เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 16.3
หลังจากเสียงตะคอกนั้น ก็เป็นความเงียบสงัดที่ทำให้คนหยุดหายใจ
เฟยเฟยกระโจนกลับมาจากเพดานถ้ำ ดวงตากลมโตกะพริบให้จิ่งเหิงปัวอย่างเชื่องช้า จิ่งเหิงปัวพยักหน้าแล้วส่ายหน้าอีกครั้ง
มุมปากของนางเชิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับกำลังยิ้มแย้มเช่นเคย เพียงแต่รัศมีโค้งนั้นบิดเบี้ยวและชั่วร้าย
นานครู่ใหญ่ ภายในถ้ำก็มีเสียงวาจาของเหยียลี่ว์ฉีดังขึ้น เสียงนั้นแหบแห้งเล็กน้อย
“ได้ ข้ากิน”
ผู้คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งยิ้มแย้มด้วยสมปรารถนา เงาดำบนผนังถ้ำสั่นไหวไม่หยุดหย่อน
เหยียลี่ว์ฉีเอื้อมมือไปคว้ายานั้นอย่างเชื่องช้า
เสียงหัวเราะของทุกคนเลวทรามดั่งหมาใน
จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้วขึ้น
มือที่ยื่นออกไปของเหยียลี่ว์ฉีพลันยื่นไปข้างหลังเพียงครั้ง ยื่นเข้าไปในบึงโคลนเลนที่ทอดยาวคดเคี้ยวไหลผ่านข้างหลัง ห้านิ้วดุจตะขอ คว้าลงข้างล่างฉับพลัน!
ตู้ม! ดังขึ้นเสียงหนึ่ง น้ำโคลนกระเซ็นทั่วทิศ เงาดำขนาดมหึมาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า สิ่งของขนาดใหญ่สิ่งหนึ่งกลางน้ำโคลนถูกเขาคว้าขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ออกแรงกวัดแกว่งอย่างรุนแรงกลางอากาศ!
พลั่ก! ดังทึบเสียงหนึ่ง เสียงลมคลุ้มคลั่ง สิ่งของขนาดใหญ่ก้อนนั้นกระแทกกลางกลุ่มคนอย่างรุนแรง! ผู้ชราคนนั้นประสบภัยเป็นคนแรก!
พอผู้ชราเงยหน้าพลันมองเห็นเงาดำใหญ่โตจะกระแทกลงบนศีรษะ น้ำโคลนราดรดลงมาทั่วศีรษะดังซ่า เขาถอยหลังอย่างตื่นตระหนก ทว่าคนข้างหลังเดินโซซัดโซเซ ท่วงท่าเชื่องช้า เขาชูสองฝ่ามือเต็มกำลังหวังต้านทาน ทว่าสายไปเสียแล้ว
เสียงลมดุจพยัคฆ์คำราม ความมืดมิดบังเกิดขึ้นตรงหน้า
แรงสั่นสะเทือนยามสิ่งของขนาดใหญ่กระแทกลงมาหนักหน่วง ทั่วทั้งกลางภูเขาคล้ายสั่นสะท้านจนส่งเสียงดังหวึ่งๆ
ร่างกายครึ่งหนึ่งของผู้ชราถูกทับไว้ กระอักโลหิตแดงฉานออกมาดังอั่ก
เขาเบิกตากว้าง เอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้ากล้า…เจ้ากล้า…เหยียลี่ว์ฉีเจ้าเสียติไปแล้ว! เจ้าฝืนโคจรปราณแท้หลังจากถูกพิษ มือของเจ้า…”
วาจาของเขายังไม่ทันสิ้น เหยียลี่ว์ฉีก็เฉียดเข้ามาแล้ว แขนเสื้อสีดำเหลือบเงินพัดพลิ้วกลางอากาศ ดุจดั่งปีศาจยามราตรีที่เหาะเหินเดินข้ามท้องฟ้าสีครามตนหนึ่ง
คนที่ไม่ได้ถูกกระแทกจนล้มลงอีกหลายคนไม่ทันได้ประคองผู้ชราคนนั้น ชักเท้าออกวิ่ง ทว่าฝีเท้าคดเคี้ยววกวนประหนึ่งเมาสุราไม่รู้ว่าด้วยเพราะเหตุใด
เหยียลี่ว์ฉีเหินลงมา เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนใบหน้าของผู้ชรา เหยียบย่ำจนเสียงก่นด่าของเขากลายเป็นเสียงกรีดร้อง จากนั้นก็ชักกระบี่อย่างเด็ดเดี่ยวแล้วแทงลงไปข้างล่าง!
ฉึก! โลหิตแดงฉานลอยล่อง ทั้งแดงทั้งขาวกระเซ็นบนผนังถ้ำ
เหยียลี่ว์ฉีเหยียบศีรษะของผู้ชราเพื่อเหินขึ้น ใบหน้าใต้ฝ่าเท้านั้นท่วมท้นด้วยความหวาดผวาก่อนสิ้นชีพ กลางหว่างคิ้วเป็นโพรงทะลุถึงกันโพรงหนึ่ง
“เหยียลี่ว์ฉีเสียสติไปแล้ว! หนีเร็ว! ส่งข่าวออกไปเร็ว!”
คนกลุ่มนั้นถูกไอสังหารของกระบี่หนึ่งนี้กับอำนาจน่าเกรงขามทำให้ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะชักกระบี่ หันหลังพุ่งเข้าสู่ท่ามกลางความมืดมิด ข้างหลังห่างออกไปไม่ไกลคือซอกภูเขาที่สามารถออกไปได้ คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดทั้งวิ่งทั้งเอื้อมมือเข้าอ้อมแขนหวังหยิบดอกไม้ไฟ
แขนเสื้อสีดำเหลือบเงินพัดพลิ้วปลิวว่อน แสงกระบี่เหินพุ่งท่ามกลางของเหลวแดงขาว มุ่งไล่ล่าเงาด้านหลังของคนที่วิ่งหนีกลุ่มนั้น
ฉึกๆ! ดังขึ้นต่อเนื่อง กระบี่พุ่งทะลุผ่านทั้งสามร่าง โลหิตแดงฉานที่พุ่งออกมาจากสันหลังทอดยาวกลายเป็นสายรุ้ง ซ้ำยังดุจสะพานโลหิตทอดข้ามกลางภูเขามืดครึ้ม
แสงกระบี่รวดเร็วเหลือเกิน รวดเร็วเสียจนเชื่อมกันกลายเป็นรุ้งขาวกลางอากาศ สาดส่องทั่วทั้งกลางภูเขาให้สว่างไสว แสงขาวสลับซ้อนท่ามกลางความมืดมิด สะบั้นความมืดมนดุจหิมะโปรยปราย
กระบี่เหินร่วงหล่น ความเหน็บหนาวถือกำเนิด เสียงฉึกๆ ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ทุกเสียงหนึ่งคือการสะบั้นชีวิตหนึ่ง ทั้งกระบี่ขึ้นและกระบี่ลง ทั้งโลหิตกระเซ็นและโลหิตโปรยปราย ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตาเดียว เสียงร่างกายล้มลงบนพื้นดังพลั่กๆ ไม่ขาดสายดุจรัวกลองหนักหน่วงบนผืนปฐพี เพียงชั่วครู่บนพื้นมีศพกลาดเกลื่อนอยู่ทั่ว ส่วนเขาเหยียบย่ำไปบนซากศพตลอดเส้นทาง แขนเสื้อเหินว่อน ใต้ฝ่าเท้าไม่แปดเปื้อนโลหิตแดงฉาน
จิ่งเหิงปัวที่อยู่ข้างหลังมองดูเขาด้วยสายตาลุ่มหลง แสงกระบี่เจิดจ้าราวหิมะสาดสะท้อนสีหน้าของนางจนลายพร้อย นัยน์ตาดุจดั่งกำเนิดแสงคมกริบ
คราวนี้นางเห็นเหยียลี่ว์ฉีแสดงวิชากระบี่ออกมาเป็นครั้งแรก ไม่เคยคิดว่าเหยียลี่ว์ฉีที่มีนิสัยเกียจคร้าน เวลายิ้มแย้มคล้ายเจือด้วยความลุ่มหลงและมนต์เสน่ห์สามส่วนคนนั้น วิชากระบี่ของเขาดุจพายุหิมะกลางราตรี ทั้งคลุ้มคลั่งและดุเดือด ทั้งหลงระเริงแลสำรวม ท่ามกลางความสำรวมยังบริสุทธิ์เลิศล้ำ พาให้รู้สึกว่าไม่ได้สิ้นเปลืองพละกำลังสักเสี้ยว ส่วนท่วงท่าลอยล่องราวกับประพันธ์บทกวีเจือโลหิตบทหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวคิดว่าด้วยเพราะเขาสะบั้นกระบี่ด้วยความเดือดดาล ประพันธ์บทกวีด้วยไอสังหาร ชั่วชีวิตนี้สุขุมรักอิสระ ไม่ชื่นชอบการจนตรอกแตกหัก ทว่ายินยอมระเบิดโทสะสังหารผู้คน ก้าวสู่ทางตันด้วยตนเองเพื่อสตรีสองนาง
ดวงใจอบอุ่นเล็กน้อยแล้วเย็นเยียบ นางกุมหน้าอกไว้
“ช่วยด้วย…” คนสุดท้ายวิ่งสู่นอกซอกภูเขา มองเห็นแสงจันทร์เหน็บหนาวที่เล็ดลอดออกมาจากรอยร้าวแล้ว เหลือเพียงก้าวเดียวจะได้เหยียบย่ำความท้องทุ่งแห่งชีวิต ดอกไม้ไฟในมือถูกจุดชนวนแล้ว เหลืออีกเพียงก้าวเดียว ดอกไม้ไฟจะมุ่งสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่อย่างโชติช่วง เจิดจ้าภายในสายตาของผู้รอคอยข่าวสารอยู่ไกลออกไป
ฉึก!
เสียงดังแสนสั้น ปลิดชีพยาวนาน
ลำคอของคนผู้นั้นเปล่งเสียงกึกกักออกมา เท้าก้าวออกนอกถ้ำ ทว่าเรือนร่างเหลียวหลังครึ่งหนึ่ง พยายามมองดูบุรุษผู้อดทนอดกลั้นโดยตลอด ทว่าพลันกลายร่างเป็นปีศาจหลังพริบตาเดียวคนนั้น
เหยียลี่ว์ฉียืนอยู่บนซากศพทั่วพื้น โลหิตแดงฉานบนกระบี่ไหลรินเชื่องช้า ความเย็นชาตรงมุมปากยังไม่สูญสลาย แปดเปื้อนสีโลหิตแห่งความวายชนม์สามส่วน
“เจ้า…” คนผู้นั้นยกมือขึ้นอย่างยากลำบาก ชี้ไปยังเหยียลี่ว์ฉี มุมปากผุดเผยรอยยิ้มประหลาดออกมา
แววตาของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ
คราวนี้ถึงพบว่าแขนเสื้อขวาของเหยียลี่ว์ฉีขาดวิ่น เผยให้เห็นท่อนแขน รอยเขียวม่วงบนแขนกลายเป็นเส้นสีดำสายหนึ่ง รุกล้ำมาถึงข้อศอกแล้ว
เขาฝืนโคจรปราณแท้หลังจากถูกพิษ พิษร้ายแล่นขึ้นมาแล้ว!
คนผู้นั้นคล้ายรื่นรมย์ยิ่งนัก ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น ฉวยโอกาสยามเหยียลี่ว์ฉีหลุบตามองแขนของตนเอง เขวี้ยงดอกไม้ไฟในมือออกไปข้างนอก
ฉับ! ปราณกระบี่คำรามลั่น ฟาดฟันร่างกายของเขาจนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตาเดียว เงาร่างของเหยียลี่ว์ฉีทะลุผ่านร่างเขา กระบี่หนึ่งสะบั้นเป็นทางยาว
ดอกไม้ไฟที่พ่นควันดังฟู่ๆ ดอกนั้นร่วงหล่นแล้ว
ดอกไม้ไฟร่วงพื้น พอเหยียลี่ว์ฉีหันหน้ากลับมาเห็นว่าไม่มีเงาร่างของเฟยหลัวแล้ว ในใจรู้ว่านางคงฉวยโอกาสหลบหนีในยามวุ่นวายเป็นแน่ มองเห็นกระบี่ใกล้ร่วงหล่น เปลี่ยนมือคว้ากระบี่โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย หวังตัดแขนขวาของตนเองในครั้งเดียว!
เพียะ! เศษหินก้อนหนึ่งกระแทกเข้ามาอย่างรุนแรง หยุดยั้งกระบี่ของเขาจนกระเด็นออกไป
ขณะเดียวกัน เงาร่างอ่อนหวานแช่มช้อยกะพริบวูบ เฉียดผ่านข้างกายเหยียลี่ว์ฉี ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เหตุใดจึงรีบร้อนตัดแขนเช่นนี้? ยังเหลืออีกคนหนึ่งนะ!”
เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้าขึ้นโดยพลัน
เงาร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบสู่ความมืดมิดตรงปลายอีกฝั่งของกลางภูเขาแล้ว ตรงนั้นดูท่าทางเป็นกำแพงภูเขาผืนหนึ่ง ทว่ายามนี้มีเสียงหอบหายใจถี่กระชั้นเปล่งออกมา หลังจากนั้นชั่วครู่ เงาคนสายหนึ่งก็ถอยออกมาจากความมืดมิดกลุ่มหนึ่งนั้นอย่างเชื่องช้า อาภรณ์กลางหลังเปียกชุ่มทั่วผืน
คือเฟยหลัว
ฝั่งตรงข้ามของนางคือเฟยเฟย
สัตว์ประหลาดน้อยส่ายหางพลางทยอยประชิดใกล้เฟยหลัวทีละก้าว ดวงตากลมโตม่วงเรืองจ้องมองดวงตาของเฟยหลัว กะพริบแล้วกะพริบเล่าอย่างเชื่องช้า
สันหลังของเฟยหลัวแข็งทื่อ ฝีก้าวโซเซ สีหน้าท่วมท้นด้วยความสับสนตึงเครียด…นางคล้ายรู้สึกได้ว่ามีคนยืนอยู่ข้างหลัง ทว่าไม่อาจหลุดพ้นจากการควบคุมของเฟยเฟยได้ ภายใต้ความหวาดกลัวร้อนรุ่มจนถึงขีดสุด แม้แต่ร่างกายยังชักเกร็งเล็กน้อย
จิ่งเหิงปัวยืนอยู่ข้างหลังนาง ยิ้มแย้มพลางกางแขนสองข้าง
ดูท่าทางประหนึ่งเฟยหลัวกำลังจะถาโถมเข้าสู่อ้อมกอดของนาง
ท่ามกลางภูเขามืดมิด เสียงหอบหายใจถี่กระชั้น ศัตรูคู่แค้นชั่วชีวิตกำลังส่งมอบจุดตายกลางแผ่นหลังมาให้นางทีละก้าว
บรรยากาศแปลกประหลาด แต่สายตาของจิ่งเหิงปัวกลับพึงพอใจอย่างมาก
นางโบกมือ เฟยเฟยตีลังกาครั้งหนึ่งแล้วกระโจนออกไป
เฟยหลัวที่ถูกคลายการสะกดแล้วผ่อนคลายทั่วร่าง อดจะพ่นลมหายใจยืดยาวออกมาไม่ได้ ขาอ่อนยวบถอยหลังอีกก้าวหนึ่ง จากนั้นจึงรู้สึกว่าชนเข้าสู่อ้อมกอดของคนผู้หนึ่ง
นางตื่นตระหนก จากนั้นนึกว่าเป็นเหยียลี่ว์ฉี มัวแต่ผลิแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนหวานชื่นที่สุด เมื่อหันหลังกลับมาอย่างเชื่องช้า
ทว่าเรือนร่างหันได้เพียงครึ่งเดียวพลันแข็งทื่อ
ร่างกายข้างหลังอวบอิ่มโค้งเว้า อ่อนนุ่มยืดหยุ่นเฉกเช่นเดียวกันกับนาง อวบอิ่มโค้งเว้ายิ่งกว่านางด้วยซ้ำ ทรวดทรงน่าตื่นตะลึง
ส่วนมือข้างหนึ่ง มือเย็นเยียบข้างหนึ่งลูบคลำใบหน้าของนางด้วยท่าทางทั้งอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว
เสียงเจือด้วยเสียงหัวเราะของจิ่งเหิงปัวดังขึ้นข้างหูนางว่า “นี่ สายัณสวัสดิ์นะ ท่านเสนาหญิง”
…