เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 11.3
ตลอดช่วงที่ผ่านมา นางทั้งหัวเราะลั่น ยิ้มแย้ม แอบยิ้ม แม้กระทั่งแสยะยิ้มตามปกติ ทุกอย่างต่างคล้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทว่าผู้ที่เฉลียวฉลาดย่อมมองเห็นความเฉื่อยชากับความไม่สนใจไยดีเบื้องหลังรอยยิ้มของนาง
ราวกับว่ารอยยิ้มเช่นนั้นเป็นเพียงรอยยิ้มหนึ่งเท่านั้น ไม่เจือด้วยความสุขแท้จริงมากเพียงใด ซ้ำยังหนาวเย็นเล็กน้อยเฉกเช่นสายลมในค่ำคืนนี้
ทว่ารอยยิ้มยามนี้ของนาง รัศมีโค้งไม่ได้เกินจริง เพียงแต่เล็กน้อยผืนหนึ่ง ทว่าเขาเห็นนางยิ้มแย้มเช่นนี้น้อยครั้งนัก..ทั้งอ่อนโยน บริสุทธิ์ นุ่มนวลและหวนรำลึก ภายในนัยน์ตาเปล่งประกายแสงดาราทอดยาวเป็นที่สุด
นางยิ้มแย้มด้วยเพราะผู้ใด?
ผู้ใดที่ทำให้รอยยิ้มยามนี้ของนางงดงามดุจดั่งดอกบัวกลางสายลมได้
ครู่หนึ่งนี้ นางกำลังนึกถึงผู้ใดกัน?
…
เซ่าซือไม่นับว่าเป็นตำแหน่งสำคัญอะไร เป็นเพียงขุนนางผู้ช่วยกษัตริย์ ฉะนั้นในยามที่มีขุนนางหนาแน่นขณะนี้จึงไม่สะดุดตาอย่างยิ่ง
เดิมทีจิ่งเหิงปัวยังกังวลอยู่บ้าง ตอนนี้เมื่อมองเห็นฝูงชนคลาคล่ำจึงวางใจขึ้นมาทันที สถานการณ์แบบนี้อยากให้ถูกสังเกตเห็นเป็นเรื่องยากยิ่ง อยากไม่ถูกสังเกตเห็นเป็นเรื่องง่ายดาย เช่น นางรู้ว่าเฟยหลัวรวมทั้งขุนนางชั้นสูงเรืองอำนาจส่วนหนึ่งในตี้เกอจะมาร่วมงานด้วย แต่ตอนนี้นางยังหาใครไม่เจอเลย
คนเยอะแยะขนาดนี้ ตำหนักเยียนสี่ที่ใหญ่ที่สุดในพระราชวังยังบรรจุคนได้ไม่หมด ขุนนางขั้นสามลงไปต่างนั่งกลางแจ้งอยู่ลานนอกตำหนัก เพิงหลากสีสันตรงนั้นสร้างเสร็จเนิ่นนานแล้ว
เซ่าซือไร้อำนาจอย่างแท้จริงแต่มีลำดับขั้น ฉะนั้นจิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีจึงได้นั่งแถวภายในตำหนักแต่เข้าใกล้ประตูตำหนักแล้ว ตำแหน่งนี้ทำให้นางพอใจเป็นอย่างมาก สามารถสังเกตสถานการณ์ภายในตำหนักได้อย่างใกล้ชิด พอถึงคราวจำเป็นก็หลบหนีได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวมองขึ้นไปเห็นศีรษะมนุษย์คลาคล่ำ มองลงมาก็เห็นศีรษะมนุษย์คลาคล่ำยิ่งกว่า
ตรงกลางศีรษะมนุษย์คลาคล่ำสองกลุ่มใหญ่คือสระน้ำแห่งหนึ่ง กลางสระน้ำเต็มไปด้วยสิ่งของสีน้ำตาลอ่อนคล้ายดินเหนียวคล้ายของเหลว กำจายกลิ่นหอมเจือจาง ตรงกลางของสระน้ำมีโต๊ะทองคำที่วางสมุดทองคำตั้งอยู่ มองดูระดับความลึกที่ขาโต๊ะทองคำจมอยู่ในสระน้ำ โคลนเลนที่อยู่ในสระน่าจะมีระดับความสูงใกล้เคียงกับขาท่อนล่างของนาง
นี่มันหมายความว่าอะไร? นางรู้ว่าอีกเดี๋ยวต้องให้สามีภรรยาก้าวขึ้นไปร่วมประทับตราบนสมุดทองคำที่วางอยู่บนโต๊ะทองคำ จะให้สองคนนี้เดินผ่านโคลนเลนผืนนี้ไปเหรอ? เดินโซเซดังจ๋อมแจ๋มขนาดนี้ยังน่าดูอีกเหรอ?
“นี่คือประเพณีของแคว้นเซียง สามีภรรยาสมรสใหม่ต้องร่วมกันฟันฝ่าโคลนหอมก่อนถึงจะร่วมประทับตราได้ สาเหตุของเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตำนานเรื่องหนึ่ง” เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างกายรินสุราให้นาง เอ่ยข้างหูนางอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “กษัตริย์พระองค์แรกของแคว้นเซียงคือขุนพลหญิงอันดับหนึ่งข้างกายจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น เลื่องชื่อด้วยเพราะความกล้าหาญชาญชัย สงครามสร้างชื่อเสียงของนางคือยามนั้นที่จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นถูกกองทัพศัตรูล้อมโจมตีที่บึงโคลนเฮยสุ่ย ต้องการผู้ข้ามบึงโคลนแจ้งข่าว บึงโคลนเฮยสุ่ยเลื่องชื่อว่าเป็นเขตแดนแห่งนรก เป็นบึงโคลนอันตรายอันดับหนึ่งของต้าฮวง เหล่าวิหคไม่ข้ามผ่าน เหล่าเดรัจฉานไม่เข้าใกล้ บนบึงโคลนมีกระดูกขาวนับมิถ้วน เพียงกลิ่นที่บึงโคลนเฮยสุ่ยกำจายออกมาก็ทำให้คนร่างกายอ่อนแอสิ้นชีพอย่างรวดเร็วได้ ยามนั้นเหล่าขุนพลใต้บัญชาของจักรพรรดินีไม่มีผู้ใดกล้ารับปาก ขุนพลหญิงท่านนี้รับอาสาอย่างห้าวหาญ ข้ามบึงโคลนเฮยสุ่ยเพียงผู้เดียว ส่งข่าวสารสำคัญยิ่งนักออกไปจนได้ ยามข้ามบึงโคลนเฮยสุ่ยนางสูญเสียขาทั้งสองข้าง ฝืนใจคลานไปส่งข่าวสารจนสำเร็จลุล่วง ด้วยเพราะเหตุนี้ หลังจากสถาปนาแคว้น จักรพรรดินีให้นางเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการอันดับหนึ่ง พระราชทานสถานที่มีโคลนหอมซึ่งผลิตเครื่องหอมได้ให้นางเป็นเขตปกครองตนเอง เรียกนามว่าแคว้นหอมหวนหรือก็คือแคว้นเซียงในยามต่อมา”
“เช่นนี้นี่เอง” จิ่งเหิงปัวกล่าวคล้ายครุ่นคิดบางสิ่งว่า “พิการชั่วชีวิต มอบแคว้นให้ปกครอง สมควรแล้ว”
“เจ้าน่ะใจกล้าเฉกเช่นจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น” เหยียลี่ว์ฉีมองนางอย่างแปลกประหลาดปราดหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ยามนั้นผู้คนมากมายวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมการแต่งตั้งหกแคว้นแปดชนเผ่าของจักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้น คิดว่านี่คือการกระทำโง่เขลาที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อแบ่งแยกทัดทานอำนาจของกษัตริย์แห่งต้าฮวง เพียงแต่เนื่องจากบารมีใหญ่โตไร้เทียบเทียมของจักรพรรดินีจึงกล้าเพียงตำหนิอยู่ในใจเท่านั้น”
จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้ว ในใจคิดว่านั่นเพราะพวกเขาไม่เคยอ่านแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหม
“ฉะนั้นต่อมาราชวงศ์แคว้นเซียงจึงเพิ่มกฎเกณฑ์ขั้นหนึ่งนี้ สามีภรรยาในอนาคตร่วมลุยบึงโคลนเพื่อแสดงว่าไม่หลงลืมปราชญ์ผู้ล่วงลับ จับมือเดินเคียงคู่ ร่วมทุกข์ร่วมสุข พิชิตอุปสรรคนับพันนับหมื่นบนเส้นทางชีวิต” เหยียลี่ว์ฉีหรี่ตาขึ้น มองดูบึงโคลนหอมขนาดเล็กนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “ประเดี๋ยวเหอหว่านกับยงซีเจิ้งจะสวมรองเท้าสูงหุ้มเข่า เดินหันเข้าหากันข้ามบึงโคลนนี้จนถึงเบื้องหน้าโต๊ะทองคำ หากข้าเดาได้ถูกต้อง เฟยหลัวน่าจะเลือกบึงโคลนนี้เพื่อใช้วิธีการสกปรก”
“เจ้ากับเฟยหลัวติดต่อกันอย่างไร นางแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะลงมือช่วยเหลือ”
เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบาขึ้นมา
“เจ้าหัวเราะชั่วร้ายขนาดนี้ทำไมกัน?” จิ่งเหิงปัวเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี
เหยียลี่ว์ฉีลูบคลำปิ่นระย้าห้อยพู่ชมพูหนึ่งอันบนจอนผม ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ข้ากับเฟยหลัวนัดหมายกันไว้ ยามที่นางมองเห็นขุนนางผู้หนึ่งดื่มสุราพระราชทานรสเลิศอย่างตะกละตะกลาม หลังจากมึนเมาเล็กน้อยแล้วทำปิ่นระย้าทองคำบนศีรษะของฮูหยินร่วงหล่นโดยไม่ตั้งใจ ย่อมหมายความว่าข้ามาถึงที่นี่แล้ว”
จิ่งเหิงปัวชะงัก พอคิดอีกครั้งจึงหัวเราะฮิๆ ขึ้นมา แอบขยี้นิ้วมือเล็กน้อย
เดิมทีเจ้าเหยียลี่ว์ฉีคนนี้ก็คิดจะลวนลามนาง คราวนี้เขาก็ทำร้ายตัวเองเข้าแล้ว
“สามี เชิญดื่มสุราพระราชทานรสเลิศสักถ้วย…” เหยียลี่ว์ฉีใช้สองมือยกถ้วยสุราขึ้น หันข้างเล็กน้อยมองเห็นชาดแดงอ่อนผืนหนึ่งตรงหางตา ดวงตาของเขาเป็นรัศมีโค้งงดงามโดยกำเนิด ชม้ายชายตาขึ้นมาย่อมเป็นดอกท้อเมามายช่อหนึ่ง สุรารสเลิศยังทำให้ผู้คนมึนเมาได้ไม่เท่ารอยยิ้มของเขา
เหล่าบุรุษที่นั่งถัดไปทั้งซ้ายขวาต่างแอบชำเลืองสายตามาทางนี้ ตื่นตะลึงในรูปโฉมงดงามของ ‘ฮูหยินเซ่าซือ’ นางนี้
จิ่งเหิงปัวกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งหยาบกระด้างว่า “ถ้วยเล็กกระจ้อยเช่นนี้จะเพียงพอได้อย่างไร? ตัวข้าดื่มเอง!” ผลักเขาออกไปอย่างรุนแรง
เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีเอนเอียง พิงโต๊ะไว้ด้วยท่าทางอ่อนแอ จอนผมงดงามสั่นไหวแผ่วเบาระลอกหนึ่ง ทว่าปิ่นระย้าบนศีรษะยังไม่ร่วงหล่น
ขุนนางรอบด้านกลุ่มหนึ่งต่างใช้สายตาประณามจิ่งเหิงปัว…โฉมสะคราญอ่อนแอเช่นนี้ เจ้ายังกล้ามุทะลุดุดันปานนี้อีก!
จิ่งเหิงปัวแอบด่าว่าเหยียลี่ว์ฉีปักปิ่นระย้าอันนี้แน่นเหลือเกิน เขาบังคับตนเองให้เข้าใกล้เพื่อดึงออกนี่หว่า!
“สามี…” เหยียลี่ว์ฉีใช้แขนเสื้อปิดบังใบหน้า ประชิดมาใกล้อย่างน้อยใจยิ่งนักอีกครั้ง ยิ้มแย้มพลางกระซิบอยู่ข้างล่างแขนเสื้อว่า “นายท่านจิ่ง ข้าไม่ได้ให้ท่านปล้นสวาทเสียหน่อย ต้องรุนแรงปานนี้เลยหรือ?”
“ใช่แล้ว” จิ่งเหิงปัวแสร้งหัวเราะ โอบช่วงคอของเหยียลี่ว์ฉีไว้ในครั้งเดียว ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยิน ปิ่นระย้าอันนี้ของเจ้าเอียงแล้ว” แขนที่โอบลำคอของเหยียลี่ว์ฉีไว้พยายามรัดเขาอย่างรุนแรงไปพลาง ถ้วยสุราในมืออีกข้างหนึ่งเตรียมจงใจเอนเอียงกระแทกปิ่นระย้าไปพลาง
ข้างนอกพลันเงียบสงัด จากนั้นเสียงป่าวร้องยืดยาวดังขึ้น
“ราชครูมาเยือน…กษัตริย์เสด็จ…”
จิ่งเหิงปัวชะงักงัน
ถ้วยสุราในมือพลิกคว่ำอย่างควบคุมไม่ได้ สุราทั้งถ้วยหนึ่งราดรดบนมวยผมของเหยียลี่ว์ฉีดังซ่า…
พอหันหน้ามองเห็นขบวนรถลากของกงอิ้นกับกษัตริย์แคว้นเซียงมาถึงหน้าประตูตำหนักไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ผู้คนภายในลานตำหนักคุกเข่าคลาคล่ำเป็นผืนหนึ่งเนิ่นนานแล้ว
ผู้สวมชุดขาวราวหิมะสวมหมวกหยกคนนั้นบนขบวนรถลากชือหลง[1]เหลืองทองสองตัว ดวงเนตรเย็นชาดุจหมอกควันเหน็บหนาวแผ่คลุมทั่วทั้งตำหนักใหญ่ ทุกผู้คนเคร่งขรึมไร้ซึ่งสรรพเสียง
ทุกผู้คนภายในตำหนักใหญ่ตอบสนองรวดเร็วยิ่งนักเช่นกัน พลันหันกายคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียง
ฉะนั้นเหลือเพียงคู่ของจิ่งเหิงปัวที่มีท่วงท่าแปลกประหลาดคู่นี้
สายตาของกงอิ้นกับกษัตริย์แคว้นเซียงจึงทอดลงบนร่างของสามีภรรยาขุนนางอ่อนวัยตรงปากประตูตำหนักคู่นั้นโดยทันที
คล้ายกำลังหยอกล้อร่ำสุรา บุรุษโอบช่วงคอของสตรีไว้ถือถ้วยสุราเข้าใกล้นาง ท่วงท่าสนิทสนม ไม่หลบเลี่ยงสายตาผู้คน
สายตาของกงอิ้นเพียงมองอย่างเฉื่อยเนือยปราดเดียวแล้วเบนจากไป มองดูโคลนเลนสีเหลืองอ่อนภายในบึงโคลนหอมนั้นคล้ายรู้สึกว่าโคลนเลนนั้นน่ามองยิ่งกว่าเล็กน้อย
ทว่ากษัตริย์แคว้นเซียงมีสีหน้าไม่ค่อยดีเพียงใดแล้ว ขมวดคิ้วถามขันทีข้างกายว่า “ตรงนั้นคือผู้ใด?”
ขันทีเปิดรายนามโดยพลัน เอ่ยตอบว่าคือสามีภรรยาตำแหน่งเซ่าซือแห่งแคว้นอวี่
พอกษัตริย์ได้ฟังว่าเป็นขุนนางเพียงตำแหน่ง ก็หัวเราะเยาะออกมาโดยพลัน เอ่ยว่า “มีฐานะเป็นขุนนางแคว้นอวี่ มาเยือนสถานที่ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเช่นนี้แล้วยังไร้มารยาทเพียงนี้อีก มิใช่ทำให้งานเลี้ยงของข้าแปดเปื้อนความอัปยศไปด้วยหรือ? ยังไม่รีบขับไล่ออกไปให้พ้นอีก!”
“ช้าก่อน”
กษัตริย์หันหน้ามองกงอิ้นอย่างงงงัน เอ่ยว่า “ราชครู…”
“คืนนี้เป็นงานมงคลของพระองค์ เหตุใดต้องทรงกริ้วโกรธตั้งแต่งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม? ทำลายบรรยากาศปีติยินดี?” กงอิ้นเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ผู้อ่อนวัยไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ท่วงท่าวาจาเหลาะแหละ ประเดี๋ยวค่อยทรงว่ากล่าวตักเตือนย่อมดีกว่า”
ราชินียิ้มแย้มพลางห้ามปรามอยู่ฝั่งหนึ่งเช่นกันว่า “คนหนุ่มสาวน่ะ ยากจะหลีกเลี่ยงกระทำผิดพลาด เอ่ยจนสุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ชื่นชอบสุราเลิศล้ำหอมหวนในพระราชวังของพวกเรามิใช่หรือ?”
“ราชครูใจกว้าง ข้าจะกล้าไม่เชื่อฟังหรือ” กษัตริย์หัวเราะ โบกมือบอกใบ้ให้องครักษ์ที่ก้าวขึ้นมาถอยลงไป
ทุกคนรอบด้านมองดูฉากคั่นเวลาฉากหนึ่งนี้ ต่างคนต่างสบสายตากัน
หมู่นี้ได้ยินข่าวลือว่าราชินีหมิงเฉิงกลับคืนสู่ต้าฮวง ทว่าเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าแม้นางอยากเป็นหุ่นเชิดคงจะเป็นได้ไม่นาน ราชครูกงอิ้นกำลังแอบปรับเปลี่ยนตำแหน่งขุนนางในราชสำนัก ท่าทางเช่นนั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่ากระทำการตระเตรียมเพื่อแย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิ
หากเขาขึ้นครองราชย์ เขาจะเป็นจักรพรรดิบุรุษเพศพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ต้าฮวง
แคว้นเซียงอยู่ใกล้ตี้เกอมากที่สุดจึงเข้าใจสถานการณ์การเมืองภายในเป็นที่สุด การกระทำเรียกได้ว่าเป็นกังหันบอกทิศทางลมของทุกแคว้นทุกชนเผ่า เช่น พิธีการที่แคว้นเซียงปฏิบัติต่อราชครูในวันนี้แฝงความนัยลึกล้ำยิ่งนัก เอ่ยกันตามเหตุผลแล้ว ราชครูกับกษัตริย์ในต้าฮวงเอ่ยได้ว่าอยู่ระดับเดียวกัน ทว่ากษัตริย์แคว้นเซียงต้อนรับขบวนหน้าประตูวัง เกี้ยวหามตามอยู่ข้างหลัง อีกทั้งท่าทางเคารพนบนอบเช่นนี้ ความหมายลึกซึ้งในเหตุการณ์เหล่านี้ยังต้องเอ่ยออกมาอีกหรือ?
ฉะนั้นทุกคนคุกเข่าอย่างเคารพนบนอบมากยิ่งขึ้น แผ่นหลังต่ำลงมากยิ่งขึ้น
ด้วยเพราะเหตุนี้คู่ของจิ่งเหิงปัวที่โผล่ออกมาคู่นี้จึงแลดูสะดุดตา
อันที่จริงเหยียลี่ว์ฉีคิดว่าอย่างไรก็ได้ เตรียมพร้อมคุกเข่าสักหน่อยอยู่นานแล้ว สุดท้ายถูกจิ่งเหิงปัวโอบไว้อย่างรุนแรง ชั่วขณะหนึ่งรู้สึกว่านางแรงดีเหลือเกิน อยากให้ใช้แรงมากกว่านี้อีกสักหน่อย
อันที่จริงจิ่งเหิงปัวเตรียมใจมานานแล้วเช่นกัน แต่เมื่อครู่พอหันหน้ากลับไปโดยไม่ตั้งใจ ได้เห็นแววตาของคนคนนั้นอยู่ตรงหน้า คราวนี้เป็นครั้งแรกหลังจากเกิดเรื่องราวที่นางประสานสายตาอย่างใกล้ชิดกับเขาโดยตรง พริบตาหนึ่งนี้รู้สึกแค่ว่าแววตาของเขาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งลึกล้ำดั่งหุบเหว คล้ายซุกซ่อนความลับมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ผู้คนต้องการเพียงถูกลากเข้าไปภายในนั้น นางอดจะตกตะลึงไม่ได้
ตามความทรงจำของนาง ไม่เคยพบเห็นแววตาเช่นนี้ของเขามาก่อน
แต่พอคิดอีกครั้ง ก็อดจะหัวเราะเยาะตัวเองในใจไม่ได้…ไม่ได้เห็นบ่อยมากกว่ามั้ง หลังจากเรื่องนั้น ทุกอย่างน่าจะเปลี่ยนไปแล้วล่ะ
เขาที่นางมองเห็นในตอนนี้ถึงเป็นตัวตนที่แท้จริงไม่ใช่หรือ?
[1] ชือหลง มังกรไร้เขาชนิดหนึ่งในตำนานจีนโบราณ สัญลักษณ์แห่งความงดงาม มงคล โชคลาภ รวมทั้งความรู้สึกระหว่างหนุ่มสาว