เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 13.1
จันทร์เสี้ยวดั่งตะขอกลางราตรี
พระราชวังฟื้นคืนสู่ความเงียบสงัดแล้ว
ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงกลับตาลปัตรอย่างไร ไม่ว่าโลหิตแดงฉานสาดกระเซ็นอย่างไร ทั้งสองอย่างต่างจะถูกกาลเวลาพัดพาสูญสลาย ไม่แน่ว่าจะถูกบันทึกลงบนหน้าประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ
เหอหว่านควบคุมพระราชนิเวศน์แล้ว
ในฐานะที่เป็นธิดาที่กษัตริย์แคว้นเซียงรักใคร่ที่สุด นางรู้กระทั่งว่าตำแหน่งของพระราชลัญจกรกับตราลับของกษัตริย์อยู่ที่ใด ถ่ายทอดพระบรมราชโองการแทนกษัตริย์ ควบคุมอำนาจทางทหารของเมืองหลวงอย่างราบรื่น คุมขังราชินีแคว้นเซียงที่บาดเจ็บสาหัสและย้ายตำหนักของซื่อจื่อ
ทว่ายามล้อมสังหารเฟยหลัวเกิดความผิดพลาด จับตัวนางไว้ได้แล้ว แต่นางหนีรอดไปได้ระหว่างขั้นตอนควบคุมตัวเข้าคุกสวรรค์ ตัวเฟยหลัวเองมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับกษัตริย์เฒ่า คุ้นเคยเส้นทางในพระราชวังยิ่งนัก ซ้ำยังซุกซ่อนสายลับกับตัวหมากไว้ในวังไม่น้อย คนสามคนสวมหน้ากากคล้ายคลึงนาง บดบังสายตาของพลไล่ล่า ช่วยให้นางหลบหนีออกจากพระราชวังได้ตามลำดับ
ทว่าแม้หลบหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แต่ภายหลังนางไม่มีอำนาจน่าเกรงขามของเสนาหญิงแล้ว เหอหว่านออกคำสั่งถอดถอนตำแหน่งเสนาหญิงของนางโดยพลัน ให้ยงซีเจิ้งรับตำแหน่งต่อจากนาง
ยามเหอหว่านรายงานต่อกงอิ้น นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ทว่ากงอิ้นคล้ายไม่สนใจ เพียงเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ปล่อยกวางหมีลู่[1]เข้าป่า จะได้ให้ผองสัตว์ร่วมไล่ล่ามัน”
ยามที่เอ่ยวาจานี้เขาเงยหน้ามองพระจันทร์ผ่องอำไพ ดวงแก้มท่วมท้นด้วยแสงรุ่งโรจน์ประหนึ่งแสงจันทร์
เหอหว่านไม่ค่อยเข้าใจความนัยของราชครู เขาคล้ายไม่ได้นำความเป็นความตายของเฟยหลัวมาใส่ใจ กวางหมีลู่หมายถึงเฟยหลัวหรือ? เสนาหญิงแคว้นเซียงผู้สง่าผ่าเผยเป็นเพียงกวางหมีลู่ในสายตาเขาหรือ? เขาปล่อยกวางหมีลู่หลบหนีเพื่อให้ ‘ผองสัตว์’ ล้อมไล่ล่าหรือ? หมายถึงฝึกฝนเขี้ยวเล็บหรือ? เช่นนั้น ‘ผองสัตว์’ หมายถึงผู้ใดกัน?
นางสงสัยแต่ไม่กล้าถาม พอมองดูเงาด้านหลังที่ไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงน้อยของบุรุษผู้นี้ นางก็พลันรู้สึกว่าคล้ายมีแรงกดดันมหาศาลปานขุนเขาถาโถม นางไม่กล้าเร่งเร้า
คนผู้นี้ไม่ได้อายุมากกว่านางสักเพียงใด แล้วเขาเติบโตเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? อีกทั้งตลอดเส้นทางนี้ลำบากยากเข็ญอย่างไร? ก้าวเดินมาจนถึงบัดนี้ประสบพบเจอความเจ็บปวดยามใจสลายและบาดแผลจากการลอบกัดมากเพียงใดกันแน่?
เขามองทะลุความรู้สึกเช่นนี้ มองเห็นอนาคตอันเยือกเย็น ยามที่ต้องเผชิญหน้ากับความรักเบื้องหลังราชวงศ์ เช่นนั้นตัวเขาเองเล่า? เคยมี…ความรักลึกซึ้งที่ไม่มีวันลืมสักครั้งหรือไม่?
นางอำลากงอิ้นอย่างนอบน้อม ยามที่เดินออกนอกประตูพลันนึกถึงเจนนี่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าตอนนี้นางไปอยู่ที่ใดแล้ว ช่วยเหลือตนเองครั้งใหญ่ขนาดนั้น นางยังไม่ทันได้ขอบคุณเลย
พอเดินออกนอกตำหนัก นางก็พลันหยุดยั้งฝีเท้า
ยงซีเจิ้งยืนนิ่งเงียบอยู่เบื้องหน้าระเบียงยาวภายใต้แสงจันทร์ หันหน้าเข้าหาตำหนักสง่างาม ท่วงท่ารอคอยท่วงท่าหนึ่ง
น้ำค้างยามราตรีเปียกชื้นไหล่ของเขา ที่หว่างคิ้วมีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่เล็กน้อย สีหน้ายามเขาเชิดสายตามองมาอ่อนโยนเฉกเช่นเคย
เหอหว่านจ้องมองเขา พริบตาเดียวหลากหลายความรู้สึกผสมผสานรวมกัน
ผู้เคยคิดหวังรั้งไว้สูญสิ้นไปปานกระแสธารหลาก ผู้เคยคิดหวังผลักไสยังรอคอยอยู่ตำแหน่งเดิมตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ สุดท้ายแล้วสิ่งใดเรียกว่าชั่วฟ้าดินสลายกันแน่ บางครั้งมีเพียงกาลเวลาที่อาจจะให้คำตอบได้
ผ่านไปเนิ่นนาน นางสูดหายใจแล้วผลิแย้มรอยยิ้มออกมาเช่นกัน ถลกชายกระโปรงขึ้น เดินไปหาเขาอย่างแผ่วเบา
…
กงอิ้นไม่ได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
เหมิงหู่ปรากฏกายข้างหลังเขาอย่างเงียบเชียบ
“นายท่าน เหตุใดท่าน…”
กงอิ้นตั้งฝ่ามือขึ้น เหมิงหู่จึงไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก เพียงก้มหน้าลง บดบังความกลัดกลุ้มและความสงสารลึกล้ำกลางแววตาเอาไว้
“ตระเตรียมเสร็จหรือยัง” กงอิ้นพลันถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เสร็จเรียบร้อยแล้วขอรับ” เหมิงหู่เอ่ยตอบโดยพลัน เอื้อมมือเช็ดสาบเสื้อ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
กงอิ้นพยักหน้า โบกมือบอกใบ้ให้เขาถอยไป ยามที่เหมิงหู่หันหลัง ก็อดจะเปล่งเสียงถอนใจออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจไม่ได้
…
ร้อนเหลือเกิน…หนาวเหลือเกิน…อึดอัดเหลือเกิน…เหม็นสาบเหลือเกิน…
ความรู้สึกสับสนและซับซ้อนพวยพุ่งเข้ามาทีละระลอกดุจกระแสน้ำ ร่างกายตกอยู่ท่ามกลางการรับรู้สัมผัสวนเวียนแปลกประหลาด ขยับเขยื้อนไม่ได้ แต่จิตสำนึกแจ่มชัดผิดปกติ คล้ายขนทุกเส้นบนผิวหนังต่างรู้สึกได้ถึงความมืดมิดรอบด้านขณะนี้ สภาพแวดล้อมเปียกชื้น ฟางข้าวอ่อนนุ่มใต้ร่างกาย หยดน้ำซึมออกมาจากบนกำแพงอย่างเชื่องช้า ฝุ่นบนกำแพงถูกไอชื้นกัดกร่อนจนร่วงกราว ไกลออกไปมีแสงไฟเบาบาง เป็นตะเกียงทองแดงที่ประดับอยู่บนกำแพงศิลา…
จิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้นมาทันที
ตรงหน้ามืดมิด เปียกชื้น ฟางข้าวใต้ร่างกายอบอุ่นและแห้งนุ่มเสมือนการรับรู้ของนางจริงด้วย
รู้สึกเหมือนคุก?
นางนอนอ้าขาอยู่ หัวเราะฮิๆ ออกมาเล็กน้อย…แม่งเอ๊ย คุกเหมือนจะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นางเอกในนิยายทะลุมิติต้องไปหลังจากพักอาศัยท่องเที่ยวฆ่าคนวางเพลิงหลอกลวงลักพาตัวแล้ว
นอนอยู่สักพัก สถานการณ์ยามก่อนที่จะสลบไสลค่อยๆ หวนคืนกลับมา นางนึกถึงหมอกเทาที่เจ้าตัวสีดำนั่นพ่นใส่ปากนาง รู้สึกว่ามันเป็นพิษร้ายกาจอย่างยิ่ง แล้วทำไมตนเองยังไม่ตาย?
หรือว่าเพราะในร่างกายมีพิษอยู่แล้ว ใช้พิษโจมตีพิษแบบนิยายน้ำเน่า?
นางรับรู้ถึงสภาพการณ์ของตนเองเล็กน้อย รู้สึกบอกไม่ถูกว่าเป็นสภาวะอะไรสักอย่าง ไม่ค่อยสบายเท่าไร ภายในร่างกายเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวคล้ายมีกระแสปราณหลายสายโจมตีซึ่งกันและกัน ก่อกวนจนนางคลื่นไส้อยากอาเจียน
นางลองใช้วิธีหายใจแบบโยคะของตนเองมาโคจรกระแสปราณภายในร่างกาย แต่ยิ่งโคจรก็ยิ่งยุ่งเหยิง ภายในร่างกายพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน แม้แต่สมองยังไม่แล่นแล้ว ได้แต่นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
เมื่อมองสังเกตรอบด้านสักหน่อย พื้นของคุกแห่งนี้ก็เป็นแผ่นศิลาทั้งแผ่น กำแพงสี่ด้านต่างเป็นกำแพงศิลา แข็งหนาอย่างยิ่ง หน้าต่างบนหลังคาอยู่ไกลโพ้น ประตูอาจจะมีเพียงประตูเดียวอยู่ตรงทางสัญจรไกลโพ้นฝั่งนั้น ประตูคุกและราวลูกกรงทำจากเหล็กกล้า แม่กุญแจหนาเท่าแขน พอมองเห็นก็รู้ว่าเป็นคุกที่เอาไว้กักขังผู้ร้ายลำดับต้น แม้ยอดฝีมือมากันกลุ่มหนึ่งยังบุกเข้ามาไม่ได้โดยง่าย
นางรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เข้าคุกมาได้อย่างไร? เหมือนจะไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงอะไรนะ? พุ่งออกมาช่วยเหอหว่านก็ผิดด้วยเหรอ?
พอนึกถึงเหอหว่าน ในใจนางเกร็งแน่น…หรือว่าเหอหว่านแพ้แล้ว? ถูกจับเข้าคุกมาด้วย? ฉะนั้นนางที่พุ่งออกมาช่วยเหอหว่านเลยโดนหางเลขไปด้วยอย่างนั้นเหรอ?
ดูท่าทางคงเป็นแบบนั้น
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมา รู้สึกว่าบางครั้งโชคชะตาก็โหดร้ายแบบนี้ล่ะ ไม่ว่าจะเตรียมตัวอย่างละเอียดรอบคอบแค่ไหน แต่ก็ยังต้านทานการหยอกเย้าตามใจชอบของสวรรค์ไม่ได้
ขยับเขยื้อนไม่ได้ชั่วคราว นางคิดว่าเมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่อย่างสงบสุข วางแผนปรับปราณพลางสังเกตรอบด้าน พยายามทำใจเย็นนึกถึงนิยายโรแมนติกน้ำเน่าที่เคยอ่านเมื่อก่อนพวกนั้น อยู่ในคุกมักได้เจอเพื่อนร่วมคุกที่แปลกประหลาด เหมือนนิยายที่เคยอ่านเมื่อก่อนชื่ออะไรนะ เหยาอะไรฮองเฮาสักอย่างมั้ง? ที่นางเอกเข้าคุกเพราะทางการตั้งหลายครั้ง เคยพบเจอยอดฝีมือเลิศล้ำทั่วหล้าที่รอคอยนางมานานหลายปี ซ้ำยังเคยพบเจอคนรักเก่าของมารดาที่รู้ชาติกำเนิดของนาง ทั้งเก่งกาจทั้งลึกลับ ความน้ำเน่าสาดกระเซ็นทั่วพื้น ตอนนี้ตนเองติดคุกแล้ว ข้างซ้ายข้างขวาว่างเปล่าไร้เงา พอมองเห็นก็รู้ว่าทั่วทั้งคุกไม่มีใครเลย แม่งเอ๊ย ยอดฝีมือล่ะ? คนเปิดเผยชาติกำเนิดล่ะ? ยอดฝีมือมาไม่ได้ ขอแมลงสาบสักตัวก็ยังดี!
นั่นสิแมลงสาบ…
จิ่งเหิงปัวรู้สึกอีกครั้งว่าผิดปกติ ข้างนอกคุกแห่งนี้มืดครึ้มอับชื้นเหมือนคุกมาก แต่ภายในห้องขังกลับสะอาดอย่างยิ่ง ไม่มีเพื่อนบ้านผู้เป็นมิตรอย่างเช่น พวกหนูพวกแมลงสาบที่เคยได้ยินมาสักตัว บนพื้นไม่มีแม้แต่วัชพืชเสียด้วยซ้ำ ฟางข้าวใต้ร่างกายก็เหมือนเพิ่งเปลี่ยนใหม่ ยังกำจายกลิ่นแสงอาทิตย์อันอบอุ่นอยู่เลย
คาดว่าคงเป็นคุกระดับสูงภายในคุกสวรรค์
จิ่งเหิงปัวหลับตาลงเตรียมจะนอนหลับสักตื่น สะสมกำลังวังชาแล้วค่อยหาสิ่งของมากระแทกหน้าต่างบนหลังคานั่น นางคาดว่าอีกเดี๋ยวเหยียลี่ว์ฉีก็คงจะรออยู่ที่นั่นแล้ว
ครู่ที่นางหลับตาลงนั้น ก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ เมื่อลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหันอีกครั้ง ก็เบิกตามองเท้าตนเองอย่างตกใจ
ปลายเท้ามีฟางข้าวสูงตระหง่านกองอยู่ แต่เดิมขวางกั้นกำแพงครึ่งหนึ่ง
ขณะนี้ฟางข้าวกองนี้พลันค่อยๆ นูนขึ้น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ฟางข้าวที่อยู่ข้างบนไถลลงมาดังสวบสาบ ต่างร่วงหล่นลงบนร่างนาง
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียง พลั่ก!
จากนั้นนางปากอ้าตาค้าง มองเห็นคนผู้หนึ่งที่โผล่ออกมาจากปลายเท้าของตนเอง
…
[1] กวางหมีลู่ หรือกวางคุณพ่อดาวีด ชื่อวิทยาศาสตร์ Elaphurus davidianus ลักษณะส่วนหัวเหมือนม้า กีบเท้าเหมือนวัว หางเหมือนลาและเขาเหมือนกวาง