เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 3.2
ส่วนกลางขบวนทัพทหารเยียนซาที่กำลังมาถึงอย่างรวดเร็วพลันมีทหารม้าหลายนายกระโจนออกมา เหล่าทหารม้าแข็งแรงกำยำเหนือกว่าทหารเยียนซาธรรมดามากนัก หัวเราะฮ่าๆ ด้วยเสียงดั่งระฆังใหญ่
“จับตัวประกันพวกนั้นมาเล่นสนุกสักหน่อย แล้วค่อยเจรจากับไอ้เด็กกงอิ้นนั่น!”
คนมาถึงพร้อมเสียง ทหารม้ากลุ่มใหญ่พุ่งมาจับตัวคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งออกนอกเมืองไปโดยพลัน หนึ่งในนั้นพุ่งเข้ามาหาหลายคนที่อยู่ข้างหน้าสุด มองเห็นรถเข็นคันนั้น แสยะยิ้มพลางเอ่ยว่า “อยากกินผัก!” ก่อนสะบั้นมือลงมายื้อแย่ง
“กลับบ้านไปกินนมแม่เจ้าสิ!” เทียนชี่ยกมือขึ้นตบฝ่ามือของอีกฝ่ายออกไป
“วรยุทธ์เก่งกล้า!” ดวงตาของทหารเยียนซาสว่างวูบ แลไม่ทันได้เฝ้าคุมคนที่เพิ่งออกนอกเมืองเหล่านั้นแล้ว ทยอยพุ่งเข้ามา พวกเทียนชี่กับอีชีทางนี้พุ่งออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงเถี่ยซิงเจ๋อที่ปกป้องสตรีหลายนางกับรถเข็น
ประตูเมืองกำลังค่อยๆ ปิดลง เถี่ยซิงเจ๋อร้อนรนจนเหงื่อซึมหน้าผาก…จะเข็นรถเข็นออกไปหรือลากกลับเข้าไปในเมืองดี?
หากเข็นออกไปก็เท่ากับเข้าสู่วงล้อมของทหารเยียนซา
หากลากกลับมาเท่ากับเข้าสู่วงล้อมของกงอิ้น เรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นคือพวกอีชีไม่เข้าท่าหลายคนนั้นพุ่งออกไปสังหารข้างนอกเมืองแล้ว หากเขาลากรถเข็นกลับไป พอประตูปิด ย่อมไม่มีแม้แต่คนคุ้มกัน
พริบตาหนึ่งนี้แม้แต่เถี่ยซิงเจ๋อที่หนักแน่นชาญฉลาดตลอดมา ยามนี้ยังตัดสินใจลำบาก
เหมิงหู่ที่อยู่ข้างหลังตะโกนเสียงยาวว่า “ประตูเมืองจะปิดแล้ว ศัตรูมาก่อความวุ่นวาย! ผู้ออกนอกเมืองถอยกลับมาโดยพลัน!”
เถี่ยซิงเจ๋อหันหน้ากลับมามองปราดหนึ่ง กัดฟันกรอด ลากรถเข็นกลับไปข้างหลัง
จิ่งเหิงปัวกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “ไปข้างนอก!”
ตอนนี้มีคนทะเลาะวิวาทเสียงดังเอะอะ นางห่างจากกงอิ้นระยะหนึ่ง กล่าวเสียงดังก็ไม่มีใครสนใจ
บนหลังม้า แขนเสื้อของกงอิ้นสั่นเทาเล็กน้อยโดยพลัน
เถี่ยซิงเจ๋อได้ยินวาจาประโยคนี้ของจิ่งเหิงปัวแล้วชะงักงัน ทว่ายังคงเชื่อฟังวาจาของนางโดยสำนึก เข็นรถเข็นไปข้างนอก
ยามนี้เองทหารเยียนซานายหนึ่งก็เอื้อมมือมาคว้ารถเข็นไว้ เรี่ยวแรงสองฝั่งปะทะกัน เสียงดังพรวดคราหนึ่ง ผักสดทุกชนิดบนรถเข็นกลิ้งอยู่ทั่วพื้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ประตูเมืองกำลังจะปิดลงเช่นกัน รถเข็นขวางอยู่ตรงประตูเมืองพอดี ประตูหนาหนักสองบานชนเข้ากับรถเข็นเสียงดังพลั่ก
เสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น รถเข็นแตกกระจาย
ลิ้นชักลับโผล่ออกมา
จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นนั่งทันที
ทั่วทั้งภายในภายนอกประตูเมืองพลันเงียบสงัด
กงอิ้นที่อยู่บนหลังม้าแข็งทื่อ
อากาศครู่หนึ่งนี้คล้ายผนึกแน่น เหลือเพียงดวงตาสองคู่จ้องมองกัน เขามองลงมาจากบนหลังม้า นางพลันเงยหน้าบนรถเข็นระหว่างซอกประตู
จ้องมองกันและกันผ่านประตูเมือง กองทัพ ตี้เกอ รวมทั้งเปลวเพลิงโลหิตแห่งการทรยศในค่ำคืนหนึ่ง
กาลเวลาทั้งสั้นกระชับแลยาวนานเช่นนี้
แขนเสื้อของเขาพัดพลิ้วปลิวสยายราวกับยังอยู่บนเตียงที่หอเฟิ่งไหลชีคืนนั้น มองเห็นข้อศอกที่เขาค้ำยันขึ้นมา ดวงเนตรเย็นยะเยือกและแสงจันทร์เรืองรอง
ผมยาวของนางปลิวสยายยุ่งเหยิงราวกับยังอยู่บนสะพานที่ตำหนักอวี้จ้าววันนั้น เขาแบกนางไว้ ฟังนางสารภาพรักด้วยฤทธิ์สุราต่อท้องนภาผืนปฐพี ผมสีเข้มทั้งศีรษะยุ่งเหยิงอยู่บนไหล่ของเขา
ตลอดชีวิตเพียงพริบตาหนึ่ง ไม่อาจสูญสลายไม่อาจลืมเลือน
ดุจแสงอสนีบาต
แสงอสนีบาตกะพริบวูบ ครู่ต่อมานางสะบัดมือเพียงครั้ง กิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งบนศีรษะเขาพลันร่วงหล่น พุ่งมาทางเขาอย่างรุนแรงเฉกเช่นสายฟ้าฟาด!
เขากลับไม่ขยับเขยื้อนคล้ายลืมเลือนรอบกาย และคล้ายไม่ควรคู่จะสนใจการโจมตีที่อ่อนแอครั้งนี้ด้วยซ้ำ
เหมิงหู่ลงมือดัง เพียะ! ฝักมีดตบกิ่งไม้จนแหลกสลาย ฝุ่นธุลีสีเทาโปรยปราย เปรอะเปื้อนสาบเสื้อขาวราวหิมะของเขา
เขาหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายกำลังมองสาบเสื้อที่เปรอะเปื้อน และคล้ายเหลือเพียงจิตสำนึก
เหมิงหู่กัดฟันกรอด มองดูเขาแล้วมองดูนาง อวี่ชุนใช้มืออวบอ้วนคู่หนึ่งเช็ดใบหน้าอย่างต่อเนื่อง คล้ายอยากเช็ดผิวหน้าและวาจาในใจของตนเองทิ้งไป
ทว่าจิ่งเหิงปัวถูกเข็นออกไปนอกประตูเมืองแล้ว
ทหารเยียนซานายหนึ่งหัวเราะเสียงลั่นแล้วเอ่ยว่า “ขวางอยู่ปากประตูไม่เข้าไม่ออกทำอะไร มาเถิด!” เอื้อมมือเพียงครั้งก็ลากรถเข็นที่เหลือเพียงส่วนล่างออกไป
ทหารที่เฝ้าประตูรีบร้อนหมุนวงล้อ ประตูเมืองปิดสนิทดังครืน
พริบตาสุดท้ายที่ซอกประตูปิดสนิท เขามองเห็นเพียงนางพลันหลับตาลง แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่กะพริบวูบกลายเป็นแสงสีทองอ่อนกลางหน้าผากนาง งามสง่าน่าเกรงขามดุจภาพสลักโบราณบนผนังถ้ำ
หลับตาลง ตัดขาดการจากลาครั้งหนึ่งนั้น
ประตูเมืองปิดสนิท
บังเ**ยนในมือเขาพลันขาดสะบั้นอย่างเงียบเชียบ ฝ่ามือปรากฏรอยเสียดสีแดงเข้มสองรอย
เหมิงหู่หันหน้าไป อวี่ชุนเขย่งเท้าขึ้น มองดูประตูเมืองอย่างร้อนรนกระวนกระวายแล้วมองดูกงอิ้น ในที่สุดแล้วไม่กล้าเอ่ยวาจา
จิ่งเหิงปัวถูกลากออกไป
บนศีรษะพลันมีสายลมรุนแรงพัดผ่าน นางก้มหน้าลงโดยสำนึก
พลั่ก! รอยแตกปรากฏบนประตูเมือง ทหารเยียนซาที่พุ่งมาใกล้ที่สุดนายหนึ่งเขวี้ยงขวานศึกในมือออกไป เฉียดผ่านศีรษะของจิ่งเหิงปัว ฝังลงบนประตูเมืองอย่างรุนแรง!
ประตูเมืองแข็งแกร่งเคลือบเหล็ก แม้กระทั่งหัวขวานฝังเข้าประตูเมืองได้ แขนจะแข็งแรงเพียงใด!
ทหารนายนี้เป็นเพียงทหารเยียนซาธรรมดานายหนึ่ง!
จิ่งเหิงปัวลืมตาขึ้น มองเห็นทหารเยียนซาพุ่งเข้ามาปานกระแสธารพอดี
พวกอีชีถูกทหารเยียนซาแต่ละกลุ่มโอบล้อมไว้ให้ต่างคนต่างต่อสู้ ทหารเยียนซามีประสบการณ์สงครามยิ่งนัก แบ่งกลุ่มพวกอีชีออกจากกันเกือบจะโดยพลัน เพียงโอบล้อมไม่โจมตี เพียงเดินห้อมล้อมไม่แตะต้อง ตั้งใจลดกำลังของพวกเขา เจ็ดสังหารโกรธจนส่งเสียงฮึ่มฮั่มวุ่นวาย
แม้เจ็ดสังหารกับเทียนชี่มีวรยุทธ์เก่งกล้าแต่ไม่มีประสบการณ์ต่อสู้กับกองทัพทหารศัตรู พอเริ่มต่อสู้ก็วางกลยุทธ์ผิดพลาด ถูกโอบล้อมแยกจากกัน ซ้ำยังต้องปกป้องยงเสวี่ยกับจื่อหรุ่ยไว้ ถูกบีบบังคับให้แยกห่างจากจิ่งเหิงปัวมากยิ่งขึ้นโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวคนเดียวจมดิ่งอยู่กลางมหาสมุทรแห่งทหารเยียนซา
รอบด้านคือราษฎรที่ร้องไห้ตื่นตระหนกด้วยเพราะถูกจับตัวมาก่อนหน้านี้ รอบกายคือทหารเยียนซาแต่ละนายที่ร่างกายใหญ่โตกำยำเปี่ยมด้วยไอสังหาร นางเพียงแหงนหน้าขึ้น หรี่ตามองแสงรุ่งโรจน์ตรงขอบฟ้า
ไม่ว่าเมื่อคืนนี้หิมะตกหนักแค่ไหน เช้าตรู่วันนี้พระอาทิตย์ยังคงโผล่พ้นขอบฟ้า
“สตรีนางนี้ใจกล้า!” แต่ไหนแต่ไรมาทหารเยียนซานับถือผู้กล้าหาญ มองเห็นนางไม่สะทกสะท้านจึงเกิดความสนใจขึ้นมาหลายส่วน พากันโอบล้อมเข้ามา
พฤติกรรมของทหารเยียนซาเหล่านี้แตกต่างจากสองทหารอวี้จ้าวคั่งหลงที่มีระเบียบวินัยเข้มงวดโดยสิ้นเชิง คล้ายกระทำการกำเริบเสิบสานตามใจตนมากยิ่งขึ้น อยู่บนสนามรบยังเอ่ยวาจาสนุกสนานเป็นธรรมชาติได้ ทหารแต่ละนายมีเรี่ยวแรงมากยิ่งกว่าเช่นกัน
“รับมีดของข้าไป!” มีคนชักมีดสะบั้นลงมา แสงมีดห้อยลงบนศีรษะนางปานผ้าไหมขาว
นางยกมือขึ้นกำเป็นกำปั้น วางไว้บนหน้าอก
แสงมีดหยุดลงห่างจากบนศีรษะนางเพียงเสี้ยวเดียว ทหารที่ลงมือมีแขนดั่งเหล็กกล้า เอ็นเขียวปูดโปน มีดไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว
ทหารที่เหลืออยู่หัวเราะฮ่าๆ
“ใจกล้าโดยแท้ เห็นแก่ความกล้าหาญนี้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบาก! มาเป็นตัวประกันของพวกเราเถิด!”
จิ่งเหิงปัวไม่ได้สนใจวาจาของพวกเขา กำปั้นยกขึ้นทุบลงตรงหน้าอกอย่างเชื่องช้าสามครั้ง
ดั่งท่วงท่านั้นที่ทหารเยียนซาเคยทำไว้ในพิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จยามนั้น
เสียงหัวเราะเงียบลงโดยพลัน ทุกคนตกอยู่ในความนิ่งเงียบแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ทหารที่ลงมือนั้นก็เก็บมีดเข้าฝักในครั้งเดียว ก้มหน้าลง เบิกดวงตาใหญ่โตดั่งระฆังทองแดงพินิจใบหน้าของจิ่งเหิงปัวโดยละเอียด
จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นอย่างให้ความร่วมมือ ผุดเผยรอยยิ้มเฉิดฉายดั่งมวลผกาให้เขา
เหล่าทหารเงียบไปอีกครั้ง คล้ายนึกไม่ถึงว่าสตรีที่ดูท่าทางอ่อนเพลียย่ำแย่ พละกำลังทั่วร่างคล้ายสูญสิ้นไปแล้วนางนี้ ในช่วงเวลาเช่นนี้ยังคงผุดเผยรอยยิ้มงดงามเจิดจ้าจนพาให้คนตาลายแบบนี้ได้
บุคลิกที่ซ่อนอยู่ของคนบางคน หลังผ่านพ้นความทุกข์ทรมานถึงได้เห็นความโดดเด่น
ทหารนายนั้นเบิกตากว้าง ผ่านไปครู่ใหญ่พึมพำพลางสูดหายใจเฮือก ร้องว่า “…ราชินี! เหตุใดพระองค์ทรงกลายเป็นเช่นนี้ได้?”
เขาพินิจจิ่งเหิงปัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า คล้ายไม่กล้าเชื่อสายตาของตนเอง
เหล่าทหารบางนายเริ่มจำนางได้แล้ว ทหารบางนายมองมาทางนางอย่างแปลกหน้าแปลกใจโดยสิ้นเชิง ทว่าสิ่งที่ทำให้จิ่งเหิงปัวผ่อนคลายขึ้นมาบ้างคือเจตนาร้ายกับไอสังหารหายไปแล้ว
นางคาดคะเนไว้ถูกต้องจริงด้วย
“ไม่เจอกันเสียนาน” นางยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “พวกเจ้าอยากช่วยราชครูเหยียลี่ว์ใช่หรือไม่? ข้าเพิ่งออกมาจากจวนเหยียลี่ว์ คล้ายว่าเขาจะถูกทหารคั่งหลงจับตัวไปแล้ว”
ทหารท่าทางคล้ายขุนพลนายหนึ่งกลางฝูงชนเอ่ยว่า “ตระกูลเหยียลี่ว์กับพวกกระหม่อมมีข้อตกลงว่าต้องดูแลช่วยเหลือกัน พวกกระหม่อมได้ยินว่าตี้เกอเกิดเรื่อง ผู้คนส่วนหนึ่งอาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย ฉะนั้นจึงมาตี้เกอเพื่อสนับสนุนราชครูเหยียลี่ว์ ยามนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เลวนัก” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ข้ารู้สึกว่าเขาคล้ายเตรียมรับมือสถานการณ์ที่เป็นไปได้ของตนเองอยู่ก่อนแล้ว พวกเจ้าต้องการจะบุกเข้าโจมตีตี้เกอหรือ?”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ขุนพลนายนั้นแสยะยิ้มครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “เยียนซาเป็นกองทหารโดดเดี่ยวอิสระ จำนวนทหารมีจำกัด แม้โจมตีตี้เกอคงน่าสนุก ทว่ายังไม่เสียสติถึงขนาดนำชีวิตของเหล่าพี่น้องไปทิ้งเล่น พวกกระหม่อมเพียงแต่หวังเพิ่มความกดดันให้กงอิ้นเล็กน้อย ให้เขาปล่อยราชครูเหยียลี่ว์ไปเท่านั้น”
“กงอิ้นจะไม่สังหารเหยียลี่ว์ฉี ทว่าคงไม่อนุญาตให้เขาครอบครองตำแหน่งสูงส่งต่อไปหลังจากเกิดเรื่องราวนี้ขึ้นเช่นกัน” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเกียจคร้าน
“จริงสิ หากพวกกระหม่อมจับพระองค์เป็นตัวประกันไว้ข่มขู่กงอิ้น เขาจะรีบปล่อยเหยียลี่ว์ฉีออกมาหรือไม่?” ดวงตาของขุนพลนายนั้นสว่างวูบ พอมองดูสีหน้าของจิ่งเหิงปัว ก็รีบร้อนเอ่ยเสริมว่า “แกล้งทำน่ะ แกล้งทำ”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ
“ต่อให้เจ้านำศพของข้าไป เขาคงไม่แม้แต่กะพริบตาด้วยซ้ำ” นางหัวเราะเหอะๆ กล่าวต่อไปว่า “ทว่าเอ่ยได้อีกแบบหนึ่ง หากเจ้าเอ่ยว่าจะนำศีรษะข้าไปแลกเหยียลี่ว์ฉี ก็ไม่แน่ว่าเขาจะตอบรับขึ้นมาจริงๆ”
หน้าอกเกิดความเจ็บปวดจากการหายใจติดขัด นางไอโขลกอย่างเชื่องช้าสองครั้ง
“ภรรยา!” อีชีพุ่งเข้ามาด้วยท่าทางผมเผ้ายุ่งเหยิงจนได้ ตะโกนโหวกเหวกตั้งแต่ร่างกายอยู่กลางอากาศว่า “พวกเจ้าปล่อยภรรยาข้าไปนะ! ข้าจะสู้กับพวกเจ้า…” พอก้มหน้ามองเห็นจิ่งเหิงปัวกำลังเอ่ยวาจาสนุกสนานกับทหารเยียนซา เช่นนั้นจึงชะงักไปชั่วครู่ พอปราณหลั่งไหลออกจึงหัวทิ่มลงมาดังพลั่ก
เขาเกลือกกลิ้งครั้งหนึ่งแล้วลุกขึ้นมา มองดูจิ่งเหิงปัว มองดูทหารที่กอดอกเหลือบตายิ้มให้เขาเหล่านั้น ชะงักไปครู่ใหญ่ เอ่ยอย่างเศร้าซึมว่า “ภรรยา เหตุใดเจ้าจึงกระชากวิญญาณของคนมากมายขนาดนี้ได้ไม่ว่าอยู่แห่งหนใดเล่า? ข้าไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้า เจ้าจะสนิทสนมก็สนิทสนมไป ทว่าเช่นนี้สนิทสนมเกินไปหน่อย ในฐานะที่เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดนางหนึ่ง เจ้าควรมีความระมัดระวังตัวสักหน่อยถึงจะคู่ควรกับฐานะของเจ้า…”
“หุบปาก” จิ่งเหิงปัวขัดจังหวะเขาอย่างไม่เกรงใจ กล่าวว่า “หากเอ่ยวาจาเจื้อยแจ้วอีกข้าจะระมัดระวังตัวกับเจ้าเป็นคนแรก”
อีชีหุบปากโดยพลัน ขุนพลเยียนซาทางนั้นหัวเราะฮ่าๆ โบกไม้โบกมือ เอ่ยว่า “ไม่ต้องสู้รบกันแล้ว คนกันเองทั้งนั้น แยกย้ายกันเถิด”
ทหารเยียนซาพอเอ่ยว่าต่อสู้พลันต่อสู้ พอเอ่ยว่าหยุดมือพลันหยุดมือ เพียงพริบตาเดียวฝูงชนหัวเราะลั่นแยกย้าย เมื่อครู่เทียนชี่กับเจ็ดสังหารกำลังต่อสู้อย่างดุเดือด พอกะพริบตากลับพบว่าเบื้องหน้าว่างเปล่า ศัตรูพลันหายไปแล้ว
“พิธีเฉลิมฉลองรับขบวนเสด็จยามนั้น พวกกระหม่อมรับปากพระองค์ว่าจะช่วยเหลือพระองค์สามครั้ง” ขุนพลนายนั้นเอ่ยเสียงดังว่า “เยียนซาเอ่ยวาจาเชื่อถือได้ พวกกระหม่อมจะปล่อยพระองค์กับสหายของพระองค์ไป ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรก”
แท้จริงแล้วทุบหน้าอกสามครั้งหมายถึงช่วยเหลือสามครั้ง จิ่งเหิงปัวเบะปาก ผิดหวังอยู่บ้าง…นึกว่าถวายความจงรักภักดีนับแต่นั้นเสียอีก