรียวยาวจิ้มไปจิ้มมาบนหน้าผากเขา พอคิดเช่นนี้แล้วหน้าอกรู้สึกอึดอัดขึ้นมา พลันหวาดกลัวว่านับแต่นี้จะมองไม่เห็นอีกแล้วชั่วกาล
นึกถึงวาจาของหมอเฉาโดยพลัน รู้สึกว่ามองไม่เห็นอีกแล้วชั่วกาลคงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย หากนางยังคงหัวเราะสนุกสนานเฉกเช่นปกติ เช่นนั้นต้องใช้พละกำลังมากเพียงใดมายับยั้งค้ำจุน ต้องใช้สติปัญญามากเพียงใดมาถมทับบาดแผลและหุบเหวที่ลึกขนาดนั้น?
เขารู้ว่าภายในใจนางแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ ทว่าเช่นนี้ยังคงทนไม่ไหว
“ข้าไม่มีคุณสมบัติสงสารเจ้า…” เขาเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ลูบไล้นิ้วมือของนางอยู่ เอ่ยสืบต่อว่า “แม้คนที่สร้างบาดแผลแสนสาหัสที่สุดให้เจ้าจะเป็นกงอิ้น ทว่าท่ามกลางคนที่ประทุษร้ายเจ้า ข้าเองก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ข้ารู้แผนการของพวกเฟยหลัวแล้วนิ่งเฉย แม้กระทั่งผลักดันบางอย่างด้วย เหิงปัว…เจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”
จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนเตียงหายใจสงบนิ่ง แม้แต่หน้าผากยังราบเรียบ ดูไร้ซึ่งความสับสนกลัดกลุ้มเฉกเช่นจินตนาการ
หรือว่านางยังอยู่ท่ามกลางความฝันอันสงบสุข เรียนรู้ความสุขที่กลายเป็นความลำบากในชีวิตยามนี้
เช่นนั้นก็ให้ความฝันนั้นยาวนานขึ้นอีกสักหน่อยเถิด
“ไม่ยกโทษให้ก็ไม่ต้องยกโทษให้หรอก หากกลัวเจ้าไม่ยกโทษให้ข้าคงไม่ทำแล้ว” เขาทอดถอนใจเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “เหิงปัว เจ้านั่งตำแหน่งนี้ไม่ได้ เจ้านั่งลงไปช้าเร็วย่อมเป็นความตาย หากเจ้ายินยอมเป็นหุ่นเชิดอาจจะยาวนานได้ ทว่าผู้ใดต่างมองออกได้ว่าเจ้าไม่ใช่หุ่นเชิด เจ้ามีศักยภาพยิ่งใหญ่ เจ้ามีเจตนารมณ์แห่งราษฎรและมีเสน่ห์ยิ่งนัก ไม่ช้าก็เร็วเจ้าจะเดินสู่ตำแหน่งราชินีที่แท้จริง ผู้ใดจะยอมได้? ผู้ใดจะอดใจไม่ให้สังหารเจ้ายามเจ้ากำลังเติบโตได้?”
“ขอเพียงเจ้ายังกักขังตนอยู่ตี้เกอ เจ้าย่อมไม่ได้รับอำนาจทางทหาร ไม่ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางสำคัญ รวมทั้งอำนาจที่เป็นของเจ้าอย่างแท้จริง แม้เจ้ามีสติปัญญาเทียมฟ้าความสามารถเทียมสวรรค์ยังจะตกที่นั่งลำบาก หรือเฉกเช่นวันนี้ ถูกทุกคนลุกฮือขึ้นโจมตีต่อต้านเป็นเสียงเดียวกัน หรือค่อยๆ ถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัว ถูกเล่ห์เพทุบายลับหลังนับมิถ้วนค่อยๆ ลอบทำร้ายเจ้า เจ้ามีเพียงตัวคนเดียวกับมือคู่หนึ่ง แล้วจะต้านทานการลอบกัดทั่วทุกหนแห่งได้อย่างไร?”
“มีดเดียวเชือกมลาย หงส์ร่อนร่ายสู่เมฆา ภายหลังเจ้าจะท้อแท้หมดกำลังใจกลายเป็นราษฎรในชนบทเอย หรือมีความแค้นแน่นอก พักจำศีลอยู่ที่หนึ่งรวบรวมอำนาจรอคอยกลับมามีอำนาจอีกครั้งเอย ย่อมดีกว่าเจ้าถูกกระทำถูกต่อต้านอย่างต่อเนื่องกลางหมู่ศัตรูรายล้อมในพระราชวังมืดมิดแห่งนี้”
เขาโน้มกายลงกุมหน้าผากของนางไว้อย่างสงสาร นางไม่ได้เป็นไข้อย่างน่าประหลาด หน้าผากเย็นยะเยือกดุจหยก เขาเขี่ยผมยุ่งเหยิงเส้นหนึ่งออกไปด้วยท่วงท่าอ่อนโยน
“ข้าเพียงนึกไม่ถึงว่ากงอิ้นจะมอบบาดแผลสุดท้ายให้เจ้า ซ้ำยังลงมือหนักหน่วงเพียงนี้ เดิมทีข้านึกว่าเขาอาจจะไม่ออกหน้าปกป้องเจ้าอีก แต่จะต้องหลงเหลือโอกาสให้เจ้า ข้าเองนึกว่าความสามารถในการเคลื่อนย้ายพริบตาของเจ้าจะปกป้องเจ้าให้ถอยออกมาโดยสมบูรณ์ได้ ข้าถึงขนาด…” เขาะงักชั่วครู่ หว่างคิ้วขมวดเล็กน้อย เอ่ยว่า “หรือนี่ก็คือลิขิตฟ้า ลิขิตฟ้าให้เจ้าร่วงหล่นสู่เหวลึก รอคอยดูว่าเจ้าจะดิ้นรนออกมาได้หรือไม่”
“หรือว่า” เขาชักมือออก เสียงวาจาเย็นยะเยือกแลคล้ายกงอิ้น เอ่ยว่า “พวกเราต่างรักเจ้าไม่มากพอ พวกเราต่างรักกิจการงานยิ่งใหญ่ของโลกมนุษย์มากเกินไป เหิงปัว นี่คือบุรุษไร้น้ำใจไร้คุณธรรมฝูงหนึ่ง พวกเขาทั้งใจดำ เห็นแก่ตัว เย็นชาและอำมหิต เล่นเล่ห์เหลี่ยมเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน หินขวางเท้าทุกก้อนที่ขัดขวางทางเดินของพวกเขาจะถูกพวกเขาเตะออกไปในเท้าเดียว” เขาหัวเราะอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง เอ่ยว่า “อ้อ จริงสิ เรื่องราวในวันนี้อธิบายได้ว่ากงอิ้นร้ายกาจกว่าข้ามากนักโดยแท้ ในเมื่อกระทำเช่นนี้กับเจ้าได้ ย่อมอำมหิตกับผู้ใดก็ตามที่เหลืออยู่ได้เช่นกัน…ไม่แน่ว่าประเดี๋ยวข้าจะกลายเป็นหินขวางเท้าก้อนนั้น ถูกเขาเตะออกไปไกลโพ้นด้วย”
“ภายหลัง” เขาลากผ้าห่มขึ้นมาให้นางอย่างเชื่องช้า เอ่ยว่า “เป็นหินขวางเท้าที่ถูกเตะออกมาหรือว่าเป็นคนที่เตะหินขวางเท้าออกไป คงต้องดูที่ตัวเจ้าเองแล้ว”
นิ้วมือค่อยๆ เคลื่อนย้าย ทอดลงตรงหว่างคิ้วนาง
เขาหลับตาลง รอบกายพลันมีอากาศไหลเวียนพลุ่งพล่าน ปลายนิ้วมีไอสีม่วงกะพริบวูบ
หว่างคิ้วของจิ่งเหิงปัวคล้ายมีไอสีม่วงกะพริบวูบอยู่เช่นกัน คิ้วของเหยียลี่ว์ฉีเลิกขึ้นเพียงครั้งคล้ายประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นผุดเผยรอยยิ้มเจือจาง
เทียนเซียงจื่อในยามแรกได้ซ่อนแฝงพลังในร่างกายนางแล้ว นางเป็นคนที่มีไหวพริบและพรสวรรค์ยิ่งนักดังคาดการณ์
โคจรปราณแท้ไม่กี่รอบ ดูแลรักษาลมปราณสับสนวุ่นวายภายในร่างกายนางแล้ว เขาหยิบยาเม็ดที่หมอเฉาทิ้งไว้ให้เม็ดนั้นมาแบ่งออกเล็กน้อยให้ตนเองชิมก่อนแล้วค่อยป้อนเข้าปากนางอีกครั้ง
“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสมบูรณ์พร้อมเสียก่อน ถึงจะกลับมาสังหารพวกเราอย่างโหดเ**้ยมอำมหิตได้นะ” เขาหัวเราะ
มองเห็นสีหน้าของจิ่งเหิงปัวดีขึ้นมากแล้ว เขาก็ชักมือกลับอย่างอ่อนเพลียเล็กน้อย บนใบหน้ามีสีซีดเซียวผืนหนึ่งเฉียดผ่าน ไอโขลกแผ่วเบาสองเสียง
กำลังจะให้คนหายาต้มยาให้นาง ไกลออกไปพลันคล้ายมีเสียงดังเอะอะแว่วมา
เขาตกตะลึง เหินกายขึ้นไปมุ่งสู่ข้างประตู
“เกิดเรื่องใดขึ้น?”
ไม่รอให้นอกประตูเอ่ยตอบ เสียงดังเอะอะข้างนอกก็ใกล้เข้ามายิ่งขึ้น มีเสียงดาบเสียงกระบี่กระทบกันดังขึ้นรำไร ที่ไกลโพ้นนั้นมีคนร้องเรียกเสียงยาวว่า “จับกุมนักโทษ คนนอกหลบไป…”
เงาร่างของเหยียลี่ว์ฉีกะพริบวูบ เฉียดออกไปนอกห้อง
เงาร่างเขาเพิ่งสูญสลาย จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้นมาทันใด
[1] ป้ายอายุวัฒนะ ป้ายชื่อสำหรับกราบไหว้แทนผู้มีพระคุณที่ยังมีชีวิตอยู่ อธิษฐานจิตให้ผู้มีพระคุณอายุยืนยาว คลาดแคล้วจากภยันตรายทั้งปวง