เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 31.1
แต่รอให้นางหันหน้ามา ความคิดสับสนวุ่นวายมืดฟ้ามัวดิน ไม่ทันคิดออกว่าต้องทำอะไรต้องกล่าวอะไรหรือจะเผชิญหน้ากับอะไร อิงไป๋ที่อยู่ข้างกายพลันกะพริบตาให้นาง
การกะพริบตาเหนือความคาดหมายนี้ ขัดจังหวะความคิดที่เหลืออยู่น้อยนิดของนางทันที
นางอ้าปากค้าง เซ่อซ่าอยู่ตรงนั้น สมองว่างเปล่าขาวโพลน
ราวกับว่าถอดกางเกงออกแล้ว สุดท้ายตื่นขึ้นมากะทันหัน
“ให้ท่านช่วยข้ากัดสิ่งนี้ เหตุใดท่านจึงกัดเปี๊ยะของข้า?” อิงไป๋หัวเราะ หงายนิ้วเพียงครั้ง กระบอกสุราตรงนิ้วมือมีจุกขวดโผล่มาครึ่งหนึ่ง เอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าเผลอยัดจุกขวดเข้าไป ต้องกัดถึงเอาออกมาได้ ข้าดื่มสุรามากไปฟันไม่ค่อยดี ซ้ำยังไม่อยากทำลายกระบอกสุราจนสุราดีของข้าหกกระเด็น เห็นท่านเคี้ยวกระดูกอ่อนดังกร๊อบแกร๊บ คิดว่าท่านต้องฟันดีแน่แท้จึงล่วงเกินแล้ว…ท่านไม่ถือสากระมัง?”
เขายิ้มแย้มลมผ่องจันทร์แผ้ว นัยน์ตาหรี่โค้งน่าลุ่มหลง ร่าเริงจนคล้ายสายลมที่เฉียดผ่านยามนี้
จิ่งเหิงปัวจ้องเขาเขม็ง ผ่านไปครู่ใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย ร้องว่า “อ้อ”
นั่นสิ คงอย่างนั้นกระมัง อิงไป๋นิสัยเรียบง่าย เรื่องนี้คงเป็นไปได้จริง
นางไม่ควรถือสา นั่นสินะ
“กินข้าวๆ” ยามนี้คนเย็นชาเช่นอินอู๋ซินนี้ยังทนบรรยากาศประหลาดนี้ไม่ไหว จัดการเอ่ยวาจาด้วยตนเองว่า “ขนมเหนียวราดซีอิ๊วนี้ไม่เลว ลองชิมสิ”
จิ่งเหิงปัวก้มหน้าก้มตากินอาหารเช้า ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในปากรสชาติอะไร
อิงไป๋เพียงคุ้ยเรื่อยเปื่อยไม่กี่คำ จากนั้นไปดื่มสุราอยู่ฝั่งหนึ่งแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่งเผยซูกลับมา เห็นท่าทางนั้นของเขา คงไล่สังหารเฟยเฟยไม่สำเร็จเป็นแน่ พอเขาเข้ามากลิ่นสาบรุนแรง พิงประตูท่าทางคล้ายอาเจียนหน้าเขียวปากซีด คลื่นเ**ยนพลางเอ่ยอย่างอ่อนเพลียว่า “ข้าไม่กินแล้ว อย่างไรเสียพวกเจ้าคงไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้ข้าเป็นแน่…” พอเงยหน้ามองเห็นอาหารบนโต๊ะยังครบครัน อดจะชะงักไม่ได้
จากนั้นมองเห็นหลายคนมีสีหน้าประหลาดเล็กน้อย เขายิ่งรู้สึกแปลกใจ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ตวาดว่า “พวกเจ้าคงไม่ใช่รังเกียจข้า…” ไม่ทันสิ้นเสียง พลันได้ยินเสียงแตรสัญญาณถี่กระชั้นดังขึ้นไกลโพ้น สะท้อนทั่ววังในทันใด
หลายคนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง หันไปสนใจสิ่งนั้น อินอู๋ซินหน้าเปลี่ยนสี เอ่ยว่า “คำสั่งด่วนจั๋นอวี่! นี่เป็นคำสั่งที่ถ่ายทอดสู่ทุกตำหนัก โดยทั่วไปจะออกคำสั่งยามเจอศัตรูสำคัญ หากออกคำสั่งด่วน นอกจากองครักษ์เท่าที่จำเป็นแล้ว องครักษ์ทุกนายที่เหลืออยู่จักต้องเริ่มระดมกำลังโดยพลัน” นางเดินไปมองข้างประตู เอ่ยอย่างแปลกใจว่า “ไปทางนอกวัง! เจอศัตรูสำคัญนอกวัง! น่าประหลาด ศัตรูเช่นไรทำให้จั้นซินระดมกำลังองครักษ์ขนนกที่แสนเก่งกล้าข้างกายไปไล่ล่าสังหารได้?”
จิ่งเหิงปัวได้ยิน ในใจกระตุกวูบ…ศัตรูที่จั้นซินเรียงแถวพร้อมรบล้อมปราบเต็มกำลัง? คงไม่ใช่…
…
นอกเมืองเทียนหลินมีทุ่งกว้างชานเมืองแห่งหนึ่ง ด้วยเพราะเคยเกิดไฟป่า ต่อมาหญ้าที่เติบโตจึงมีสีเหลืองน้ำตาล เรืองนามว่าทุ่งหวงเยี่ย
ยามนี้ต้นหญ้าบนทุ่งหวงเยี่ยกลายเป็นสีแดงสดแล้ว
โลหิตที่เพิ่งไหลจากร่างกายมีสีสันสดใส แต่งแต้มทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ดุจผ้าไหมแพรวพราว บนผืนดินใต้ผืนหญ้าเป็นรอยกระดำกระด่างกว้างขวางเช่นกัน
ศพระเกะระกะนอนนิ่งใต้ฝ่าเท้า บางคนเก็บดาบเข้าฝักอย่างเงียบเชียบ
มีเสียงเฮือกดังขึ้น
เหยียลี่ว์ฉียืนใต้แสงอาทิตย์เช้าตรู่ สีโลหิตชุ่มโชกตรงแขนเสื้อตรงปลายผม ข้างกายเขา เหยียลี่ว์สวินหรูลูบคลำพลางใช้ผ้าเช็ดคราบโลหิตตรงขากรรไกรล่างให้เขาอย่างเงียบเชียบ
นี่เป็นมือสังหารกลุ่มที่สิบแปดแล้ว ตั้งแต่เข้าสู่เขตจั๋นอวี่ การเดินทางของเหยียลี่ว์ฉีแลดูยากเย็นเป็นพิเศษ มือสังหารไล่ล่าไม่หยุดหย่อน บางกลุ่มต้องการแย่งแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหม บางกลุ่มคิดว่าเก็บเขาไว้เป็นประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นคือกองทัพที่จั้นซินส่งมา…ด้วยเพราะการตายของจั้นเจวี๋ยยามนั้น จั้นซินเกิดความแค้นกับเหยียลี่ว์ฉี เคยต่อสู้ตัดสัมพันธ์ครั้งหนึ่งที่ตี้เกอ บัดนี้เขามาถึงจั๋นอวี่เพียงลำพัง จั้นซินย่อมไม่ปล่อยโอกาสนี้ไป
ต่อสู้ติดต่อกันหลายวัน กลางหน้าผากสองคนต่างมีสีหน้าเหนื่อยล้า ทว่าสองคนไม่ได้ร้องว่าเหนื่อย และไม่มีผู้ใดทักถามอีกฝ่ายว่าเหนื่อยหรือไม่
ตั้งแต่เกิดเรื่องไม่คาดฝันยามเยาว์ บิดามารดาสิ้นชีพ สวินหรูตาบอด เขาถูกบังคับให้ทุ่มเทแรงกายแรงใจแทนผู้อื่น ชีวิตไม่เคยได้สงบสุขและเป็นอิสระ ความเหน็ดเหนื่อยคือภาระจำเป็นในชีวิต ความสงสารคือภาระไม่จำเป็นในชีวิต นางกับเขาขัดเกลาหัวใจด้วยความโหดร้ายทารุณจนแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าเนิ่นนานแล้ว
แม้ยามเยาว์เขาบาดแผลทั่วร่างเจ็บปวดจนนอนไม่หลับร้องไห้กลางดึก เพียงแลกมาด้วยนางใช้น้ำเย็นหนึ่งอ่างรดกลางศีรษะ ตะคอกตำหนิเขาว่านอนไม่หลับจงไปฝึกวรยุทธ์ ฝึกวรยุทธ์เก่งกล้า ถึงจะแก้แค้นคนที่ทำร้ายเขาได้
นางจะไม่ยอมบอกเขา หลังจากนั้นนางฟังเขาชุ่มโชกดิ้นรนฝึกกระบี่ผ่านหน้าต่าง และใช้น้ำเย็นยิ่งกว่าเดิมหนึ่งอ่างค่อยๆ รดกลางศีรษะ ร่วมสัมผัสความเจ็บปวดทั้งหัวใจครู่หนึ่งนั้นกับเขา
แม้หลังตาบอดนางกลายเป็นตัวประกัน จากคุณหนูสายตรงที่ทุกผู้คนอิจฉาร่วงหล่นลงหุบเหว ถูกสหายที่แต่ก่อนริษยานางเหยียดหยามรังแก เขาไม่ได้ไปแก้แค้นให้นาง เขาเพียงนิ่งเงียบพันแผลให้นาง เล่าหลายวิธีจัดการผู้อื่นให้นางฟัง ใช้พู่กันจุ่มหมึกเขียนหลายวรยุทธ์ที่นางฝึกฝนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้นางใช้นิ้วมืออ่านในใจได้ถนัด จากนั้นค่อยคิดหาวิธีแก้แค้นด้วยตนเอง
เขาจะไม่ยอมบอกนางเช่นกัน ระหว่างนางไปแก้แค้นไปโต้ตอบ เขาแอบตามไปตลอดทาง เขาจะไม่บอกนางว่าพี่สาวฝั่งบิดาที่แสนโหดเ**้ยมแสนชั่วร้ายคนนั้น หวังขายนางเข้าซ่องนางโลม สุดท้ายถูกเขาส่งเข้าซ่องนางโลมแทน
พวกเขาเดินผ่านเส้นทางด้วยรอยแผลทั่วร่าง ผ่านความเจ็บปวดของโลกมนุษย์ ฉะนั้นจึงไม่กลัวรสชาติขมขื่นอีกต่อไป
“ปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ใช่หนทาง” เหยียลี่ว์สวินหรูค่อยๆ เช็ดคราบโลหิตให้เขา นัยน์ตาฉายแววใคร่ครวญ เอ่ยว่า “เหตุใดจนยามนี้ คนเหล่านั้นของเจ้ายังไม่มาอีก?”
“อาจเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ตั้งแต่เดือนก่อน ข่าวเริ่มมาช้าแล้ว”
“ต้าฮวงน่าจะไม่มีคนรู้อำนาจทางนั้นของเจ้า” เหยียลี่ว์สวินหรูขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ข่าวรั่วไหลได้อย่างไร?”
“ไม่มีคนรู้ ทว่าไม่แน่ใจว่ามีคนสงสัย” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยวาจาแฝงความนัย เลิกคิ้วโดยพลัน เอ่ยว่า “มาอีกแล้ว”
เหนือยอดหญ้าไกลออกไป ปรากฏระลอกคลื่นเป็นระเบียบ คนกลุ่มใหญ่กำลังเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว
เหยียลี่ว์ฉีมีสีหน้าอึมครึม…มองรูปร่างทัพนั้น พอจะเรียกได้ว่ากองทัพ ด้วยเพราะพ่ายแพ้ติดต่อกัน จั้นซินบันดาลโทสะ ครั้งนี้ยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจัดการเขา
ยิ่งกว่านั้นเดิมทีเขาไม่ควรตกอยู่ในวงล้อมเช่นนี้ ก่อนออกจากตี้เกอ เขาส่งสัญญาณให้อำนาจใต้ดินของตนเองแล้ว แม้ภายหลังเปลี่ยนเส้นทาง แต่ไม่เคยหยุดทิ้งสัญลักษณ์ไว้ แลไม่รู้ว่าเกิดความผิดพลาดที่ใด จวบจนวันนี้ยังติดต่อไม่ได้
โชคร้ายยิ่งกว่านั้นคือศัตรูวันนี้ต่างเป็นยอดฝีมือ เหนือยอดหญ้า มองเห็นแสงสลัวเขียวเรืองของอาวุธหนักได้รำไร
วันนี้ถูกกำหนดให้วาระสุดท้ายห้อมล้อมรอบด้าน
เหยียลี่ว์สวินหรูมีสีหน้าเยือกเย็น ยืนกลางสายลมตั้งใจฟังโดยละเอียด กระซิบว่า “คนเยอะมากหรือไม่”
“โชคดี” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ไม่ค่อยแตกต่างกับก่อนหน้านี้…พวกเราไปเถิด”
ไม่ทันสิ้นเสียง เขาจูงมือเหยียลี่ว์สวินหรูทะยานสู่ท้องฟ้า
วงล้อมยังไม่เสร็จสิ้น หากหวังฝ่าวงล้อมต้องฉวยโอกาสยามนี้!
เงาคนกะพริบวูบ เหาะเหินผ่านยอดหญ้าเหลืองน้ำตาลดุจนกยักษ์สีดำแล้ว เรือนร่างยังไม่ทันร่วงพื้นแสงกระบี่เปล่งประกาย พลันมีคนร้องโหยหวนโลหิตกระเซ็นล้มลงไป
เสียงอาวุธร่วงพื้นสะเทือนโครมคราม เขาคล้ายถูกปฐพีดีดขึ้น ข้ามผ่านตลอดทางปานอสนีบาต ที่ซึ่งพาดผ่าน หยาดโลหิตแตกกระเซ็นตลอดทาง เหินว่อนข้างกายเขาดุจปีกผีเสื้อโลหิต
สวินหรูใกล้ชิดติดตามข้างกายเขา ความรู้ใจกันที่ฝึกฝนนานหลายปีทำให้นางตามฝีเท้าของเขาทัน คนตาบอดหูไวยิ่งนัก นางมีเข็มพิษกลุ่มหนึ่งในมือ ทุกครั้งยามเข็มพิษพุ่งออกไป ต่างเป็นตำแหน่งที่เหยียลี่ว์ฉีไม่ทันระวังหรือเผยช่องโหว่
เขาใช้กระบี่เปิดทาง นางใช้เข็มปกป้อง ข้างหลังวาดเป็นเส้นทางโลหิต
ทว่าฝูงชนพุ่งมาดุจกระแสธาร ช่องโหว่ที่เพิ่งจะทะลวงออกไปถูกเติมเต็มในพริบตา ศีรษะมนุษย์คลาคล่ำคล้ายกำแพงหนา ขวางกั้นเส้นทางของเขาด้วยชีวิตกับโลหิตแดงฉาน
นางได้ยินเสียงหอบหายใจของเขาจนได้ รู้ว่าเขาเหนื่อยแล้ว
สู้รบติดต่อกันหลายวัน อยู่ท่ามกลางทหารนับหมื่นยามเหนื่อยล้าอ่อนแรง ต่อให้เป็นเทพเจ้า ยามนี้ยังรอดพ้นอุปสรรคได้ยาก
สีหน้านางยังคงเงียบสงบ ทั้งที่นิ้วมืออ่อนล้าจนยกไม่ขึ้นแล้ว ทว่ายังยิงเข็มพิษได้มั่นคงแม่นยำ ฟังเสียงลมจำแนกตำแหน่ง เข้าเป้าทุกครั้ง
แม้ครู่ต่อมาจะเป็นความตาย ทว่าสองคนจะไม่ทอดทิ้งกัน
คนเยอะเกินไป เยอะเหลือเกิน จั้นซินออกคำสั่งตาย ยอมใช้ศพพลกล้าตายสกัดกั้น และต้องจัดการนักโทษที่สังหารบุตรชายเขาผู้นี้ที่ทุ่งหวงเยี่ยให้ได้
เขาไม่กล้าไปตี้เกอหาเรื่องกงอิ้น หากหวังแก้แค้นต้องฉวยโอกาสครู่หนึ่งนี้ เหยียลี่ว์ฉีอยู่เพียงลำพังในถิ่นของตนเอง
ศพสะสมใต้ฝ่าเท้าเป็นกองพะเนิน ซ้ำยังขวางกั้นฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้า เหยียลี่ว์สวินหรูรู้สึกถึงลมหายใจของคนนับไม่ถ้วน ผนึกแน่นทั่วช่องว่างคับแคบ เสียงอาวุธชุกชุมเพียงนี้ นางคำนวณไม่ได้เลยว่าชั่วพริบตาหนึ่งเหยียลี่ว์ฉีต้องแกว่งกระบี่ออกไปมากเพียงใดแลรับกระบี่ไว้มากเพียงใด นางไม่รู้ว่าหลังออกแรงสะท้านสะเทือนยิ่งนักเช่นนี้ เขายังเหลือเรี่ยวแรงมากเพียงใด