เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 29.2
“เจ้ามาต่อสู้ เพื่อครอบครองข้าหรือ?” เขาแผดเสียงสูง
นางพยักหน้านิ่งเงียบ
“สตรีอัปลักษณ์เฉกเช่นเจ้านี้ กล้าเพ้อฝันหวังครอบครองข้าด้วย?” เสียงเขาสูงยิ่งขึ้น ความเย้ยหยันท่วมท้น ข้างล่างมีเสียงหัวเราะเกรียวกราว พวกลูกหลานเจ้าชู้กลุ่มหนึ่งมีความรู้สึกร่วมด้วยลึกซึ้ง หัวเราะเยาะดังสนั่น
“หน้างดงามเช่นนี้ คู่ควรเพียงชาวนาชนบท กล้าปรารถนาบุรุษหล่อเหลาเช่นนี้ด้วย!”
“สตรีฝึกวรยุทธ์ คงหยาบกระด้างแน่แท้!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะยังมีเสียงสตรี เทียบกับบุรุษแล้ว สตรีที่ไม่มีความกล้าหาญทว่าชิงชังความกล้าหาญของผู้อื่นเหล่านี้ยิ่งยอมได้ทีขี่แพะไล่
“วันนี้จัดงานประลองครั้งนี้ รอคอยสตรีที่ไม่เจียมตัวเช่นพวกเจ้าเหล่านี้อยู่!” เผยซูหัวเราะลั่น เอ่ยว่า “ไม่ว่าเจ้า ไม่ว่าผู้อื่น ไม่มีผู้ใดพิชิตเวทีประลองนี้ของข้าได้! วันนี้ข้าจัดงานประลองครั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อจุกจิกกับสตรีเช่นพวกเจ้าเหล่านี้ ยิ่งไม่ใช่เพื่อสมรสกับพวกเจ้า ทว่าเพื่อบอกกล่าวสตรีทั้งเผ่าจั๋นอวี่นี้ ไม่ว่าพวกเจ้าจะเลิศล้ำเพียงใด ไม่ว่าพวกเจ้าจะพยายามเพียงใด ไม่ว่าพวกเจ้าจะตามตื๊อไม่หยุดหย่อนบนเวทีประลองนี้อย่างไร พวกเจ้าไม่คู่ควรได้ครอบครองข้า สตรีที่ได้รับความศรัทธาจากข้าได้รับความสำคัญจากข้า บนโลกนี้มีเพียงนางเดียว นั่นคือ…”
เขาเชิดนิ้วมือ
ฝูงชนกลั้นหายใจ
จิ่งเหิงปัวแอบร้องว่าแย่แน่
นางสะบัดมือครั้งหนึ่งทันที หินถ่วงข้างเวทีประลองลอยขึ้น กระแทกนิ้วมือเผยซูอย่างแรง
ให้เจ้าชี้ ชี้น้องสาวแกสิ!
ใบหน้าเผยซูแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้ายคาดการณ์กระบวนท่านี้ของนางอยู่ก่อนแล้ว แขนสะบัดเพียงครั้งก้อนหินแหลกละเอียด แขนของเขาทะลุผ่านท่ามกลางเศษหิน ยังคงชี้มาทางจิ่งเหิงปัวนั้นอย่างแน่วแน่
จิ่งเหิงปัวกะพริบวูบดังฟิ้วหายไปแล้ว อีชีที่อยู่ข้างหลังนางพลันแบะปากยืดอกรับไว้ด้วยความร่วมมือ
ขณะจิ่งเหิงปัวหายตัวในใจเกิดเสียดายอยู่บ้าง…ไม่ทันได้คว้าสาวขี้เหร่มาแทนตำแหน่งเมื่อครู่ของนาง…
นางเพิ่งจะหายตัวมาหลังเวทีประลอง ได้ยินข้างล่างเวทีประลองร้องอุทานระลอกหนึ่ง นางอดจะชะโงกหน้ามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรอีชีหายไปจากตำแหน่งของนางแล้ว ข้างล่างเวที ตำแหน่งที่เผยซูชี้มีสาวขี้เหร่คนหนึ่งยืนอยู่จริง!
โคตรขี้เหร่!
ใบหน้าใหญ่จนให้เฟยเฟยกลิ้งข้างบนสามตลบได้ ผิวคล้ำจนออกมาตอนกลางคืนไม่มีใครพบเห็นโดยสิ้นเชิง บนผิวคล้ำยังเกิดตุ่มตะปุ่มตะป่ำทั่วร่าง ทุกตุ่มแดงฉานใหญ่โต ฝีหนองเหลืองบวมเป่ง ท่วมท้นด้วยความรู้สึกคล้ายได้เห็นคางคก
ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าอกนั้นพอให้เฟยเฟยกลิ้งข้างบนสามตลบ โอ้อวดโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ด้วย คงไม่มีใครคิดว่าคนนี้เป็นผู้หญิง ส่วนใหญ่คงคิดว่าเป็นปีศาจที่หนีออกมาจากบึงโคลนสักแห่ง
สาวน้อยอ่อนแอหลายนางร้องอุทานเสียงหนึ่ง หมดสติไปแล้ว
ทุกคนพากันส่งเสียงฮือฮา ฮือฮาไม่เพียงด้วยเพราะความอัปลักษณ์ของสตรีนางนี้ อีกทั้ง…อัปลักษณ์ขนาดนี้คงเตะตายิ่งนักแน่แท้ เมื่อครู่เหตุใดไม่พบเห็น? นางปรากฏกายได้อย่างไร?
มือของเผยซูยังชี้ตรงแน่ว เขาคล้ายประหลาดใจเหลือเกิน จนกระทั่งลืมวางมือลงแล้ว
สตรีนางนั้นแคะจมูก มองดูเขาอย่าง ‘ลุ่มหลง’ ซ้ำยังยิ้มแย้ม เอ่ยด้วยเสียงออดอ้อนว่า “ข้าเอง…ข้าเองรู้ว่าเจ้าจะเอ่ยเช่นนี้…เพียงแต่พวกเราเอ่ยกันสองต่อสองไม่ได้หรือ…ข้าเอง…ข้าเองกระดากอายได้นะ…”
นางไม่เอ่ยวาจายังพอไหว พอเอ่ยวาจาแป้งบนใบหน้าร่วงเกรียวกราว เผยให้เห็นผิวลายพร้อยข้างล่าง
บางคนกำลังอาเจียน
“ในเมื่อเจ้าแสดงความรักต่อหน้าทุกคน…ข้าเองดีใจยิ่งนักเช่นกัน…” หญิงอัปลักษณ์แคะจมูกพลางเดินขึ้นเวที เผยซูพลันสะบัดแขนเสื้อ ร้องว่า “พวกก่อกวนจากที่ใดกัน? ไสหัวกลับไป!”
แขนเสื้อพัดพาลมแรง หอบม้วนสิ่งของบนเวทีเกลือกกลิ้งตูมตามโครมคราม ทว่าสตรีนางนั้นยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน อาจด้วยเพราะเรือนร่างแข็งแกร่งเหลือเกิน เทียบกับนางแล้ว สตรีที่ถูกเผยซูโค่นล้มก่อนหน้านี้นางนั้นพลันแลดูงดงามเพรียวบางมากหลาย
“สามี เจ้าจะหยอกเย้าแล้วทอดทิ้งหรือ!” หญิงอัปลักษณ์คร่ำครวญ เสียงสะท้านกระเบื้องหลังคา
“อยากหาเรื่องแต่ไม่ดูว่าข้าคือผู้ใด!” เผยซูตวาด ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่งฟาดมือหวังคว้าไว้
มือข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากฝุ่นควัน ขวางมือของเขาไว้
เผยซูชะงัก ความโกรธแค้นฮึกเหิมบนใบหน้าพลันหยุดยั้ง ก้มหน้ามองมือของตนเอง หรี่ตาเชื่องช้า
การขัดขวางเมื่อครู่นั้น คนนอกวงการเห็นคล้ายง่ายดายยิ่งนัก ทว่ามือที่สะบัดออกมาของเขาจะถูกผู้อื่นขวางไว้ง่ายดายได้อย่างไร?
ฝุ่นควันสูญสลาย แววตาของเขาแผ่ขยายจากแขนเสื้อเทาสู่ข้างบนอย่างเชื่องช้า มองเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ไร้จุดเด่นของคนผู้หนึ่ง
“เจ้าคือผู้ใด”
“คุณหนูของข้าจะปล่อยให้เจ้าหยอกเย้าแล้วทอดทิ้งได้อย่างไร?” คนชุดเทาผู้นั้นเอ่ยอย่างแข็งกระด้างว่า “วันนี้ข้าสู้ศึกเวทีประลองแทนนาง แพ้แล้วเจ้าจงรอคอยเข้าเรือนหอ”
“เจ้าคือผู้ใด!”
“เจ้าเป็นบุรุษหรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!”
“เมื่อเอ่ยวาจาแล้ว?”
“วาจาเป็นนายเรา!”
“เจ้าจัดประลองเรียกร้องวีรสตรี ผู้ชนะเจ้าได้เป็นคู่ครอง ใช่หรือไม่?”
“…ใช่! ทว่าพวกเจ้าชนะข้าไม่ได้…”
“สู้เสร็จค่อยว่ากัน”
ไม่ทันสิ้นเสียง
พลั่ก
เผยซูล้มลงตรงแน่วสู่ข้างหลัง
เสียงร้องอุทานดังต่อเนื่อง ทุกผู้คนมองไม่ชัดว่ากระบวนท่าหนึ่งนี้มาได้อย่างไร เผยซูพลันล้มลงแล้ว
เผยซูนับว่าตอบโต้รวดเร็วเช่นกัน ยามที่แผ่นหลังใกล้ร่วงพื้นปลายเท้าแตะเพียงครั้ง พลิกกายงดงามดุจเหยี่ยวเหิน เรือนร่างทะยานร่วงลงบนเวที
เพียงแต่แม้ว่าท่วงท่างดงาม สุดท้ายยังพลาดพลั้งหนึ่งกระบวนท่า หลังเขาร่วงพื้นแววตาระยิบระยับ สีหน้าประหลาดใจแจ่มแจ้ง
“เจ้าคือผู้ใด!”
คนชุดเทาเอ่ยเพียงว่า “ยอมให้เจ้าสามกระบวนท่า ให้เจ้ายอมศิโรราบไสหัวไป”
เฉกเช่นวาจาเมื่อครู่ของเผยซู ทว่าน้ำเสียงเหยียดหยามยิ่งขึ้น จิ่งเหิงปัวมองเห็นเผยซูเกร็งแน่นกระทั่งคางแล้ว
“ไอ้เสียสติจากที่ใดกัน!” เขาตวาด ออกหมัด
คนชุดเทากะพริบเรือนร่าง พลันมาถึงข้างหลังเขา เอื้อมมือผลักแผ่วเบาเพียงครั้ง
เผยซูกะพริบกายอย่างรวดเร็วขณะเขากะพริบกาย ความเร็วของเขาเอ่ยได้ว่าหนึ่งเดียวในโลกหล้ารองจากจิ่งเหิงปัว ฉะนั้นยามเขาหันกายพุ่งออกมาเบื้องหน้าไร้คน ในใจเขากำลังยินดี อากาศรอบกายพลันบีบรัด
คล้ายฝ่ามือที่มองไม่เห็นบีบรัดอากาศโดยพลัน จนทำให้เรือนร่างปานมัจฉาแหวกว่ายของเขาต้องหยุดชะงัก
ชะงักเพียงครั้ง เงาคนกะพริบวูบ คนชุดเทาที่หน้าตาเฉยเมยปานซากศพผู้นั้นปรากฏกายเบื้องหน้าเขาอีกครั้ง ยกมือฟาดบนใบหน้าของเขาอย่างรุนแรง
เสียง เพียะ ดังกังวาน หน้ากากของเผยซูถูกตบจนแบนไปกว่าครึ่ง บนใบหน้าขาวราวหิมะเกิดรอยม่วงแดงครึ่งหนึ่งโดยพลัน
เอ่ยกันว่าต้องไว้หน้าผู้อื่นบ้าง การตบครั้งนี้ทั้งเย็นชาไร้เมตตาทั้งชั่วร้ายยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวมองดูสีม่วงคล้ำบนใบหน้าเผยซูลุกลามสู่ลำคอชั่วพริบตา
มังกรอารมณ์ร้ายเกินกว่าจะโกรธแค้นแล้ว สะบัดหน้ากากทิ้งในครั้งเดียว กระโจนลงพื้นโดยพลัน ออกแรงมากเกินไป หน้ากากที่เสียทรงบาดคางของเขา เขาเช็ดโลหิตครั้งหนึ่ง ยิ้มเยาะพลางพุ่งขึ้นมา
การต่อสู้ถึงพริกถึงขิงนี้
ทว่าไม่มีคนมองเห็นชัดเจน
บนเวทีเหลือเพียงเงาเทาสองสายเคลื่อนไหวไปมา พัดพาลมคลั่งแต่ละระลอก สิ่งของบนเวทีประลองลอยจากพื้นดินสู่ท้องฟ้าแล้วลอยจากท้องฟ้าสู่พื้นดิน ไม่ทันได้ร่วงพื้นพลันแหลกละเอียดไร้เสียง ม่านกระโจมถูกลมแรงฉีกกระชากดังแคว่ก ร่วงบนศีรษะผู้คนข้างล่างเวทีประลองดุจเสี้ยวหิมะ บางคนตาคมกริบ ชี้พื้นเวทีประลองเปล่งเสียงร้องอุทาน คนส่วนใหญ่จึงมองเห็นแผ่นไม้บนเวทีประลองกำลังซีดจางอย่างเงียบเชียบ ฝุ่นควันลอยฟุ้ง มองโดยละเอียดสิ่งนั้นมิใช่ฝุ่นควัน ทว่าเป็นเศษไม้เป็นกลุ่มเป็นก้อนที่ถูกลมแรงขูดออกมา เสียงเปรียะๆ ดังขึ้นจากพื้นเวทีอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งยามเกิดเสียงหนึ่งย่อมแตกร้าวเป็นซอกกว้างเท่าฝ่ามือซอกหนึ่ง สุดท้ายพื้นเวทีประลองแตกกระจายเป็นเสี่ยง คล้ายบ่อน้ำที่แตกระแหงยามเกิดภัยแล้ง
จิ่งเหิงปัวเท้าคาง คิดว่าต้าฮวงแห่งนี้เสือหมอบมังกรซ่อนจริงแท้ คนนี้เป็นเทพเซียนองค์ไหนอีกล่ะ? หรือว่าเป็นเจ้าคนที่ถูกผู้คนเรียกว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าคนนั้น มาแก้แค้นให้ลูกศิษย์หญิงของตัวเองที่ถูกรังแก? แต่ดูจากสีหน้าของลูกศิษย์หญิงคนนั้น เหมือนว่าไม่น่าใช่
นางถามเจ็ดสังหารอีกครั้ง เจ็ดสังหารกำลังชมอย่างสนุกสนาน เอ่ยพลางยิ้มแย้มปรีดาว่า “เป็นยอดฝีมือ แม้ด้อยกว่าพวกเรามากนัก แต่เสี่ยวเผยจื่อคงเสียเปรียบแล้วล่ะ”
“เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เสี่ยวเผยจื่อใช้ไม่ได้ ทว่าถูกควบคุมไว้โดยสิ้นเชิงแล้ว อีกทั้งเขายังไม่ได้ฟื้นคืนโดยสมบูรณ์ วรยุทธ์พลังภายในของอีกฝ่ายแตกต่างจากคนธรรมดา เป็นสิ่งที่พอจะควบคุมวรยุทธ์มากมายกระนั้น”
“อ้อ?” ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ กล่าวว่า “ยกตัวอย่าง?”
“เยอะแยะ พลังภายในขั้นสุดยอดของสำนักลับนอกแดนมนุษย์ส่วนใหญ่ทำได้ทั้งนั้น เช่น พลังภายในจันทร์กระจ่างแห่งเขาชีเฟิงของพวกเรา แน่นอนว่าครองอันดับหนึ่งไม่มีสอง นิกายสวรรค์จิ่วฉงน่าจะมีวรยุทธ์เยี่ยงนี้เช่นกัน อีกทั้ง…” ซานอู่พลันทำเสียงจิ๊จ๊ะ ไม่เอ่ยแล้ว
จิ่งเหิงปัวฟังจนข้องใจ อดกลั้นแล้วยังอดจะถามไม่ได้ว่า “ปัญญาหิมะด้วยหรือไม่?”
“หา? สิ่งนี้หรือ? ไม่เข้าใจ ไม่รู้!” เจ็ดสังหารเอ่ยตอบเป็นเสียงเดียวกัน
จิ่งเหิงปัวกลัดกลุ้ม
อยู่ด้วยกันกับเจ็ดสังหารนานเข้า อายุสั้นลงสิบปีแน่นอน!