เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 14.1
นางรู้สึกว่าท่าทางนั้นเมื่อครู่นั้นแลดูคุ้นเคย
เมื่อก่อนตอนอยู่ในวัง ก่อนใช้ตะเกียบจะมีคนหยิบผ้าสีขาวราวหิมะออกมาเช็ดตะเกียบก่อนอีกรอบหนึ่ง เป็นเพราะนางรู้สึกว่านิสัยแบบนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องดี ผ้าจะขาวราวหิมะเพียงใด แต่เมื่อหยิบออกมาจากในอ้อมแขนย่อมเต็มไปด้วยเชื้อโรค จุ่มน้ำร้อนโดยตรงยังดีเสียกว่า นิสัยแบบนี้ถึงถูกยกเลิกไป
คนคนนี้ก็มาจากในวังเหมือนกันหรือ?
แต่ว่าพวกตระกูลผู้ดีในต้าฮวงหลายคนก็มีนิสัยแบบนี้เช่นกัน ไม่ใช่ทุกผู้คนที่เข้าใจเจ้าเชื้อโรคตัวร้าย
อาหารทุกจานนั้นก็ถูกนางเลือกกินหมดแล้ว คุ้ยเขี่ยจนน่าเกลียดยิ่งนัก ทว่าเขาคล้ายไม่รังเกียจ กลับคีบอาหารมากินเรื่อยเปื่อย จิ่งเหิงปัวจ้องมองท่วงท่าการกินของเขา…นี่คือหนึ่งในพฤติกรรมที่จะสะท้อนให้เห็นการอบรมสั่งสอนของคนได้ดีที่สุด
คนที่ได้รับการอบรมสั่งสอนดี ท่วงท่าการกินอาหารจะสำรวมเสมอ ถึงเจ้าจะให้เขาแสร้งทำตัวไร้มารยาทก็ยังแสร้งไม่ไหว
เขาไม่เหมือนผู้กล้าในยุทธภพโดยแท้ ท่วงท่าขณะกินอาหารสง่างามอย่างยิ่ง ขบเคี้ยวไร้เสียง แม้รู้สึกได้ถึงการจ้องมองของนาง ทว่ายังคงสุขุมเยือกเย็นเช่นเดิม
แววตาของจิ่งเหิงปัววูบไหว
นางเริ่มคีบอาหารให้เขาอย่างกระตือรือร้น
คีบผักกวางตุ้งครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ผักกวางตุ้งมีสารอาหารเป็นที่สุด”
คีบหัวผักกาดชิ้นหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “หัวผักกาดช่วยขับลมได้”
แล้วเขี่ยเนื้อแพะให้เขาทั้งจาน แล้วกล่าวว่า “เนื้อแพะช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้”
เขาไม่ปฏิเสธความหวังดี นอกจากยามที่ได้ยินคำว่าเพิ่มสมรรถภาพทางเพศแล้วนั้นคล้ายไม่เห็นด้วยกับนาง มองไม่เห็นความลำบากใจภายในสีหน้าแม้เพียงน้อย และมองไม่เห็นความชื่นชอบ คล้ายเพียงกินอาหารเท่านั้น
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจออกมายืดยาวเฮือกหนึ่งจากก้นบึ้งของหัวใจ
ผักกวางตุ้ง หัวผักกาดและเนื้อแพะเป็นสิ่งที่กงอิ้นไม่กินแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื้อแพะ พอเขาได้กลิ่นเนื้อแพะในรัศมีสามลี้ก็จะขมวดคิ้วคลื่นไส้สั่งให้คนรีบนำออกไป
แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่กงอิ้นไม่ชอบกินมีมากมายเหลือเกิน จนทำให้สุดท้ายแล้วนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาชอบกินอะไร
นางเหม่อลอยอยู่บ้าง…เข้าใจเกินไป บางครั้งกลับกลายเป็นไม่เข้าใจสินะ?
จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าอาหารที่นางชื่นชอบซึ่งนางเคยคีบไปก่อนหน้านี้ เขากลับไม่แตะต้องเลย
เพราะไม่ชอบกินหรือ? หรือเพราะรังเกียจน้ำลายนาง? หรือเพราะยอมให้นางกินตามมารยาท?
ท่าทางนี้ทำให้นางดุจดั่งนึกถึงเมื่อก่อน คล้ายเคยมีคนปฏิบัติต่อนางแบบนี้ด้วย เพียงพริบตาหนึ่งก็นึกได้ว่าท่าทางเช่นเดียวกันแต่ว่าคนละคนกัน
นางเคี้ยวเนื้อวัวชิ้นหนึ่งอย่างเชื่องช้า สูญเสียความอยากอาหารขึ้นมากะทันหัน
เขาเงยหน้ามองดูนาง เอ่ยขึ้นโดยพลันว่า “อาหารมื้อที่น่าจดจำที่สุดที่เจ้าเคยกินคือมื้อใด”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากถามนางก่อน นางกำลังเหม่อลอย จึงโพล่งปากตอบออกไปว่า “สามคนดื่มสุราน้ำแข็งหลงซานใต้ต้นหงเฟิง…” พอกล่าวออกมาก็ตกใจว่าพลั้งปาก รีบเร่งหยุดยั้งไว้
“สุราน้ำแข็งหลงซานหรือ?” เขาเอ่ยอย่างสงสัยโดยแท้ว่า “เจ้ากำลังคุยโวโอ้อวดอยู่กระมัง? สิ่งนี้เป็นสุราเลื่องชื่อที่กษัตริย์ทรงดื่ม คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ดื่มหรอก”
“ว้าว เรื่องนี้เจ้าก็ยังมองออกด้วย เจ้านี่เฉลียวฉลาดยิ่งนักโดยแท้ เหอะๆๆ” นางกวัดแกว่งตะเกียบไปมา เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาทันที แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นอาหารมื้อที่น่าจดจำที่สุดที่เจ้าเคยกินคือมื้อใด”
เขาหลุบตาลง นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่แล้วเอ่ยว่า “มื้อนี้”
“เสแสร้ง!” จิ่งเหิงปัวแค่นลมออกจมูก
“ด้วยเพราะเจ้าเชิญข้ากินข้าว” เขาเอ่ย
“หรือว่าไม่เคยมีผู้ใดเชิญเจ้ากินข้าวเลย?” นางกล่าวอย่างประหลาดใจ
“คนเช่นข้านี้” เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ผู้ใดจะเชิญข้ากัน?”
“คนเช่นเจ้าทำไมหรือ?” จิ่งเหิงปัวกะพริบตา กล่าวว่า “นอกจากสกปรกไปหน่อย ตัวเหม็นไปหน่อย นิสัยแปลกประหลาดไปหน่อย สภาพยามนอนหลับแย่ไปหน่อย ปากค่อนข้างตะกละไปหน่อย…เรื่องอื่นข้ารู้สึกว่ายังพอไหวนะ”
ตะเกียบของเขาหยุดลงชั่วครู่ คุ้ยข้าวต่อไปอย่างเงียบเชียบ
“จริงนะ” นางกล่าวด้วยอารมณ์ลึกซึ้งว่า “ข้ารู้สึกว่า อย่าได้มองผู้คนบนโลกนี้เพียงลักษณะภายนอก อย่าได้ตัดสินคนจากหน้าตาเชียว หลายคนงดงามอิ่มเอิบ บริสุทธิ์ผุดผ่อง แท้จริงแล้วข้างในเป็นชายโฉดหญิงชั่ว กระทำแต่เรื่องเลวทราม…นี่ๆๆ เจ้ากินรวดเร็วขนาดนี้ทำไมกัน นี่ๆๆ นั่นมันเนื้อวัวที่ข้าชอบนะ…อ๊าๆๆ ข้าวหมดแล้ว! ข้ายังไม่ได้กินเลยนะ!”
จิ่งเหิงปัวทำหน้าอยากร้องไห้ให้ชามข้าวที่ว่างเปล่า เจ้าคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้นก็เช็ดปาก เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอิ่มแล้ว”
“แต่ข้าไม่อิ่ม!”
“เช่นนั้น” เขาชี้ไปยังปากของนาง เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “คราวหน้ายามที่กินข้าว จำไว้ว่าอย่าได้เอ่ยวาจามากมายเพียงนั้น”
จิ่งเหิงปัวนิ่งเงียบไป “…”
หลังจากการสั่งสอนด้วยข้าวมื้อหนึ่ง นางก็จดจำไว้เป็นบทเรียนแล้ว ตัดสินใจที่จะไล่เพื่อนร่วมห้องขังคนนี้ออกไป
“เจ้าไม่ไปอยู่ห้องข้างๆ หรือ?” นางกล่าวเกลี้ยกล่อมขึ้นต่อเป็นลำดับแรกว่า “สองคนเบียดเสียดบนผืนฟางเดียวกันก็อึดอัดเหลือเกิน เหตุใดต้องกระทำเช่นนี้ด้วยเล่า ทางนั้นมีห้องว่างอยู่มากมาย เจ้าเลือกตามใจชอบสักห้องเถิด อยากนอนก็นอน อยากกลิ้งก็กลิ้งไม่ดีหรือ?”
“ไม่เอา ข้ากลัวความมืด” เขาเอ่ย
นางคิดว่า แม่งเอ๊ย นายกลัวความมืดแล้วนายขุดอุโมงค์ใต้แสงอาทิตย์เหรอ?
“หากเจ้ากลัวความมืดเช่นนั้นก็เลือกห้องข้างๆ ข้าก็ได้มิใช่หรืออย่างไร? เจ้าดูสิห้องข้างๆ มีห้องชุดระดับห้าดาว ซ้ำยังมีห้องน้ำในตัวด้วยนะ” นางรู้สึกว่าตนเองควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น ขณะนี้ยังคงยิ้มหวาน กล่าวว่า “ดูสิ ถังชักโครกของทางนั้นสะอาดกว่าของทางนี้ด้วย”
“เจ้าชอบนอนกรน ข้าตบเจ้าตื่นได้ทุกเวลา นอนอยู่ห้องข้างๆ ย่อมต้องลุกขึ้นมาตบเจ้าบ่อยครั้ง ยุ่งยาก”
ตบน้องสาวแกนู่น! บ้านแกสินอนกรนกันทั้งตระกูล!
เมื่อโน้มน้าวไม่ได้ผล นางจึงเริ่มร้องเพลงขึ้น “ฉันคือนกน้อยๆ น้อยๆ ตัวหนึ่ง อยากจะบินแต่บินแค่ไหนก็บินไม่สูง” เสียงสะท้านถึงกระเบื้องหลังคา ไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์
เขาเอ่ยว่าไพเราะ จัดมาอีกสักบทเพลง
ร้องเพลงเสร็จนางก็เริ่มเคาะถ้วยชาม เสียงอึกทึกกรอกหู ตัวนางเองยังหนวกหูจนวิงเวียนตาลาย พอหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นว่าเขานอนหลับไปแล้ว
ครอบครองตำแหน่งตรงกลางสุดของผืนฟางนาง
จิ่งเหิงปัวพิงกำแพงด้วยความเดือดดาล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมนอนหลับ ผ่านไปสักพักนางก็มองดูเจ้าคนนั้นยังคงนอนหลับอย่างไม่คิดอะไรมาก
นางทำหน้าบึ้งตึงนวดคลึงกระเพาะ
อยากปัสสาวะ ทำอย่างไรดี?
ก่อนหน้านี้ที่อยากไล่เขาไปก็เพราะว่าอยากแก้ไขปัญหาทางกายภาพบางอย่าง แต่เจ้าคนนี้กลับตามติดไม่ยอมไปไหน ตอนนี้นางขยับร่างกายได้เพียงท่อนบน ท่อนล่างยังคงแข็งทื่อ จะทำอย่างไรดี? คลานไปทางถังชักโครกต่อหน้าเขาเหรอ? ต่อให้คลานขึ้นไปได้แล้วจะปัสสาวะอย่างไร
เจ้าคนนั้นพลันพลิกตัวบนกองฟางครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ถังชักโครกของห้องข้างๆ ดีมากจริงหรือ”
“หา?” นางที่กำลังครุ่นคิดเรื่องเข้าห้องน้ำกลับนึกไม่ถึงว่าเขาตื่นแล้วจะพลันถามคำถามนี้ขึ้น ไม่ทันได้รู้สึกตัวขึ้นมา เขาก็ลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นขอดูหน่อย”
“ดูสิ่งใด”
จากนั้นนางก็รู้แล้วว่าดูอะไร
เขาลากถังชักโครกหลังม่านคุกออกมาวางพิงกำแพงไว้ แล้วเดินมายังข้างกายนาง เอื้อมมืออุ้มนางขึ้นมา
“เจ้าจะทำอะไร!” จิ่งเหิงปัวเอื้อมมือควานหากริชทันที
เขาไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียว กลับอุ้มนางนั่งลงบนถังชักโครก
นางงงงวยอยู่ตรงนั้น
นิ้วมือของเขาสะบัดเพียงครั้ง นางก็รู้สึกได้ทันทีว่าบนช่วงท้องผ่อนคลาย…เข็มขัดร่วงลงไปแล้ว นางรีบใช้สองมือคว้าบริเวณเอวไว้
เข็มขัดนี่สำคัญมาก ไม่รีบหน่อยเดี๋ยวคงต้องเปลือกกายจริงๆ แล้ว
เขาไม่ได้มองนาง แววตาเหลียวมองไปรอบด้าน แล้วเอ่ยว่า “เจ้าดูเถิดว่าสีสันรูปแบบของถังชักโครกนี้เป็นอย่างไร ข้าจะไปดูว่ายังมีถังชักโครกที่สะอาดยิ่งกว่านี้หรือไม่” เอ่ยเสร็จก็เดินไปยังข้างราวลูกกรงอย่างแช่มช้า ง้างแท่งเหล็กออกอย่างง่ายดาย เดินไปยังห้องข้างๆ แล้ว
จิ่งเหิงปัวปากอ้าตาค้างมองดูเงาด้านหลังของเขาที่หายไปในความมืดมิดอีกครั้งหนึ่ง
งงงวยอยู่ครู่หนึ่ง นางก็หลุดหัวเราะออกมาดังพรืด