เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 32.3
ตอนจั้นซินหันหน้ากลับมาอีกครั้ง จิ่งเหิงปัวก็ชักมือกลับแล้ว นางแอบเช็ดมือบนเสื้อผ้า หันหน้ายิ้มแย้มบอกอินอู๋ซินว่า “ผู้ชรามีวรยุทธ์เทพกระไรกัน ผู้ชราถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ ฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ด้วยซ้ำ วิชานี้เป็นวิชาเคลื่อนย้ายลึกลับในสำนักข้า และเป็นเพียงการเล่นกล ไม่คู่ควรให้ทุกคนชมเชย หลานเอ๋ย เจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
ใบหน้าเขียวคล้ำของอินอู๋ซินเริ่มม่วงคล้ำแล้ว กัดฟันพยักหน้า
เผยซูแคะไม้เนื้ออ่อนฉลุหน้าต่างออกมาดังเพียะ เขายกมือยัดไม้เนื้ออ่อนเข้าปากขบเคี้ยวแล้ว…เขากลัวตนเองอดหัวเราะออกมาไม่ได้
จิ่งเหิงปัวไร้คุณธรรมเกินไปแล้ว! ไม่ยอมเสียเปรียบเกินไปแล้ว!
อิงไป๋ยังดื่มสุรา สายตาทะลุผ่านกระบอกสุรา ทอดลงบนหลังจั้นซินอย่างเย็นชา
“อ๊ะ ที่แท้ท่านฝึกวรยุทธ์ไม่ได้ยิ่งดีเลย…” จั้นซินกังวลน้อยลงอีกขั้น แทบดีใจจนพลั้งปาก เขารีบหุบปาก จ้องจิ่งเหิงปัวพลางกลอกตา ครุ่นคิดว่าจะหลอกนางปีศาจเฒ่าตนนี้ขึ้นเตียงอย่างไร?
ยามนี้เขาไม่สนใจอินอู๋ซินแล้ว เดิมทีเขาไม่ค่อยชอบนิสัยเย็นชาเช่นนี้ของอินอู๋ซิน บัดนี้ศาสตร์ชะลอวัยของปัวจีเสี่ยวซือสูงส่งยิ่งกว่านาง ซ้ำยังไม่มีวรยุทธ์ นิสัยยิ่งอ่อนหวานน่าโปรดปราน ไม่เปลี่ยนเป็นนางแล้วจะเป็นผู้ใด?
“ฝ่าบาท ข้อเสนอหลายวันก่อนของพระองค์…” อินอู๋ซินพลันเอ่ยปาก
ยามนี้จั้นซินกลัวว่านางจะเอ่ยออกมา รีบขัดจังหวะ ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ไท่เฟย ในเมื่อคนในสำนักนิกายของเจ้าอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า ซ้ำยังเป็นผู้อาวุโส ไม่ว่าอย่างไรคงเมินเฉยไม่ได้แล้ว ลานบ้านนี้คับแคบทรุดโทรมเกินไป ไม่สู้เชิญทุกท่านไปตำหนักชุ่ยหวาของเราดีกว่า?”
“เฮ้อ…” จิ่งเหิงปัวเปล่งเสียงถอนใจออกมากะทันหัน นวดเอวเล็กน้อย บอกอินอู๋ซินว่า “หลานเอ๋ย เผ่าจั๋นอวี่ของพวกเจ้าอากาศหนาวเกินไปแล้ว กระดูกชราของข้าทนอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ไม่ได้ เอวชรานี้เจ็บปวดนัก…”
อินอู๋ซินกัดฟัน เอ่ยอย่างแข็งกระด้างว่า “อาจารย์อา โรคนี้ของท่านเป็นโรคเรื้อรังหนาวสั่นนานหลายปี ประคบร้อนให้มากพร้อมทานยาย่อมหายแล้ว”
จิ่งเหิงปัวพอใจกับการให้ความร่วมมือของนางอย่างยิ่ง
จั้นซินพลันเอ่ยว่า “อาจารย์อาเป็นโรคหนาวสั่นหรือ? ไอ้หยา โรคนี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ประมาทเลินเล่อไม่ได้ เพียงแต่โรคหนาวสั่นเรื้อรังเช่นนี้ อาศัยเพียงประคบร้อนรักษาปลายเหตุไม่รักษาต้นเหตุ ทางเรานี้มีข้อชี้แนะ ไม่รู้ว่าอาจารย์อาอยากฟังหรือไม่?”
“ฝ่าบาทตรัสให้ฟังหน่อยสิ” จิ่งเหิงปัวชม้ายชายตาให้เขา
การชม้ายชายตาของนางผ่านการฝึกฝนจริง แต่ไหนแต่ไรมีสรรพคุณทั้งควบคุมจิตใจ กระชากวิญญาณและมอมเมาสรรพสัตว์ สีหน้าของจั้นซินแลคล้ายลุ่มหลงในชั่วพริบตา รีบเอ่ยว่า “ในวังมีสระน้ำร้อนแห่งหนึ่ง เดิมทีเป็นบึงโคลนยาล้ำค่า ต่อมาด้วยเพราะหมอยาชี้แนะ สร้างเป็นสระน้ำกลางแจ้งข้างบน ทุกครั้งยามเข้าเหมันต์จะจุดไฟใต้ดิน สระน้ำร้อนยาวนาน ใช้อุณหภูมิน้ำในสระรมควันบึงโคลนยา อีกทั้งขุดทางส่งน้ำเล็กใต้สระ ทดน้ำแกงยาสมุนไพรหลายชนิดเข้าไป หลังส่งผลซึ่งกันและกันกับบึงโคลนยา มีสรรพคุณเพิ่มความสดชื่นบำรุงร่างกายขับไล่ไอหนาว ช่วยบรรเทาโรคหนาวสั่นเรื้อรังของอาจารย์อาได้ดียิ่งนัก อาจารย์อาอยากลองหรือไม่?”
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา ร้องว่า “อา ฟังแล้วมหัศจรรย์ยิ่งนัก เพียงแต่สระล้ำค่าเช่นนี้ สามัญชนเช่นพวกข้าจะเสพสุขได้อย่างไร…”
“อาจารย์อาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ดุจนางฟ้านางสวรรค์ ท่านไม่คู่ควร แล้วผู้ใดคู่ควร?” จั้นซินเอ่ยอย่างสนิทสนมว่า “ท่านวางใจ สระน้ำปิดสนิท พวกคนรับใช้เข้าไปไม่ได้ ท่านคนเดียวเสพสุขให้เต็มอิ่ม ประเดี๋ยวเราจะให้กองตรวจการวังจัดเตรียมให้ท่าน”
จิ่งเหิงปัวยิ้มออดอ้อน กล่าวว่า “เช่นนี้ขอบพระทัยฝ่าบาทแล้ว” เอื้อมมือกวักเรียกสามตัวนั้น ยิ้มแย้มกล่าวว่า “เหล่าศิษย์หลานเอ๋ย พวกเจ้าช่วยคุ้มครองอาจารย์อาได้หรือไม่?”
เหล่า ‘ศิษย์หลาน’ ท่าทางแตกต่างกัน
เหยียลี่ว์ฉีพลันยิ้มแย้มโค้งกาย เอ่ยว่า “ยินดีรับใช้อาจารย์อา”
ท่าทางของเผยซูคล้ายอยากกระโจนขึ้นมา ทว่าถูกอิงไป๋หยิกเอวไว้ จนทำให้เขามัวแต่หน้าตาบิดเบี้ยว อิงไป๋เอ่ยแทนว่า “ศิษย์น้องว่าเช่นไร พวกเราว่าเช่นนั้น”
เหยียลี่ว์ฉีที่เป็นศิษย์น้องลูบจมูก โชคดีที่ยามอินอู๋ซินแนะนำเอ่ยว่าเป็นศิษย์พี่ มิฉะนั้นเกรงว่าจะเผลอไผลกลายเป็นศิษย์หลานอะไรเอยของผู้ใดอีกคน
จิ่งเหิงปัวรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับการชิงไหวชิงพริบจิตใจคับแคบของผู้ชายพวกนี้
จั้นซินหรี่ตามองสามคน หัวเราะไม่ออกความเห็น เอ่ยว่า “เรายังต้องสะสางงานบางอย่าง ขอตัวก่อน ประเดี๋ยวจะมีหัวหน้ากองตรวจการวังเข้ามารับใช้” เอ่ยจบไม่รั้งรอ จากไปโดยพลัน
เพียงแต่เขาจากไปแล้ว องครักษ์กลุ่มใหญ่ที่พามาไม่ได้จากไปด้วย คนพร้อมอาวุธพร้อม จ้องรอตะครุบอาจารย์อาศิษย์พี่ชายน้องชายฝูงนี้ดั่งพยัคฆ์เช่นเคย
ผ่านไปครู่หนึ่งมีขันทีใหญ่เข้ามาเชิญจิ่งเหิงปัวไปอบยาที่บึงโคลนยาอย่างเคารพนบนอบ ทุกคนตามไป กองทัพใหญ่ที่จั้นซินทิ้งไว้ตามไปด้วย จ้อง ‘ศิษย์พี่ชาย’ สามคนไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
เดินไปไม่ไกลมองเห็นโขดหินแห่งหนึ่ง แกะสลักเป็นรูปร่างเทือกเขาตามธรรมชาติ ข้างหลังเป็นเถาวัลย์พุ่มไม้ พืชพันธุ์อำพราง ซ้ำยังมีผลไม้ป่าสุกงอม เห็นได้ว่าที่นี่อบอุ่นแน่นอน
ไอร้อนไม่นับว่าหนาแน่น แต่ได้กลิ่นยารำไร กลิ่นยานี้แตกต่างจากกลิ่นกำมะถันของบ่อน้ำพุร้อน ซ้ำยังแตกต่างจากกลิ่นสมุนไพรธรรมดา จิ่งเหิงปัวเดาว่าที่นี่คงเป็นบึงโคลนที่เรียกว่าบึงโคลนยา
ลุ่มน้ำต้าฮวงโด่งดังเรื่องบึงโคลน ภายในมีบึงโคลนหลากหลายชนิด ทั้งบึงโคลนสมุนไพร บึงโคลนสัตว์อัศจรรย์ บึงโคลนพิษ บึงโคลนหอม รวมทั้งบึงโคลนที่แฝงด้วยสรรพคุณรักษาโรค เช่น บึงโคลนยาแบบนี้
บึงโคลนยาแห่งนี้น่าจะขนาดเล็กมาก แต่ยังนับว่าเป็นบึงโคลน ฉะนั้นถ้าอยากใช้สอยให้ปลอดภัย ต้องสร้างก้นบึงโคลนใหม่ เสริมฐานให้แข็งแรง ไม่รู้เหมือนกันว่าสร้างใหม่อย่างไรกันแน่
จิ่งเหิงปัวอยากแช่บ่อสมุนไพรให้เต็มที่เหลือเกิน ตอนนั้นนางได้รับบาดเจ็บในค่ำคืนสายลมหิมะ ความหนาวเย็นซึมเข้ากระดูก อากาศหนาวแล้วรู้สึกไม่ค่อยสบาย
ขันทีกองตรวจการวังคล้ายตั้งใจโอ้อวด ไม่ได้พานางเลี้ยวไปหลังบึงโคลนยาโดยตรง แต่พานางขึ้นภูเขาจําลองลูกนั้นที่ขวางกั้นบึงโคลนยา จิ่งเหิงปัวถามว่าพาแมวของนางมาแช่น้ำด้วยได้ไหม ขันทีปฏิเสธอย่างเกรงใจแต่เด็ดเดี่ยวว่า “บึงโคลนยาล้ำค่าแลเป็นของส่วนพระองค์ แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทสรงน้ำได้เพียงพระองค์เดียว หากฝ่าบาททรงไม่เห็นด้วย แม้เป็นนกหนึ่งตัวสัตว์หนึ่งตัวย่อมเข้าไปไม่ได้”
บนยอดเขา ขันทีชี้บึงโคลนยาข้างล่าง เอ่ยอย่างภูมิใจยิ่งนักว่า “ท่านดูสิ บึงโคลนยานี้กับบึงโคลนที่เห็นเมื่อครู่ แตกต่างกันอย่างไร?”
จิ่งเหิงปัวก้มมอง สระน้ำแห่งหนึ่งข้างล่างสีสันแปลกประหลาด ทั่วสระเป็นสีเงินอ่อน ขอบสระเปล่งประกายเขียวอ่อน แต่ตรงกลางผุดเผยประกายเหลืองอ่อน มองจากข้างบนลงล่าง คล้ายจันทร์กระจ่างดั่งเงินยวงดวงหนึ่ง ท่วมท้นด้วยรัศมีเขียวครามแห่งท้องฟ้า ซ้ำยังแลคล้ายแผ่นหยกกลมสีสันอ่อนนวลแผ่นหนึ่ง เฉิดฉายผ่านแสงอาทิตย์อบอุ่น
สวยจัง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกอ่อนไหวกับสิ่งสวยงามเสมอ เห็นสระน้ำสวยงามแบบนี้ เหม่อลอยย้อนนึกถึงสระว่ายน้ำสถาบันวิจัยที่นางเคยเพิ่มกระดานกระโดดน้ำเข้าไปแห่งนั้น ตอนนั้นนางเคยแสดงทักษะกระโดดน้ำกับเรือนร่างแสนงดงามที่นั่นนับไม่ถ้วนครั้ง หลายครั้งน้ำกระเซ็นทั่วหน้ายัยผู้ชาย ถูกเค้กน้อยเหน็บแนมว่านางเงือกปลอม จากนั้นเสพสุขเสียงปรบมือของตาทิพย์น้อยด้วยความภูมิใจ
ในใจเกิดความอบอุ่นท่วมท้นกะทันหัน นางอยากจะปล่อยอารมณ์สักครั้ง
คิดแล้วทำเลย
นางเงยหน้ากางแขนสองข้าง ท่ามกลางการจ้องมองปากอ้าตาค้างของขันที เดินไปข้างหน้าสองก้าว พุ่งพรวด กระโดด!
ข้างล่างภูเขาจําลอง ‘ศิษย์หลาน’ สามคนรวมทั้งองครักษ์นับมิถ้วนเงยหน้าอย่างงงงัน
มองเห็นนางเงือกตนหนึ่ง ใช้ท่าทางที่ชวนให้ตาแทบถลนออกจากเบ้า ใช้ท่วงท่าแสนงดงาม วาดเส้นโค้งราบรื่นกลางอากาศแล้วร่วงหล่น
ตู้ม
นอกในภูเขาจําลองเงียบสงัดจนเข็มหล่นยังได้ยิน
‘ศิษย์หลาน’ สามคนยังไม่เป็นไร เพราะเคยชินกับท่าทางไร้สาเหตุของคนแซ่จิ่งบางคนแล้ว เหล่าองครักษ์วังจั๋นอวี่เหล่านั้นอ้าปากค้างคางแทบจรดพื้น
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเทียนหนี่ว์บ้าคลั่งนัก!
อิงไป๋พลันก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง สีหน้าคล้ายกำลังรอคอยสิ่งใด
ขณะเดียวกัน ข้างในพลันแว่วเสียงตะโกนลั่นเสียงหนึ่ง
“โอ๊ย!”
เสียงเจ็บปวดรวดร้าว เป็นเสียงของจิ่งเหิงปัว
ฟิ้ว ก่อนที่ทุกคนจะรู้ตัว อิงไป๋ก็ข้ามผ่านภูเขาจําลองแล้ว
“แม่งเอ๊ย!” จากนั้นเผยซูเริ่มรู้ตัว ตบขาอ่อนเพียงครั้ง ตวาดว่า “อิงไป๋! เจ้ากล้าแย่งนาง! นางเป็นว่าที่ภรรยาข้า!”
แววตาของเหยียลี่ว์ฉีสว่างวูบ ทั้งไม่หงุดหงิดทั้งไม่ด่าทอ กระโจนขึ้นไปไม่แค่นสักเสียง
ทว่าช้าไปก้าวเดียวเท่ากับสายไปเสียแล้ว เงาคนนับไม่ถ้วนกะพริบวูบวาบ สกัดกั้นหน้าภูเขาจําลอง ตวาดก้องว่า “สระสมุนไพรเป็นสถานที่สำคัญ ฝ่าบาททรงไม่อนุญาตให้ผู้ใดบุกรุกเข้าไป!”
ลมฝ่ามือปะทะกัน เสียงตูมดังสนั่น เงาร่างของเผยซูกับเหยียลี่ว์ฉีถูกขวางไว้นอกภูเขาจําลอง
…
จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่ข้างสระ กุมขาท่อนล่างพยายามนวดสุดชีวิต สีหน้าเขียวคล้ำ
แม่งเอ๊ย เพิ่งคิดได้ ไม่ได้ห่วงผลลัพธ์ ก่อนกระโดดน้ำไม่ได้อบอุ่นร่างกาย พอร่วงน้ำเลยเป็นตะคริว
โชคดีที่นางว่ายน้ำเก่ง ตอนนี้ยังอดทนเก่งด้วย หลังจากที่หลุดปากร้องออกไป ก็ดิ้นรนพลิกตัวพิงข้างสระ บรรเทาอาการเป็นตะคริวก่อนค่อยว่ากัน
ตอนตกน้ำเสื้อผ้าเปียกโชก นางถอดเสื้อคลุมรวดเร็วฉับไว บนร่างเหลือชุดชั้นในชุดหนึ่ง ตัดเป็นเสื้อกล้ามครึ่งตัวกับกางเกงขาสั้นแนบเนื้อ นางวาดแบบให้จื่อหรุ่ยตัดชุดนี้เอง นางสวมตู้โตวไม่ชินเลย สวมชุดชั้นในหลวมโพรกของคนโบราณไม่ชินด้วย เสื้อผ้าแบบนั้นมักทำให้นางรู้สึกว่าช่วงท้องโล่งโปร่งเย็นวาบ อยากท้องเสียเรื่อยไป
คนที่สวมชุดแนบเนื้อจนชินทนใส่เสื้อผ้าไม่กระชับได้ยาก เสื้อกล้ามครึ่งตัวกับกางเกงขาสั้นเป็นแพรไหมสีดำ เปียกน้ำแล้วห่อหุ้มร่างกายแนบแน่น ยิ่งขับผิวขาวราวหิมะให้สีสันสดใส นางก้มมองแขนขาประหนึ่งมวลหิมะของตัวเอง ถอนใจเสียงหนึ่งกล่าวว่า “ผิวสวยขนาดนี้ หุ่นดีขนาดนี้ แต่มีแค่พี่เชยชมอยู่คนเดียว…”
ไม่ทันสิ้นเสียง เงาคนสายหนึ่งข้ามผ่านข้างบนดังฟิ้ว พุ่งตรงร่วงลงกลางสระ
จิ่งเหิงปัวตกใจ รีบถีบขาลื่นไถลลงก้นสระในทันที นางร้องโอ๊ยเสียงดังลั่น ดื่มน้ำเข้าไปอึกหนึ่ง…กล้ามเนื้อที่เพิ่งจะนวดคลายเส้นเป็นตะคริวอีกแล้ว…
การเป็นตะคริวในน้ำไม่ใช่เรื่องล้อเล่น นางรีบแหวกว่าย นึกได้ว่าคล้ายไม่นานก่อนหน้านี้เคยเป็นตะคริวครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นน้ำเย็นเหลือเกิน ความทรงจำเลือนรางเหลือเกิน แขนสองข้างนั้นท่วมท้นด้วยพลัง ลมหายใจของเขาช่างบริสุทธิ์ คลื่นน้ำที่ทะยานสู่ท้องฟ้าช่างแพรวพราว การสารภาพรักบนสะพานของนางช่างเลิศล้ำ ภูเขาแม่น้ำไม่แก่เฒ่า กาลเวลาไม่แก่เฒ่า ท้องฟ้าเป็นพยาน แผ่นดินเป็นพยาน นางบอกชอบคนคนหนึ่งให้โลกรู้ สุดท้ายนางถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง เข้าใจจนได้ว่าภูเขาแม่น้ำกาลเวลา ท้องฟ้าแผ่นดิน ทุกสิ่งต้านทานความโหดร้ายของโชคชะตาไม่ได้
นางกะพริบตา ในแววตาคล้ายมีของเหลวไหลริน หลอมรวมกับความร้อนผ่าวอย่างเงียบเชียบ หรือแต่เดิมอาจเป็นน้ำในสระนี้
น้ำไม่รู้ว่าปลากำลังร้องไห้ บางครั้งการโอบอุ้มแนบแน่นนับเป็นความโหดร้าย
วันนั้นกลางน้ำเย็นใต้สะพานเคยมีเงาคนพุ่งตรงลงมา คล้ายนกกระเรียนสวรรค์ ทะลุผ่านแผ่นน้ำแข็งหนาวเหน็บ
ข้างบนคล้ายมีเสียงดัง
นางเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ ตอนนี้เหนือศีรษะ มีเงาคนสายหนึ่งพุ่งตรงลงมาเช่นกัน
…
อิงไป๋เฉียดลงมาจากข้างบน เสื้อปลิวว่อนกลางอากาศ ข้างล่างไอร้อนอบอวล ชั่วขณะนั้นมองเห็นเงาคนไม่ชัดเจน ซ้ำยังได้ยินเสียงกรีดร้อง ในใจตื่นตระหนก ไม่ทันได้ทำท่าทางอ่อนช้อยลอยเลียบผิวน้ำตามหาคนอีกต่อไป ร่วงลงกลางสระดังตูม
พอร่วงลงสระเขาพลันเอื้อมมือคว้า ไม่นานคว้าของสิ่งหนึ่งไว้ได้ อิ่มเอิบ อวบอิ่ม ยืดหยุ่นเล็กน้อย…เขาชะงักงัน ชั่วขณะไม่รู้ตัวว่าเป็นสิ่งใด ทว่าจากนั้นเข้าใจแล้วว่าเป็นสิ่งใด ในใจมีเสียงดังครืน เพิ่งจะปล่อยมือ เท้าข้างหนึ่งถีบบนเข่าเขาอย่างรุนแรงแล้ว
แรงในน้ำไม่พอ เขาไม่ได้ถูกถีบกระเด็น เรือนร่างเขาเอนไปข้างหลัง ปล่อยมือออก ทว่ามืออีกข้างหนึ่งไขว่คว้ารวดเร็ว คว้าเอ็นร้อยหวายนั้นไว้
อ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลา แผ่วเบาปานเมฆา เป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
ข้างหูมีเสียงหอบหายใจเล็กน้อย แผ่วโผยดุจกระซิบ เขาพลันรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ชะงักชั่วครู่ เพิ่งยกมือสะบัดไอร้อนออกไป
จากนั้นเขามองเห็นนางแล้ว
นางปล่อยผม ทำให้ผมยาวดำขลับเงางามดุจแพรแผ่สยายทั่วผิวน้ำ บนใบหน้าไม่รู้ว่าถูกไอร้อนรมควันหรือเป็นตะคริวเจ็บปวดหรือโกรธเคือง แดงดอกท้องดงามผืนหนึ่ง หยดน้ำระยิบระยับบนหน้าผากข้างริมฝีปาก วูบไหวดุจผลึกแก้ว นัยน์ตาดำขลับชุ่มฉ่ำ คล้ายไอควันมัวสลัว
เอ็นร้อยหวายของนางอยู่ในมือเขา ด้วยเพราะท่วงท่า นางได้แต่นอนหงายกลางสายน้ำ ท่อนบนเหนือผิวน้ำ มองเห็นเทือกเขาหนาแน่น สายธารไหลรินเลียบเทือกเขา บรรจบกันตรงเอวบางดุจกิ่งหลิว ทรวดทรงบางส่วนผอมเพรียวบางส่วนอวบอิ่ม ทั้งทำให้กลัวว่าอวบอิ่มแทบระเบิด ทั้งทำให้กลัวว่าผอมเพรียวแทบหักสะบั้น ซ้ำยังทำให้กลัวว่าหัวใจที่เต้นเร่าแทบระเบิดเหนือความเพรียวบางโค้งเว้าเช่นนี้ จะทำให้นางรับไม่ได้หรือไม่ กังวลเสร็จแล้วยังต้องตื่นตะลึงกับความอัศจรรย์และความลำเอียงของผู้สร้าง มอบทรวดทรงงามล้ำโลกหล้ารวมอยู่บนร่างนางคนเดียวได้อย่างไร ไม่รู้ว่าผู้สร้างรวบรวมสมาธิเพียงใดถึงวาดทรวดทรงเช่นนี้ เสร็จสิ้นผลงานแสนเลอเลิศของตนเองได้
เขานิ่งงันกลางสระ รู้สึกเพียงหัวใจเต้นรัวแทบระเบิด ท่อนล่างเย็นเยียบท่อนบนร้อนผ่าว ขยับเขยื้อนไม่ได้