เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 1.4
สายตาของนางแจ่มแจ้ง
ก่อนหน้านี้นางก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว
นางนึกไม่ถึงว่าทางน้ำใต้จัตุรัสหวงเฉิงจะทะลุสู่ทะเลสาบแห่งนั้นของจวนเหยียลี่ว์ฉี แต่คิดดูอีกครั้ง ทะเลสาบและทางน้ำของตี้เกอมีไม่มาก ทะเลสาบแห่งนี้ของเหยียลี่ว์ฉีแต่ก่อนคงไม่ใช่ของจวนเขา ตระกูลเขาตั้งใจล้อมเข้าไปด้วย แต่ก่อนต้องเป็นทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดของตี้เกอแน่นอน อุโมงค์ทางน้ำหวงเฉิงทะลุสู่น่านน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมืองในระยะแรกของการสถาปนาแคว้น จะหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ง่ายมากขึ้น จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นมีสติปัญญาเลิศล้ำ เลือกที่นี่ไม่มีผิดพลาด
ด้วยเพราะเป็นจวนเหยียลี่ว์ นางจึงไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา
นางได้ยินเหยียลี่ว์ฉีวิเคราะห์สถานการณ์ทุกอย่างของนาง ได้ยินเขายอมรับว่าตนเองร่วมด้วยส่วนหนึ่ง ได้ยินทฤษฎีหินขวางเท้าของเขาและวาจาประโยคสุดท้าย
นั่นสิ อยู่ต่อไปอย่างสมบูรณ์พร้อมก่อน แล้วค่อยกลับมาสังหารอย่างโหดเ**้ยมอำมหิต
ไม่ว่าจะกี่คนก็เลือดเย็นไร้ความรู้สึกขนาดนี้ทั้งนั้น จิ่งเหิงปัวคนนี้ดูท่าทางน่าแกล้งมาก น่ากินมากเลยเหรอ?
นางค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าความเจ็บปวดภายในร่างกายของตนเองบรรเทาลงไปมากแล้ว
ความช่วยเหลือของเหยียลี่ว์ฉีล่ะมั้ง
นางขอบคุณที่เขาไม่ได้ส่งนางให้เฟยหลัวในทันที ซ้ำยังช่วยนางไว้อีก แต่นางไม่ใช่จิ่งเหิงปัวคนก่อนแล้ว จะไม่ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจด้วยเพราะบุุญคุณเพียงเล็กน้อย ไร้เดียงสาจนนึกว่าความกระตือรือร้นก็คือความรักลึกซึ้ง ความเป็นห่วงก็คือความรักทะนุถนอม ยิ้มแย้มก็คือชื่นชอบ ใกล้ชิดก็คือตลอดไปอีกแล้ว
ยิ่งจะไม่นึกว่าตนเองมีน้ำใจห่วงใยแล้วผู้อื่นจะรักใคร่ชอบพอตอบแทน
ภายในจวนใหญ่โตมีเสียงดังเอะอะดังแว่วเข้ามา เสียงเกราะทองคำเกราะโลหะของทหารกระทบกันที่คุ้นเคย เสียงฝีเท้าของทหารที่เจือด้วยไอสังหารหนาวสะท้านที่คุ้นเคย
มีคนเข้าสู่จวนราชครูฝ่ายซ้าย กำลังค้นหาจับกุมนักโทษ…นักโทษคนนี้จะเป็นใครไปได้อีก? ตนเองไงล่ะ
บางครั้งไม่แน่ว่าเหยียลี่ว์ฉีจะยินยอมมอบนางออกไป แต่คนอื่นในจวนนี้ล่ะ? จะไม่ทำอะไรเพื่อป้องกันตนเองเลยหรือ?
อีกอย่างเหยียลี่ว์ฉีเป็นคนดีอะไรที่ไหนกัน? ที่เขาไม่ฆ่านาง ก็อาจจะรู้สึกว่าเก็บนางไว้ใช้ประโยชน์ อย่างเช่น เรื่องแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมอะไรแบบนั้น
นางลุกขึ้นยืน หยิบเสื้อผ้าที่ราวข้างเตียงซึ่งตระเตรียมไว้ให้นางขึ้นมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว
เสียงฝีเท้าใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ถี่กระชั้นรวดเร็ว ตรงมายังที่นี่
พลั่ก! ประตูถูกเปิดออก องครักษ์ของจวนเหยียลี่ว์หลายนายวิ่งเหงื่อท่วมหน้าเข้ามา ร้องว่า “เร็ว เคลื่อนย้ายไป…”
พวกเขาพลันหยุดชะงัก เบิกตากว้างมองดูบนเตียงที่ว่างเปล่า
คนเล่า?
เงาคนกะพริบวูบ เหยียลี่ว์ฉีเฉียดกายตามเข้ามา เอื้อมมือคลำเครื่องนอนที่ถูกเลิกออกเพียงครั้ง ยังเหลือความอบอุ่นอยู่
เขาหันหน้า จ้องมองสีท้องฟ้าที่ค่อยๆ ย่ำรุ่งอรุณข้างนอกและสายลมหิมะที่ค่อยๆ อ่อนลง ผ่านไปเนิ่นนาน มือถึงยกขึ้นอย่างแผ่วเบา
ความอบอุ่นเมื่อครู่ก่อนยังคงอยู่ ทว่านิ้วมือเย็นเยียบเพียงพริบตา
ดั่งคล้ายน้ำใจล่าช้าที่รอคอยประคองออกมา ทว่าไม่ถูกเข้าใจและยอมรับนี้
วาจาประโยคหนึ่งเบาบางเฉกเช่นเกล็ดหิมะ สูญสลายกลางสายลม
“สุดท้ายแล้วเจ้ายังคง…เกลียดข้าเข้าแล้ว…”
พลั่ก! เสียงประตูลานบ้านถูกกระแทกออกอีกครั้ง ทหารกลุ่มใหญ่บุกเข้ามาโอบล้อมเหยียลี่ว์ฉีไว้กลางลานบ้าน ขุนพลนายหนึ่งที่นำหน้าตวาดเสียงยาว
“ราชครูฝ่ายซ้ายเหยียลี่ว์ฉีท่านนี้ หยิ่งผยองกระทำเกินหน้าที่ โป้ปดมดเท็จโดยพลการ สมรู้ร่วมคิดกระทำความผิดก่อกบฏ หลังจากบรรดาขุนนางร่วมประชุมปรึกษาหารือกล่าวโทษ เห็นว่าควรตรวจสอบทรัพย์สิน กักขังเสียที่นี่ หากไร้ซึ่งคำสั่งของตำหนักอวี้จ้าว คนในครอบครัวและลูกหลานไม่อาจเดินเหินตามใจชอบ ผู้ฝ่าฝืนตัดศีรษะเสียที่นั่นไม่ต้องไต่สวน!”
ไอสังหารสะเทือนหิมะ เศษเสี้ยวขาวซีดร่วงหล่นทั่วไหล่
ทว่าเขาเพียงแหงนหน้ามองฟ้า ยิ้มแย้มแผ่วบางด้วยคิดว่าไม่เหนือความคาดหมายเลยแม้แต่น้อย
“ด้วยการเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนักของกงอิ้น การดีดลูกคิดรางแก้วของพวกเขาผิดพลาดอีกแล้ว…ดูท่าทางหลังจากเหล่าขุนนางในราชสำนักคุกคามราชินีสำเร็จ คงจำเป็นต้องให้เขาพลิกฐานะเสียเปรียบกลายเป็นได้เปรียบ นี่คือการยินยอมและร่วมหารือบางส่วนแล้ว…เพียงไม่รู้จักถอยสักก้าวย่อมแพ้ทั้งกระดาน เหลืออยู่เพียงส่วนที่ถูกคนสังหารชำระแค้น…”
“ลำดับถัดไป ผู้ถูกสังหารควรเป็นผู้ใดกัน…”
ทหารถืออาวุธเดินเข้ามา เกราะเหล็กส่องสะท้อนแสงหิมะหนาวเหน็บยามรุ่งอรุณ
เขาดั่งคล้ายไม่ได้มองเห็น เพียงเอามือไพล่หลังมองท้องนภาค่อยๆ สิ้นสุดร่องรอยหิมะ ผุดเผยท้องนภาฟ้าครามผืนหนึ่ง
“ขอให้เจ้าอยู่เย็นเป็นสุข”
…
ยามทหารบุกเข้าสู่ลานกว้างภายในจวนเหยียลี่ว์ จิ่งเหิงปัวยังอยู่บนหอริมทะเลสาบของจวนเหยียลี่ว์
มองจากที่สูงสู่ที่ต่ำ นางมองเห็นแผ่นเกราะสีเขียวคล้ำของเหล่าทหาร เครื่องแบบที่คุ้นเคย
ทหารคั่งหลง
นางยืนอยู่ที่สูง มองกระแสน้ำสีเขียวคล้ำนั้นท่วมท้นผืนปฐพีสีขาวราวหิมะอย่างรวดเร็ว
ทหารคั่งหลงกลับคืนสู่การควบคุมรวดเร็วขนาดนี้ ดูท่าทางคงจะไม่แยกค่ายล่มสลายอีกแล้ว นับแต่นี้คงถูกควบคุมใต้เงื้อมมือของคนคนนั้นอีกครั้ง ยามคมกระบี่หันมุ่งไป อำนาจรุกรานโลกหล้า
นางยิ้มแย้มเพียงครั้ง รอยยิ้มยังคงงดงามเฉิดฉาย ทว่าน่าครั่นคร้ามขึ้นมาหลายส่วน
เงาร่างกะพริบวูบอีกครั้ง
กงอิ้น
ยินดีด้วย
…
ทหารมีความรู้สึกไว มีคนคล้ายรู้สึกได้ เงยหน้าขึ้นมา
ดั่งมองเห็นเงาสีขาวบนยอดหอกะพริบวูบรำไร ยามมองโดยละเอียดอีกครั้ง เห็นเพียงกระดิ่งชายคาโบกสะบัดอ้างว้างกลางสายลม ท่วงทำนองเสียงรื่นหู
…
ครึ่งเค่อต่อมา จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมา มองดูไม้วงกบประตูเบื้องหน้าอย่างมึนงงเล็กน้อย
หายตัวหลายครั้งติดต่อกัน นางไม่รู้แน่ชัดเช่นกันว่าตนเองมาถึงที่ไหน รู้สึกว่าไม่ได้หายตัวมาไกลมาก สภาวะร่างกายตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนมากเหลือเกิน
จำแนกอยู่สักพักถึงจำคำว่า ‘หลงเซิ่งจี้ง’ บนแผ่นป้ายได้
โอ้ เหมือนจะเป็นชื่อร้านค้าร้านไหนสักร้าน นางรู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นตาเล็กน้อย คล้ายว่าเคยมาที่นี่ จำได้เลือนรางราวกับว่าเถ้าแก่ร้านนี้ใบหน้ากลม อ่อนโยนเปี่ยมไมตรีอย่างมาก บรรจุแพรต่วนของขวัญเต็มห้องโดยสาร ซ้ำยังให้นางมาเที่ยวเล่นครั้งหน้าด้วย
ไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้นางกลับจดจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้ไม่ค่อยชัดเจน แต่เรื่องหลายเรื่องก่อนหน้านี้กลับแจ่มชัดเสมือนอยู่ตรงหน้า ต่างเป็นเรื่องราวที่อบอุ่นงดงามเหลือเกินหลายเรื่องอย่างเช่น ไปเดินตลาดงดงามตะลึงพรึงเพริดตี้เกอด้วยกันกับจื่อหรุ่ย อย่างเช่น เสียงฮัลโหลของราษฎรในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จ อย่างเช่น แม่ไก่แก่ที่ราษฎรตรอกซีเกอมอบให้ อีกทั้งอัธยาศัยไมตรีของเจ้าของร้านพวกนี้
หรือว่าขณะนี้เบื้องลึกภายในจิตใจหวังเพียงหวนรำลึกเรื่องราวงดงามเหล่านี้ ตนเองจะได้อบอุ่นขึ้นมาสักหน่อย ไม่ถูกเหมันตฤดูที่มีพายุหิมะหนาวเหน็บนี้เยือกแข็ง
เพียงแต่นึกถึงขึ้นมาในตอนนี้ เรื่องราวที่ไม่นับว่ายาวไกลมากเหล่านี้คล้ายผลิบานอยู่อีกฟากฝั่ง แตะต้องความหอมกรุ่นในวันวานมิได้
เสมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง
นางรู้สึกว่าอ่อนเพลีย พิษส่วนที่เหลือยังไม่หายไป สมองยังคงไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไร นางค่อยๆ นั่งลงตรงปากประตูร้านค้าที่ยังไม่เปิด ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน นางสั่นระริกกระชับสาบเสื้อแน่น
บนถนนมีคนรีบมาตลาดเช้า สองสามคนเดินผ่านไป ผู้คนมองอย่างประหลาดปราดหนึ่งบ่อยครั้ง ไม่รู้ว่าสตรีที่ผมยาวสยายยุ่งเหยิง ท่าทางย่ำแย่สวมอาภรณ์เบาบาง นั่งอยู่ปากประตูร้านค้าร้านหนึ่งนางนี้คือผู้ใด มองผิวเผินคล้ายเป็นขอทาน
จิ่งเหิงปัวหลับตาอยู่ รู้สึกว่าภายในร่างกายมีความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียแปลกประหลาด ทำให้นางไร้หนทางประคองกำลังวังชาและความรอบคอบในช่วงเวลาอันตรายนี้
เทียนเซียงจื่อกำลังสําแดงฤทธิ์ซ่อมแซมเส้นลมปราณของนาง ยามนี้ความต้องการทางกายภาพต้องการให้นางนอนลง
ข้างกายพลันมีเสียงแอ๊ดอ๊าดดังขึ้น บานประตูถูกเปิดออก จิ่งเหิงปัวเบนหน้ามองดู คิดว่าร้านค้านี้เปิดร้านแล้วเหรอ?
ข้างในมีคนรีบร้อนก้าวออกมาจากประตู เดินไปพลางเอ่ยไปพลางว่า “ได้รับข่าวสาร เบื้องบนสั่งให้ปิดกิจการโดยพลัน ลูกจ้างทุกคนในร้านค้าแยกย้ายกันไปก่อน…” เขาพลันชะงัก หันศีรษะมา
จิ่งเหิงปัวรวบรวมกำลังวังชา ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า เตรียมพร้อมหายตัวทันที
คนคนนั้นใบหน้ากลม คุ้นหน้าหลายส่วน เขาคือเถ้าแก่ร้านค้านี้ คนที่เคยเอ่ยกับนางด้วยไมตรีจิตว่าต้องมาบ่อยครั้งคนนั้น
ความตื่นตะลึงบนใบหน้าของคนผู้นั้นกะพริบวูบแล้วผันผ่าน หันกายครั้งหนึ่งขวางนางไว้โดยพลัน มองดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง เอื้อมมือหลีกทางให้นางเข้าสู่ข้างในพลางเอ่ยเสียงดังว่า “อ๊ะ ที่แท้เป็นฮูหยินสกุลหวังเองหรือ นึกไม่ถึงว่าท่านจะมาถึงตั้งนานแล้ว พอดีว่าในร้านมีผ้าสำหรับตัดอาภรณ์จำนวนหนึ่งเพิ่งเข้ามาใหม่ ท่านลองดูสิ”
จิ่งเหิงปัวถูกเขาฉวยโอกาสผลักเข้าไปในร้านค้า เดินจากความหนาวเหน็บสู่ความอบอุ่น ในใจอุ่นวาบขึ้นมาเช่นกัน
โลกมนุษย์ทุกข์ยาก ทว่าย่อมมีประกายไฟไม่มอดดับเสมอ
เถ้าแก่คนนั้นรอจนนางเข้าประตูแล้วชะโงกหน้ามองดูข้างนอกอีกครั้ง จากนั้นก็ปิดประตูโดยพลัน ก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “ฝ่าบาท ยามนี้พระองค์ทรงอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? อีกทั้ง…” เขามองดูจิ่งเหิงปัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เอ่ยสืบต่อว่า “ทรงเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ไม่รอให้นางกล่าวตอบ เขาพลันเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ทางกระหม่อมนี้ยังมีธุระ เพิ่งได้รับคำสั่งของเจ้าของร้านเบื้องบนให้ออกไปรับสินค้ากลุ่มหนึ่ง เอ่ยกันว่าวันนี้จะปิดประตูเมือง หากล่าช้าเสียการเสียงานแล้วคงรับโทษไม่ไหว ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จมาอย่างไร แต่เมื่อเสด็จมาแล้วย่อมเป็นแขกของกระหม่อม เห็นพระวรกายของพระองค์คล้ายทรงประชวรเล็กน้อย ขอทรงพักผ่อนที่โถงข้างหลังก่อน กระหม่อมจะให้ครอบครัวถวายการดูแลพระองค์ ประเดี๋ยวจะเชิญหมอมาถวายการรักษาพระองค์”
จิ่งเหิงปัวยังไม่ได้คิดว่าจะยอมรับหรือไม่ เขาก็เอ่ยอย่างจริงใจอีกว่า “พระองค์โปรดวางพระทัย ทางกระหม่อมนี้ยามปกติประพฤติตัวดีเคารพกฎหมาย มีความสัมพันธ์อันดีกับทั้งขุนนางผู้ดูแลและผู้ครองที่ดิน ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นเป็นแน่”
ในใจของจิ่งเหิงปัวสะลึมสะลือ ขณะนี้คิดอะไรก็เชื่องช้า อีกทั้งไม่ได้เอาใจใส่ให้รู้แจ้งชัดเจน นางก็ถูกเจ้าของร้านที่กระตือรือร้นประคองไปข้างหลังด้วยตนเองประหนึ่งลมหอบ ประคองเข้าห้องข้างโถง ซ้ำยังสั่งให้ฮูหยินและบุตรชายบุตรสาวมาปรนนิบัติด้วยตนเอง
จิ่งเหิงปัวประคองร่างกายไม่ไหวแล้ว พอมองเห็นเตียงก็นอนลงไปอย่างควบคุมไม่ได้ เจ้าของร้านนั้นถอยออกไป เหลือเพียงฮูหยินและลูกชายลูกสาวคอยปรนนิบัติอย่างกระตือรือร้นเช่นเดียวกัน จิ่งเหิงปัวนอนมึนงงวิงเวียนอยู่ แม้ว่าอยากนอนอย่างยิ่งแต่ไม่กล้านอนเลย รู้สึกเสมอว่าในใจไม่สบายใจ แต่พอลืมตาขึ้นมองดูรอบด้านเงียบสงบ ฟูกนอนอบอุ่น สตรีที่ปรนนิบัตินางมีรอยยิ้มใจดีสนิทสนม พาให้คนไร้หนทางจุกจิกจู้จี้โดยแท้
บางครั้งอาจด้วยเพราะก่อนหน้านี้ผ่านประสบการณ์มากมายเหลือเกิน สูญเสียความไว้วางใจที่มีต่อมนุษย์ล่ะมั้ง…
นางสูญเสียยิ่งใหญ่เพียงข้ามวันข้ามคืน จิตใจพังพินาศ หลับตาลงอย่างควบคุมไม่ได้
ระหว่างสะลึมสะลือคล้ายฝันครั้งหนึ่ง ในฝันยังคงเป็นครั้งเมื่อนางเพิ่งมาถึงต้าเยียน ไปโรงจำนำขายมรกต เถ้าแก่โรงจำนำพานางเข้าสู่ภายในห้องอย่างกระตือรือร้น นางเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง มองไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว…
นางลืมตาขึ้นทันที ตื่นมาเหงื่อเย็นเยียบท่วมร่าง
ผิดปกติ!