เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 27.3
สำหรับตี้เกอแล้ว สงครามของบางเผ่าเป็นสงครามเฉพาะส่วนมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ส่งผลกระทบต่อความสงบของแว่นแคว้นกับชนเผ่าที่เหลือ ไม่สร้างผลกระทบครั้งใหญ่ต่อตี้เกอเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะเมื่อสงครามครั้งนี้อยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้ครองอำนาจตั้งใจส่งเสริมแต่เริ่มแรก
ยามเช้าตรู่ แสงอาทิตย์สาดส่องทั่วจิ้งถิง ผ่านพ้นสายลมหิมะ ปีใหม่ของตี้เกอต้อนรับอากาศสดใส
ระเบียงยาวนอกห้องหนังสือของจิ้งถิงถูกแสงแดดสาดส่องจนอบอุ่น ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเหมันต์อันอ่อนโยน เสื้อคลุมยาวขาวราวหิมะเปล่งประกายแสงแวววาว
กงอิ้นนั่งบนระเบียงยาว ตรงหน้าคืออ่างซึ่งเทอาหารจนเต็ม มีแปรง และม้าเฉ่าหนีตัวหนึ่ง
ม้าเฉ่าหนีน้อยตัวนี้นามว่าเสี่ยวอิ้นอิ้น เจ้านายของมันรับเลี้ยงมันด้วยเพราะชื่นชอบความแปลกใหม่ ทว่ากระตือรือร้นได้ชั่วครู่ชั่วคราวแล้วพลันลืมมันไว้ข้างหลัง ต่อมานางจากไปแล้ว ไม่ได้นำของข้างกายทุกสิ่งไปด้วย รวมถึงลามะตัวนี้
ต้าฮวงเรียกสัตว์ชนิดนี้ว่าลามะ ทว่าคนของจิ้งถิงเรียกว่าม้าเฉ่าหนี ได้ยินวิธีเรียกของนางจนเคยชิน อีกทั้งวิธีเรียกเช่นนี้มักทำให้รู้สึกว่าไพเราะยิ่งนัก หากใช้วิธีเอ่ยวาจาของนางคงเรียกว่าโคตรสะใจนั่นเอง
คนจากไปแล้ว สิ่งของยังได้รับการดูแล พระราชวังซึ่งเป็นของนางถูกปัดกวาดสะอาดสะอ้าน สิ่งของซึ่งเป็นของนางถูกปิดผนึกซ่อนไว้ ม้าเฉ่าหนีซึ่งเป็นของนางถูกท่านราชครูผู้สูงส่งทรงเกียรติเลี้ยงดูด้วยตนเอง
หมู่นี้ม้าเฉ่าหนีน้อยเติบโตขึ้นมาก ขนขาวราวหิมะสะอาดสะอ้านเฉกเช่นกงอิ้น บนลำคอยังมีสายผ้าต่วนสีแดงสดผูกไว้ บนสายผ้าต่วนร้อยกระพรวนทองคำ กงอิ้นชอบความเงียบ แต่ก่อนจิ้งถิงไม่มีแม้แต่กระพรวนทองคำใต้ชายคา ยามนี้เหลือเพียงเสียงกระพรวนบนลำคอเสี่ยวอิ้นอิ้นดังกังวาน กรุ๊งกริ๊งกรุ๊งกริ๊ง ไพเราะจนคล้ายไข่มุกนับมิถ้วนโปรยปรายในทะเลสาบแห่งใจ เพียงแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกคึกคัก ในใจยิ่งโหรงเหรงหลายส่วน
กงอิ้นหยิบอาหารให้ม้าเฉ่าหนีน้อยเลียบนฝ่ามือเขากำหนึ่ง ท่วงท่านี้เป็นท่าทางแต่ก่อนยามที่จิ่งเหิงปัวให้อาหารเสี่ยวอิ้นอิ้น เขามักรู้สึกอยู่เสมอว่าเช่นนี้สกปรกนัก ทว่ายามนี้กลับเคยชินแล้ว คล้ายไม่รู้สึกอะไรด้วย
ม้าเฉ่าหนีน้อยเชื่องยิ่งนัก ลิ้นสีชมพูเลียฝ่ามือเขาอย่างเชื่องช้า ทำให้รู้สึกคันยุบยิบ
แสงอาทิตย์ทอดลงบนอาหารสีเหลืองทองกับบนนิ้วมือขาวราวหิมะของเขา ประกายแสงแผ่วบาง
จิ้งถิงเงียบสงบนัก ได้ยินเพียงเสียงจ๊อบแจ๊บจากลิ้นม้าเฉ่าหนีกับเสียงลมหายใจทอดยาวเชื่องช้าของผู้คน เงียบสงัดแลเยือกเย็น
ม้าเฉ่าหนีกินอิ่มแล้วก็เบนศีรษะออก นิ้วมือของกงอิ้นเข้าใกล้อีกครั้ง มันหันหน้าอย่างนุ่มนวลทว่าเด็ดเดี่ยว นิสัยของม้าเฉ่าหนีตัวนี้คล้ายนางอยู่บ้าง ดูคล้ายเชื่อฟังนักทว่าหยิ่งทระนง
เขาหันกายล้างมือในอ่างที่วางอยู่ข้างหนึ่ง เมื่อเช็ดจนสะอาดก็เอื้อมมือเกาคางให้เจ้าตัวน้อยนั้น ขนสั้นและอ่อนนุ่มใต้คอขาวราวหิมะ นิ้วมือเขาขยับเขยื้อนแผ่วเบา เจ้าตัวน้อยกึ่งหรี่ตาลงอย่างสบายตัว วางศีรษะบนมือเขา
เขาเหม่อลอยเล็กน้อย
คล้ายได้ยินเสียงบางคนกำลังหัวเราะออดอ้อน กำลังวิ่งเล่น พัดพลิ้วกลางมวลหญ้าเขียวชอุ่มประหนึ่งผีเสื้อเหินผ่านมวลผกา เสียงเกียจคร้านโปรยปรายจนทุกหนทุกแห่งกังวานว่า ‘เสี่ยวอิ้นอิ้น! เสี่ยวอิ้นอิ้น! เจ้ามาไล่จับข้าสิ!’
‘ว้าย! เสี่ยวอิ้นอิ้น เหตุใดเจ้าถึงเกียจคร้านขนาดนี้!’
‘ยืนตรง! เชิดศีรษะสูงส่งของเจ้าขึ้น! เจ้านามว่าเสี่ยวอิ้นอิ้น ไม่ใช่เสี่ยวปัวปัว!’
‘เสี่ยวอิ้นอิ้น ไป พวกเราไปหาพี่ใหญ่ของเจ้า!’
เวลานั้นเขาอยู่จิ้งถิง ทุกครั้งยามได้ยินต้องวางสมุดพับไว้ ไม่รู้ว่าควรหงุดหงิดหรือควรแสร้งไม่ได้ยิน เหล่าองครักษ์ตามระเบียงทางเดินพากันหัวเราะคิกคัก เขาได้แต่ให้พวกเขาไสหัวไปไกลหน่อย
ยามนี้ ไม่มีการยั่วยุน่าเหนื่อยหน่ายแล้ว เหล่าองครักษ์ไม่ได้หัวเราะเช่นนั้นเนิ่นนานแล้ว ฟ้าดินยามที่นางอยู่ด้วยพร่างพราวเหลือเกิน จนกระทั่งยามนางที่จากไป ฟ้าดินซีดเผือดในพริบตา
พวกเหมิงหู่กับอวี่ชุนยืนห่างไกลอยู่ฝั่งหนึ่ง รู้ว่ายามให้อาหารม้าเฉ่าหนี ราชครูไม่ชื่นชอบเอ่ยวาจา
ทว่าวันนี้ กงอิ้นพลันเอ่ยวาจาแล้ว
“ยามนี้อิงไป๋ถึงที่ใดแล้ว”
“เรียนนายท่าน” เหมิงหู่รีบเอ่ยว่า “น่าจะผ่านแคว้นเซียงแล้วขอรับ”
“เหตุใดจึงช้าขนาดนี้?” เขาขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ดื่มสุราควงสาวงามตลอดทางอีกแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ สมุหราชองครักษ์อิงไป๋พบเจอสาวงามรู้ใจนางหนึ่งที่แคว้นเซียง ฉะนั้นจึงหยุดอยู่หลายวัน…” เหมิงหู่เอ่ยวาจานี้เองยังรู้สึกหน้าแดง…สาวงามรู้ใจของอิงไป๋ครอบคลุมทั่วโลกหล้า เฉลี่ยทุกวันพบเจอนางหนึ่ง เฉลี่ยทุกเผ่าหลายสิบนาง ความเร็วในการพบเจอสาวงามรู้ใจของเขาแทบไม่ต่างจากยามคนธรรมดากินข้าวทุกวัน
เห็นสีหน้านั้นของนายท่าน เขารีบเสริมว่า “ทว่าสมุหราชองครักษ์อิงไป๋ได้ยินข่าวหนึ่งแล้วอำลาสาวงามรู้ใจของเขาโดยพลัน ซ้ำยังไม่ได้พบเจอสาวงามรู้ใจระหว่างทางอีกเลย จึงเพิ่มความเร็วจากไปแล้วขอรับ”
“หืม?”
“กำลังจะรายงานให้ท่านทราบข่าวสารที่เพิ่งได้รับ” เหมิงหู่มอบม้วนกระดาษม้วนหนึ่งแด่เขา เอ่ยว่า “ราชินีเข้าร่วมปฏิบัติการหุบเขาเทียนฮุย ได้รับการสวามิภักดิ์จากนายกองบรรดาศักดิ์ ซ้ำยังพบเจอเผยซูด้วยขอรับ”
นิ้วมือที่เกาคางให้เสี่ยวอิ้นอิ้นของกงอิ้นพลันชะงัก
ข่าวนี้ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย
“ที่แท้ในหุบเขานั้นเป็น…” เขาหยุดนิ่งชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยว่า “เผยซู!”
ฟังเสียงแล้วไม่รู้อารมณ์ ทว่ามีความเยือกเย็น
เหมิงหู่ก้มหน้าลง เขารับรู้ความรู้สึกที่ราชครูมีต่อเผยซู ตัวเขาเองยิ่งรู้สึกไม่ดี…เด็กหนุ่มผู้นั้นชอบแย่งของ ยามนั้นเผ่าหวงจินก่อกบฏ เขาดำรงตำแหน่งขุนพลหลักของเผ่าหวงจิน หลังได้ยินว่าในตำหนักบรรทมของกงอิ้นมีของหายาก ถึงกับทิ้งกองทัพใหญ่กลางราตรีควบอาชาห้อตะบึงมาถึงนครหลวงชั่วข้ามคืน คิดจะบุกเข้าตำหนักบรรทมของกงอิ้นเพื่อแย่งของ บังเอิญว่ากงอิ้นไม่อยู่ด้วย จึงปล่อยให้เขาแทบทำสำเร็จ หลังถูกล้อมโจมตียังถอยออกมาโดยสมบูรณ์ได้ เสียงหัวเราะลั่นด้วยความลำพองใจของเขาในคืนนั้น เหล่าองครักษ์จิ้งถิงจำได้ลึกซึ้งจนถึงบัดนี้ ซ้ำยังถือว่าเหตุการณ์ ‘เผยซูบุกตำหนัก’ เป็นความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงชั่วชีวิต
ตำหนักบรรทมของราชครูคือสถานที่ซึ่งต้าฮวงจัดเป็นความลับสุดยอด สภาพการณ์ภายในห้ามบอกกล่าวคนภายนอก การบุกเข้ามาของเผยซูเคาะระฆังเตือนภัยให้ทุกคน หลังจากนั้นตำหนักบรรทมของกงอิ้นถูกคุ้มกันแน่นหนายิ่งขึ้น จนกระทั่งหลายปีต่อมา จิ่งเหิงปัวบุกเข้าไป ทว่าที่นางเข้าไปได้ เพียงด้วยเพราะทุกคนยอมให้เข้าไปเท่านั้น
นิ้วมือของกงอิ้นที่เกาคางให้เสี่ยวอิ้นอิ้นอย่างสบายอารมณ์หยุดนิ่งลงแล้ว เสี่ยวอิ้นอิ้นถูไถเขาอย่างไม่พอใจ ทว่ากงอิ้นคล้ายกำลังเหม่อลอย
“สมุหราชองครักษ์อิงไป๋เพิ่มความเร็ว บางครั้งอาจด้วยเพราะเขาได้ยินข่าวของเผยซูแล้ว”
หยกขาวแกนทองคำ ยามนั้นเรืองนามเคียงคู่ทั่วโลกหล้า ทว่าน่าเสียดายที่มหาขุนพลเรืองนามทั้งสองยังไม่เคยได้พบกันอย่างเป็นทางการ ยามนั้นคู่ต่อสู้ของเผยซูคือเฉิงกูมั่ว รอให้อิงไป๋ตามมายังสนามรบ สงครามจบสิ้นด้วยกลยุทธ์ไส้ศึกของกงอิ้นแล้ว เผยซูร่วงหล่นสู่นรก
ใกล้พบคู่ต่อสู้ทว่าสู้รบด้วยไม่ได้ อิงไป๋เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเสียดายชั่วชีวิต บัดนี้ได้ยินข่าวเผยซู ไม่วิ่งเร็วหน่อยได้อย่างไร?
กงอิ้นลุกขึ้นยืน
ในใจเหมิงหู่เกร็งแน่น ก้มหน้าโค้งกายโดยพลัน ท่าทางนี้แสดงว่าราชครูได้ตัดสินใจแล้ว
“ให้อิงไป๋ชะลอความเร็ว”
เหมิงหู่งงงัน
แววตาของกงอิ้นทอดไปทางเหนือไกลโพ้นแล้ว
“เผยซู…”
…
จิ่งเหิงปัวยังอยู่ระหว่างทาง
เหล่าทหารคนสนิทของพวกนายกองบรรดาศักดิ์พากันตามมาแล้ว คนพวกนี้เป็นทหารเก่า มือหนึ่งด้านเดินทัพเดินทางและคุ้มกันเฝ้ายาม แม้กองทัพของนางกำลังขยายใหญ่ แต่เดินทางได้เร็วขึ้นมาก
บางครั้งจิ่งเหิงปัวเห็นกองทัพของตัวเอง จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกภูมิใจขึ้นมา รู้สึกว่าตอนนี้พี่เก่งจัง ยอดฝีมือหลายร้อยคน! ตะแคงข้างเดินเหินต้าฮวง!
เพียงแต่เจ็ดสังหารพลันเอ่ยดับฝันนาง
“เฮยสุ่ยเป็นของไต้เม่า ไต้เม่าเป็นชนเผ่าหนึ่งซึ่งมียอดฝีมือผู้วิเวกมากที่สุดในแปดชนเผ่า”
“เล่ากันว่าไต้เม่ามีสามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่สิบสามองครักษ์ ทุกกลุ่มต่างไม่ธรรมดา”
“นอกจากนี้ยังมีจอมยุทธ์เดียวดาย จอมโจรผิดกฎหมาย จอมยุทธ์ผู้เก่งกาจนั กล่ารางวัล นักพรตต้มตุ๋นนับมิถ้วน ทุกอาชีพชอบกดขี่ข่มเหง ขอเพียงเป็นสิ่งที่เจ้านึกไม่ถึง ไม่มีสิ่งใดที่มันไม่มี”
“ไม่มีผู้ใดรวมอำนาจทุกฝ่ายให้เป็นหนึ่งเดียวได้ ต่างฝ่ายต่างแบ่งแยกอาณาเขตเนิ่นนาน รากฐานมั่นคงแล้ว น่าสงสารผู้นำเผ่าไต้เม่าเป็นชนเผ่าซึ่งไม่มีอำนาจแท้จริงที่สุดในหกแคว้นแปดชนเผ่า พวกกดขี่ข่มเหงแบ่งทำเลทองกันเสร็จแล้ว เหลือเพียงบึงโคลนเฮยสุ่ยส่วนเดียวไว้ให้เขา”
“อา ไม่เป็นไร ราชินีของพวกเราใกล้จะไปเยือนแล้ว! พอนางไปเยือน พวกกดขี่ข่มเหงต้องมอบอาณาเขตที่ดีที่สุดมาสร้างพระราชวังให้นางอย่างเชื่อฟังโดยพลัน!”
“ใช่แล้ว สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่สิบสามองครักษ์นับว่าเก่งกาจอะไร เพียงลูกน้องไม่กี่หมื่น ลำพังข้าคนเดียวสู้ได้หนึ่งพันคนแล้ว!”
“ใช่แล้ว ปีนั้นธิดาสูงศักดิ์แห่งพรรคเลี่ยหั่วถูกใจเจ้า จับเจ้าไปในพรรคให้เป็นลูกเขยสมรสเข้าตระกูล แลไม่ได้เสียเปรียบกระไร เพียงแต่ถูกลวนลามเล็กน้อย ผ่านไปสามวันจึงหลบหนีออกมาได้ ซ้ำยังสังหารแมวในพรรคตั้งหลายตัว! สุดยอด! สุดยอด! นั่นแมวของพรรคเลี่ยหั่วเชียวนะ!”
“ใช่แล้ว อย่างไรเสียนั่นเป็นแมว คงดีกว่าเจ้าเจ็ดเหินออกมาจากพรรคขวงเตาโดยฟันไม่โดนแม้แต่ตั๊กแตนสักตัวอยู่แล้ว”