เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 2.3
พอนางขยับเขยื้อนเล็กน้อยพบว่าขยับเขยื้อนไม่ได้ ผู้อ่อนวัยคนนั้นยังรั้งแขนนางไว้ด้วยพละกำลังมากล้น นางหันหน้ากลับมามองผู้อ่อนวัยคนนั้น แสงนัยน์ตาแข็งทื่อท่ามกลางความมืดมิดแต่กิริยาท่าทางดื้อรั้น
เด็กคนนี้คือเด็กกึ่งปัญญาอ่อนคนหนึ่ง ทว่าเชื่อฟังพี่สาวของเขายิ่งนัก พี่สาวเอ่ยว่าไม่ให้ออกมา เช่นนั้นย่อมไม่ออกมา
จิ่งเหิงปัวพยายามดิ้นรน แต่ผู้อ่อนวัยคนนั้นพลันพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง ผลักนางล้มลงบนพื้น เอ่ยข้างหูนางว่า “ไม่ออกไป!”
จิ่งเหิงปัวล้มลงบนมันฝรั่งกองหนึ่ง แผ่นหลังกระแทกจนเจ็บปวดรุนแรง ไร้เรี่ยวแรงผลักออกชั่วขณะ
ภายในหูได้ยินเสียงต่อสู้ดิ้นรนข้างบน ดั่งกำปั้นหนักหน่วงโจมตีลงบนดวงใจ
นางไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ผ่านไปครู่ใหญ่ หยาดน้ำตาก็ค่อยๆ หลั่งรินจากหางตา
นี่คือครั้งแรกที่นางหลั่งน้ำตาหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้น
ตอนชุ่ยเจี่ยตายนางไม่ได้หลั่งน้ำตา
ตอนกงอิ้นให้นางกินยาพิษนางไม่ได้หลั่งน้ำตา
ตอนยาพิษออกฤทธิ์นางไม่ได้หลั่งน้ำตา
ยามใช้มีดแทงเข้าที่หน้าอกของกงอิ้นนางไม่ได้หลั่งน้ำตา
หลบหนีตลอดทาง ได้รับความทุกข์ทรมานจนสิ้น น้ำตาของนางแห้งเหือดตั้งแต่เริ่มต้นจนจบดั่งถูกเพลิงพิษสีดำจากนรกขุมนั้นแผดเผาจนสิ้น
นางนึกว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองจะไม่หลั่งน้ำตาอีก จากนั้นหัวเราะได้อีกครั้ง เบื้องลึกภายในจิตใจเยือกเย็นเป็นชั้นน้ำแข็ง ทว่าครู่หนึ่งนี้ ภายในอุโมงค์ ภายใต้ละอองธุลี การเสียสละชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่าของคนไม่รู้จักกันเหล่านั้นทำให้นางรู้ซึ้งถึงรสชาตินับไม่ถ้วนของโลกมนุษย์ในที่สุด ไม่แน่ว่าตนเองจะลำบากที่สุดอยู่เพียงคนเดียว
เดิมทีความโศกเศร้าไม่ได้มากกว่าความด้านชา เหลือเพียงความว่างเปล่าหลังจากเพลิงแผดเผาหิมะโปรยปรายผืนหนึ่ง ตอนนี้นิ้วมือของนางงอแน่นเชื่องช้า ได้ยินเสียงชั้นน้ำแข็งจากเบื้องลึกภายในจิตใจสั่นคลอนกระทบกระทั่ง ส่วนหิมะกำลังหลอมละลาย
ฉันต้องไม่ถลำเข้าไปในความโศกเศร้า!
แม้กระทั่งเพื่อราษฎรตี้เกอเหล่านี้ ฉันจะต้องกลับมา!
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือก กระซิบข้างหูผู้อ่อนวัยว่า “พวกเขาไปกันหมดแล้ว พี่สาวเจ้าเรียกพวกเราขึ้นไป เจ้าปล่อยข้าก่อน”
ผู้อ่อนวัยครุ่นคิดชั่วครู่แล้วปล่อยมือ
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ หายไปแล้ว
ครู่ต่อมานางปรากฏกายในห้องครัว มองเห็นร่างกายดิ้นรนต่อสู้เสื้อผ้าหลุดลุ่ยในแวบเดียว ผิวกายขาวราวหิมะของสาวน้อยเสียดแทงสายตาของนางจนเจ็บปวด
นางไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว หยิบมีดทำครัวบนแท่นเตาขึ้น สันมีดฟาดลงหลังคอ!
เสียง พลั่ก! ทึบแน่นดังขึ้น บุรุษร่างหนาผิวเข้มคนนั้นล้มลงอย่างเงียบเชียบ สาวน้อยเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตะลึง สายตาเหม่อลอย
จิ่งเหิงปัวไม่ลังเลแม้แต่น้อย ร้องแผ่วเบาว่า “ถอยไป! หลับตาลง!”
พอสาวน้อยเงยหน้าจึงมองเห็นแววตาหนาวสะท้านดั่งคมมีดของนาง ตกใจจนสั่นระริก ทั้งกลิ้งทั้งคลานหลบออกไปโดยสำนึกแล้วหลับตาลง
มีดครั้งที่สองของจิ่งเหิงปัวฟันเข้าไปในลำคอของบุรุษโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
มีดเดียวโลหิตสาดกระเซ็น บุรุษที่สลบไสลอยู่สิ้นลมโดยไม่ได้แค่นเสียงแม้เพียงเสียงเดียว
ด้วยเพราะฟันจนสลบไสลก่อนแล้วค่อยสังหาร ภายในห้องครัวจึงไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา หลายคนที่เข้าแถวรอคอยอยู่ข้างนอกยังคงหัวเราะเฮฮาหยอกล้อซึ่งกันและกัน รอคอยให้ถึงคราวตนเองอย่างตื่นเต้นดีใจ
สาวน้อยลืมตาขึ้น มองเห็นโลหิตไหลนองทั่วพื้นตรงหน้า ตกใจจนแทบเปล่งเสียงร้อง ไม่รอให้จิ่งเหิงปัวห้ามปราม รีบเร่งนำนิ้วมืออุดเข้าไปในปากตนเอง ใช้สัญญาณมือถามจิ่งเหิงปัวอย่างหวาดกลัวว่าทำอย่างไรดี?
จิ่งเหิงปัวใช้สองมือค้ำยันเข่า หอบหายใจถี่กระชั้นหลายครั้ง รู้สึกเพียงว่าตรงหน้าเริ่มมืดมน โซเซใกล้ล้มลง
สองมีดนั้นใช้พละกำลังของนางจนหมดสิ้นแล้ว
นางฝืนใจหายตัวได้ แต่ถ้านางไปแล้ว พี่สาวน้องชายคู่นี้จะทำอย่างไร? คนอยู่ภายในห้องครัวนี้ ต่อให้หนีเข้าไปในอุโมงค์ก็ต้องถูกคนเหล่านั้นลากออกมา พอถึงตอนนั้นสิ่งที่รอคอยพี่สาวน้องชายคู่นี้อยู่คงเป็นชะตากรรมเลวร้ายจนไม่อาจบรรยายได้
นางไปไม่ได้ ซ้ำยังต้องฆ่าคนร้ายเหล่านี้ด้วย
จำเป็นต้องเสี่ยงอันตราย
จิ่งเหิงปัวบอกใบ้ให้สาวน้อยใส่กลอนประตูอย่างเงียบเชียบแล้วใช้โต๊ะขวางไว้ ตนเองเดินไปยังปากปล่องควัน หยิบพลุจดหมายสีแดงท่อนหนึ่งในอ้อมแขนออกมา นั่นคือสิ่งของที่อีชีทิ้งไว้ให้นาง
ไม่เคยได้นำมาใช้เลยเพราะนางยังไม่ได้ออกนอกเมือง ถ้าจุดดอกไม้ไฟสะดุดตาแบบนี้ขึ้นมา เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าผู้ไล่ล่าสังหารจะมาถึงก่อนอีชี
นางดึงชนวนทิ้ง ยิงพลุจดหมายออกจากปล่องไฟ
เสียงระเบิดดัง ฟิ้ว แผ่วเบาเสียงหนึ่ง ไม่ดังเท่าไร แต่ยังคงดึงดูดความสนใจคน นางเดินไปข้างหลังโต๊ะ คว้าฟืนแหลมหลายท่อนขึ้นมาแล้วรอคอย
สาวน้อยค่อยๆ สงบลง สวมใส่เสื้อผ้า หยิบฟืนที่แข็งแกร่งแหลมคมที่สุดขึ้นมาด้วย เดินไปอีกฝั่งหนึ่งของนาง
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มให้สาวน้อยที่กำลังสั่นระริกครั้งหนึ่ง
สาวน้อยนางนั้นชะงักงัน กำฟืนในมือไว้แน่น แม้ว่ามือยังคงสั่นเทาแต่ท่าทางเงียบสงบยิ่งนัก
เสียงสนทนาสนุกสนานนอกประตูหยุดลงในพริบตาหนึ่งนั้นที่ดอกไม้ไฟถูกยิงออกมา
มีคนเงยหน้ามองดูสีแดงเข้มที่มุ่งสู่ท้องฟ้าสายหนึ่งนั้น ชะงักงันเอ่ยว่า “มีดอกไม้ไฟได้อย่างไร?”
อีกคนหนึ่งตอบสนองรวดเร็ว ตะโกนก้องเสียงหนึ่งว่า “แย่แล้ว! ข้างในเกิดเรื่อง!” ว่าพลางยกเท้าเตะประตู
เสียงพลั่กดังขึ้น ประตูไม่ได้ถูกเตะจนเปิดออก คนกลุ่มนั้นร้อนใจถีบเท้าโดยพร้อมเพรียงกัน เดิมทีบานประตูบานนี้เก่าแก่ผุพังอยู่แล้ว ถีบเพียงไม่กี่ครั้งส่งเสียงดังกร๊อบเสียงหนึ่ง กลอนพังทลาย ประตูเปิดออกครึ่งบานถูกโต๊ะอาหารที่อยู่ข้างหลังตรึงไว้
เท้าใหญ่คู่หนึ่งยื่นเข้ามาหวังจะเตะโต๊ะ
จิ่งเหิงปัวฟันลงไปอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง!
“อ๊าก” เสียงหนึ่งดังโหยหวน มีดทำครัวฟันเข้ากระดูกขาของคนคนนั้นอย่างรุนแรง จิ่งเหิงปัวออกแรงมากเกินไปจนไม่อาจดึงมีดออกมาได้ทันที คนคนนั้นร้องโหยหวนพลางล้มลงไปพร้อมมีดบนขา
จิ่งเหิงปัวตอบสนองรวดเร็วเช่นกัน ดึงมีดออกไม่ได้ก็ไม่ดึงแล้ว มองเห็นเงาคนกะพริบวูบข้างประตู ฟืนที่อยู่ในมือแทงเข้าไปในหน้าผากของเขาอย่างรุนแรงโดยไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ
ฉึก! เสียงหนึ่งดังขึ้นแผ่วเบา คนที่สองร้องโหยหวนเสียงหนึ่งเช่นกัน กุมใบหน้าไว้คลานถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างซอกนิ้วมีโลหิตแดงฉานพร้อมด้วยเศษไม้ไหลรินลงมา
การลงมือทั้งสองครั้งของจิ่งเหิงปัวคล่องแคล่วเรียบร้อย ไอสังหารผนึกแน่น ทำให้คนที่เหลืออยู่ข้างนอกตื่นตระหนก ทุกคนไม่กล้าก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีก ยืนแข็งทื่ออยู่ที่เดิมชั่วขณะ
จิ่งเหิงปัวหอบหายใจถี่กระชั้น นางทุ่มเทสุดกำลัง สิ่งที่ต้องการคือผลกระทบนี้ ขอแค่คนเหล่านี้รักตัวกลัวตายไม่กล้าก้าวขึ้นมาชั่วขณะ นางอาจจะรอจนกว่าเจ็ดสังหารมาถึงได้
แสงนภาค่อยๆ สว่างไสว
ข้างนอกยังไม่มีการเคลื่อนไหวชั่วขณะ
จิ่งเหิงปัววิงเวียนตาพร่า เหงื่อเย็นชุ่มโชกเสื้อผ้า แต่ไม่กล้าล้มลงและไม่กล้าหลับตาลง นางกลัวว่าพอหลับตาลงจะหมดสติไป
ในห้องพลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้า ก็มองเห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่งมุดเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็กบนผนังไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร บีบคอของสาวน้อยไว้ในครั้งเดียว!
จิ่งเหิงปัวตื่นตระหนกและเสียใจอย่างยิ่ง…หน้าต่างนั้นถูกบังอยู่หลังกองฟืนครึ่งบาน ก่อนหน้านี้นางไม่ได้สังเกตเห็น
นางได้แต่พุ่งเข้าไป ปลายฟืนแทงไปทางชายร่างใหญ่คนนั้นอย่างรุนแรง ซ้ำยังกลัวไม่ทัน แขนกวัดแกว่งเพียงครั้ง ฟืนท่อนหนึ่งเหินทะยานขึ้น พุ่งไปทางหว่างคิ้วชายร่างใหญ่คนนั้น
พอชายร่างใหญ่คนนั้นเงยหน้าก็มองเห็นว่าพลันมีท่อนไม้พุ่งเข้ามา เอียงศีรษะครั้งหนึ่งด้วยความตกใจ มือปล่อยออกโดยธรรมชาติ ตอนนี้จิ่งเหิงปัวมาถึงแล้วเช่นกัน คว้าสาวน้อยคนนั้นมาก่อนในครั้งเดียว ท่อนฟืนในมือยกขึ้นมาทิ่มคอหอยของอีกฝ่าย
การลงมือของนางตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงระดับความหนักเบาอะไรทั้งนั้น พอลงมือต้องถูกจุดตายของอีกฝ่าย
ชายร่างใหญ่กะพริบวูบถอยหลังออกจากหน้าต่าง จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้โล่งใจเพราะนางได้ยินข้างหลังมีเสียงพลั่กดังลั่นอีกเสียงหนึ่ง
ด้วยเพราะนางจากไป โต๊ะที่ขวางประตูอยู่ถูกกระแทกออกแล้ว
เงาคนหลายสายพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงลมพัดข้างหลัง อย่างน้อยที่สุดมีชายร่างใหญ่สองสามคนพุ่งมาทางนาง เรือนร่างนางกะพริบวูบหวังจะหายตัว ตรงหน้าพลันมืดมิด
ครู่ต่อมาได้ยินเสียงเพียะเสียงหนึ่งดังขึ้น นางถูกคนสามถึงสี่คนผลักกระแทกจนล้มลงบนพื้น ร่างร้อนผ่าวของบุรุษและลมหายใจเหม็นสาบปกคลุมลงมาหนักหน่วง
เสียงกรีดร้องอีกเสียงดังขึ้น สาวน้อยคล้ายถูกทับล้มลงเช่นกัน
ฟืนในมือถูกกระแทกลอยไปแล้ว จิ่งเหิงปัวเอื้อมมือคว้าฟืนในกองฟืนอีกครั้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในเมื่อแทงพวกเขาให้ตายไม่ได้ นางจะแทงตัวเองให้ตาย!
บุรุษบนร่างมองเจตนาของนางออก หัวเราะเยาะเย้ย เอ่ยว่า “เป็นสตรีกล้าหาญนัก!” ยกมีดฟันมาทางข้อมือนาง
แสงมีดสว่างราวหิมะสะท้อนสายตาดุร้ายกระหายเลือดนับมิถ้วน
นางหลับตาลง
ฉึบ!
ไม่ใช่ความเจ็บปวดรุนแรงเสมือนจินตนาการ ไม่ใช่เสียงมีดสะบั้นข้อมือ
เป็นเสียงทึบยามกระบี่เข้าเนื้อ
“พรวด” นางยังไม่ได้เงยหน้าขึ้น รู้สึกคล้ายถูกของเหลวร้อนผ่าวอะไรสักอย่างสาดกระเซ็นทั่วใบหน้า เหนียวข้นและเหม็นคาว ไม่ต้องสัมผัสยังรู้ว่าเป็นโลหิต
นางรู้สึกโล่งใจ นอนราบกับพื้นดั่งไร้หนทางขยับเขยื้อน
เจ็ดสังหารมาถึงแล้ว
รู้สึกขึ้นมาอีกครั้งว่าผิดปกติ เจ้าเฮฮาเจ็ดคนนั้นโหวกเหวกโวยวายได้ทุกเวลา แล้วจะเงียบสงบขนาดนี้ได้ด้วยหรือ?
น้ำหนักบนร่างกายถูกนำออกไป เสียงร่างกายล้มลงพื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดูท่าทางคนที่ทับนางไว้ตายหมดสิ้นในพริบตาเดียวนี้
มือแข็งแรงคู่หนึ่งยื่นเข้ามาสอดใต้รักแร้นางอย่างรู้กาลเทศะยิ่งนัก ประคองนางขึ้นอย่างแผ่วเบา
พอจิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมาก็พลันมองเห็นคนหนึ่งซึ่งทั้งนอกเหนือความคาดหมายทั้งสมเหตุสมผล
“เถี่ยซิงเจ๋อ…” นางพึมพำว่า “เหตุใดจึงเป็นเจ้า…”