เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 33.4
“ฮ่าๆๆ” จิ่งเหิงปัวกวัดแกว่งถุงมือหนังที่อ่อนนุ่มนั้น หัวเราะลั่นลำพองใจ กล่าวว่า “เกือบหลงกลไอ้คนนี้แล้ว! ความสนใจอยู่บนสนับข้อมือหมด! ฉิบ ทั้งที่สนับข้อมือนั้นเพียงเพื่อยึดข้อมือของเจ้าไว้ ไม่ให้หนังชั้นนี้ถูกถอดออกมา! หนังปลอมชั้นนี้ถึงเป็นสิ่งล้ำค่า!”
นางพลิก ‘ถุงมือหนัง’ ที่ภายนอกเกลี้ยงเกลาแทบเหมือนหนังมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้วกลับมา อย่างที่คิดไว้ ชั้นในอัดแน่นไปด้วยอักษรและรูปภาพ
แผนการละเอียดอย่างยิ่ง ช่วงเวลาเร่งด่วน หาเจอได้ยากจริงแท้
จั้นซินมีสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
“จัดการเขาอย่างไร” อิงไป๋ถามนาง
จิ่งเหิงปัวมองสามคนในสระ เผยซูกางแขนยาวขายาวออก แช่สระน้ำอย่างเกียจคร้าน พลันคว้าดาบฟันยอดฝีมือเหล่านั้นที่คิดจะเข้ามาช่วยฝ่าบาทของพวกเขาบ่อยครั้ง มองสีหน้านั้น ไม่ได้ใส่ใจความเป็นความตายของจั้นซินด้วยซ้ำ
รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีสบายอารมณ์เช่นนั้นเสมอ เพียงเอ่ยว่า “เจ้าว่าเช่นไรข้าพอใจทั้งนั้น”
สายตาของอิงไป๋ค่อนข้างเย็นชา เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ตัดรากถอนโคน กำจัดสิ้นเสี้ยนหนาม”
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ส่ายหน้า
สามคนนั้นไม่มีสีหน้าผิดหวัง พากันมองนางด้วยความสนใจ
“ข้าไม่สังหาร” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ไม่ว่าจั้นซินจะเป็นคนชั่วร้ายเพียงใด แต่เขาไม่ได้ทำเรื่องเลวทรามต่ำช้ากับข้า ตรงกันข้าม ข้าบุกรุกถิ่นของเขา ขโมยของของเขาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง กระทำเช่นนี้นับได้เพียงว่าข้าเป็นอันธพาล หากข้าขโมยของแล้วสังหารเขา เช่นนั้นข้าจะกลายเป็นคนชั่ว แล้วแตกต่างอะไรกับจั้นซินที่บังคับข่มเหงมารดาบุญธรรม? จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่ถูกความชั่วร้ายกล่อมกลืนได้ง่ายที่สุด เสื่อมทรามได้ง่ายที่สุดในโลกหล้า เริ่มทำเรื่องชั่วร้ายครั้งหนึ่ง จะปลดปล่อยตนเอง กระทำเรื่องเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ข้าอาจเป็นคนชั่วบางครั้ง ทว่าไม่อยากเป็นคนชั่วถึงแก่นแท้ ยิ่งไม่อยากกลายเป็นคนเช่นนั้นที่ตัวข้าเองยังเกลียดชัง”
มุมปากของอิงไป๋วาดโค้งเล็กน้อย เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบา
สองคนไม่ได้เอ่ยวาจา ทว่าแสงรุ่งโรจน์วูบไหวกลางแววตา เปล่งประกายความดีใจกับความปลาบปลื้ม
สตรีเช่นนี้ ไม่นับว่าจิตใจดีงาม ไม่สูญเสียกลอุบาย ทว่าสามารถรักษาเส้นตาย ควบคุมเจตนาเดิม จิตใจผ่องใส ส่องสะท้อนความเปลี่ยนแปลงของจิตใจมนุษย์
แม้นางเคยผ่านความมืดมิด ทนทุกข์ทรมาน แต่ไม่เคยสูญเสียจิตใจกระจกแก้ว ดอกบัวชูช่อตระหง่านกลางสระมรกตในใจ ไม่แปดเปื้อนละอองธุลี
เผยซูยอมเงยหน้าขึ้นจากสระน้ำจนได้ เหลือบมองจิ่งเหิงปัวอย่างจริงจังปราดหนึ่ง พลันเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่านะ คราวนี้เหตุผลที่ข้าอยากสมรสกับเจ้าเพิ่มมาอีกข้อแล้ว”
“เพิ่มมาอีกหมื่นข้อก็ไม่เกี่ยวกับข้า” จิ่งเหิงปัวไม่สนใจเขาเลย ชี้จั้นซินกล่าวว่า “หากเขาทำชั่วอีก สวรรค์คงจัดการ ปล่อยไปเถิด”
“จั้นซินจิตใจคับแคบ วันหน้าต้องแก้แค้น” เหยียลี่ว์ฉีไม่คล้ายเตือนสติ คล้ายหยอกล้อมากกว่า
“เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า?” จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ศัตรูข้ายังน้อยอยู่หรือ? ระดับสูงกว่าเขาเป็นกองพะเนิน เขาเพิ่มมาคนหนึ่งยังต้องใส่ใจด้วยหรือ? แน่จริงเข้ามาเลย เพิ่มมาคนหนึ่งก็ฝึกฝนเพิ่มครั้งหนึ่ง มิใช่หรือ?”
“บ้าระห่ำ!” เผยซูตะโกนว่า “เหตุผลที่อยากสมรสกับเจ้าเพิ่มขึ้นมาอีกข้อแล้ว!”
“เหตุผลที่ข้าปฏิเสธเจ้ามีเพียงข้อเดียว ไม่เคยเปลี่ยนไป!” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างชั่วร้ายว่า “เทาหม่นหมอง โคตรขี้เหร่!”
เผยซูระบายความโกรธเคืองบนร่างของยอดฝีมือที่ยังคิดจะช่วยเจ้านายฝูงนั้น…
“ผู้ใดให้พวกเจ้าปล่อย? ผู้ใดให้พวกเจ้าให้อภัย?” นัยน์ตาของจั้นซินแดงก่ำ ฝ่าเท้าถีบเพียงครั้ง เอ่ยอย่างชั่วร้ายว่า “ตายไปให้หมด”!”
เสียงเขาเพิ่งจางหายไป เสียงครืนก็ดังสนั่น เหนือศีรษะทอดเงามืดครึ้ม พอทุกคนเงยหน้า มองเห็นภูเขาจําลองที่อยู่ใกล้สระน้ำพังทลายดังครืน!
สั่นสะเทือนรุนแรง อิงไป๋จำเป็นต้องปล่อยมือ เรือนร่างจั้นซินลื่นไถล มุดลงก้นสระดังจ๋อม
ยามนี้ทุกคนไม่ทันได้สนใจเขา ไม่อยากสังหารเขาด้วย พากันรีบทะยานขึ้นฟ้า
อิงไป๋เหยียลี่ว์ฉีเผยซูสามคนพุ่งมาหาจิ่งเหิงปัวกลางสระ เงาร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบหายไป สามคนชนกันดังพลั่ก
จิ่งเหิงปัวอยู่ข้างสระหอบเสื้อผ้าไปในครั้งเดียว กระทืบเท้าตะโกนว่า “พี่หายตัวได้ ห่วงพี่ทำทำไมกัน? ไป!”
ตอนนี้โขดหินปลอมก้อนใหญ่ก้อนโตพุ่งลงมาดังครืน สามคนต่างทะยานขึ้นฟ้า จิ่งเหิงปัวเห็นท่าร่างสามคนเลิศล้ำ คาดการณ์ว่าคงไม่เป็นไร กำลังคิดจะหายตัวออกจากเขตอันตรายข้างสระ หางตาพลันมองเห็นหินใหญ่กำลังร่วงมาทางศีรษะอิงไป๋ เรือนร่างของอิงไป๋เพิ่งจะกะพริบถอย เศษหินแหลมคมอีกก้อนหนึ่งแฉลบมาทางหน้าอกเขา
จิ่งเหิงปัวตกใจ กำลังจะร้องเรียกเตือนสติ อิงไป๋รู้ตัวแล้ว เรือนร่างหลบหลีก เศษหินเฉียดผ่านหน้าอกเขา พาให้เสื้อช่วงหน้าอกของเขาขาดวิ่น
จิ่งเหิงปัวหมดห่วงแล้ว กำลังจะหนีไป เริ่มรู้สึกว่าเมื่อครู่หางตาคล้ายเล็งเห็นสิ่งสำคัญอะไรสักอย่าง นางหันหน้ากลับไปทันที!
อิงไป๋กำลังปกปิดเสื้อขาดวิ่นช่วงหน้าอก
เพียงแวบเดียว ก็มองเห็นรอยแดงสายหนึ่งบนหน้าอกรำไร
จิ่งเหิงปัวร่างกายแข็งทื่อทั่วร่าง ความคิดอะไรหายไปทันที สมองไม่รู้สึกรู้สา ร่างกายลืมเคลื่อนไหว
เศษหินร่วงหล่นดุจสายฝน บดบังสายตาของนาง เศษหินบางก้อนกระเด็นถึงข้างสระแล้ว พุ่งมาทางนาง แต่นางยืนนิ่งไม่ขยับ
“เหตุใดยังไม่ไปอีก!” เงาดำสายหนึ่งกะพริบมา คว้าแขนนางไว้ในครั้งเดียว พานางออกจากขอบเขตเศษหินปลิวว่อน
สมองของจิ่งเหิงปัวยังคงเฉื่อยชา ยังคงหันหน้ามองทางอิงไป๋กลางอากาศ เขาเหินตรงขึ้นไปกลางฝุ่นควันเศษหิน ข้ามผ่านเศษหินทุกก้อน ห่างกันไกลโพ้น ฝุ่นละอองโขดหินบดบังสายตา ไม่นานนางมองไม่เห็นเขาแล้ว
ในใจนางว้าวุ่นดุจเศษหินปลิวว่อนในขณะนี้ แผดเสียงพุ่งชนมั่วซั่ว กระแทกจนส่วนลึกจิตใจเจ็บปวดรำไร
“เหตุใดมือของเจ้าพลันเย็นขนาดนี้? เกิดเรื่องใดหรือ” เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่เหนือศีรษะถามนาง
นางแข็งทื่อ ไม่รู้จักตอบ ยังคงหันหน้าอย่างดื้อรั้น หันหน้าอยู่ไกลโพ้น…มองเห็นเผยซูทะลุออกมาจากฝุ่นควันพร้อมอินอู๋ซินกับเฟยเฟย หลังจากนั้น อิงไป๋ออกมาแล้วด้วย คล้ายสายฟ้าเขียวครามสายหนึ่ง ทอดทิ้งฝุ่นควัน ข้ามผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
องครักษ์ยอดฝีมือของวังจั๋นอวี่กำลังไล่ตามมาเช่นกัน ทว่าความสามารถห่างจากหลายคนนี้ ร้องตะโกนโหวกเหวกไล่ตาม จากนั้นหันกลับไปช่วยกษัตริย์ของพวกเขาแล้ว
เหยียลี่ว์ฉีพาจิ่งเหิงปัวเหินไปข้างหน้าโดยตลอด ทะลุกำแพงออกนอกเมือง จากนั้นหยุดลงบริเวณทุ่งหวงเยี่ย
เขาเพิ่งจะร่วงหล่น ก็ไอโขลกหลายเสียง เผยซูพร้อมอินอู๋ซิน รวมทั้งอิงไป๋มาถึงแล้ว
จิ่งเหิงปัวจ้องอิงไป๋เขม็ง
พออิงไป๋ร่วงพื้น มือควานหาในเข็มขัด ล้วงกระบอกสุราน้อยทรงแบนใบหนึ่งออกมา รีบดื่มอึกหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวเพิ่งจะยืนมั่นคง ได้ยินเผยซูตะโกนว่า “เจ้าดูสิเจ้ายังแต่งกายไม่เรียบร้อยอยู่เลย!” สะบัดเสียงดัง ฟึ่บ ชุดคลุมนอกเปียกโชกตัวหนึ่งลอยมาร่วงลงบนไหล่นาง
จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน คราวนี้เพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองไม่ทันได้สวมเสื้อผ้า ยังคงเป็นเครื่องแต่งกายว่ายน้ำเยือกเย็น แขนขาอะไรนั้นถูกเห็นหมดแล้ว
นางเป็นคนยุคปัจจุบัน ยุคปัจจุบันนั้นนางเคยอวดเรือนร่างข้างสระว่ายน้ำที่สถาบันวิจัยไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ไม่ใส่ใจเรื่องแบบนี้ ตอนนี้ในใจลางเรือนพร่ามัว ยิ่งไม่ใส่ใจกว่าเดิม
นางเพียงแต่จับจ้องมองอิงไป๋
เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างกายถอนใจอย่างโศกเศร้าเล็กน้อย ถอดชุดคลุมนอกของตัวเองออกเช่นกัน คลุมไว้บนไหล่นาง ซ้ำยังคว้าอาภรณ์ที่นางหอบไว้ เอ่ยว่า “ข้าผิงไฟแห้งแล้วเจ้าค่อยสวม”
จิ่งเหิงปัวนิ่งงัน ไม่รู้ว่าต้องมอบให้ หอบเสื้อผ้ากองนั้นไว้ เสื้อคลุมยาวเปียกโชกสองตัวคลุมไว้บนไหล่ ท่าทางคล้ายหมีควายอวบอ้วน
นางเอาแต่มองอิงไป๋
มือของเหยียลี่ว์ฉีชะงักเล็กน้อย มองอิงไป๋ปราดหนึ่งเช่นกัน ก่อนจะหันหน้าไป
เผยซูมองนาง มองอิงไป๋ ลูบคางเล็กน้อย
อิงไป๋กำลังมัวแต่ดื่มสุรา
จิ่งเหิงปัวก้าวไปข้างหน้าสองก้าวประหนึ่งหมีควาย เอื้อมมือออกไปหาอิงไป๋
อิงไป๋ชะงักงัน มองชุดคลุมนอกสองตัวของนาง ก้มหน้ามองตนเอง หัวเราะคล้ายเข้าใจแล้ว เอ่ยว่า “สองตัวของพวกเขายังไม่พอ? จะเอาชุดนี้ของข้าด้วย? เจ้าตาแหลมเช่นเคย ชุดนี้ของข้าได้มาจากชิงชิงนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอจุ้ยฮวาอินที่แคว้นเซียงเชียว เบาบางนุ่มลื่นเป็นที่สุด…” พลางถอดชุดคลุมนอกโยนมาให้นาง
ชุดคลุมนอกของเขาสาบเสื้อหน้าฉีกขาด เผยให้เห็นช่วงหน้าอกสายหนึ่ง
เสื้อคลุมยาวคลุมบนร่างจิ่งเหิงปัว นางคล้ายก้อนขนาดใหญ่ จิ่งเหิงปัวขยับเสื้อผ้า ดวงตาโผล่ออกมา จ้องหน้าอกอิงไป๋เขม็ง
สีหน้าของนางสับสนกระวนกระวาย คล้ายอยากรู้มาก ซ้ำยังคล้ายไม่อยากรู้ ซ้ำยังคล้ายไม่รู้ว่าถ้าเป็นเหมือนที่ตัวเองคิดไว้จริง ควรเผชิญหน้าอย่างไร?
จากนั้นสายตานางค่อยๆ เปลี่ยนไป
ไม่สิ ไม่ถูกต้อง
บนหน้าอกอิงไป๋มีรอยแดง แต่ไม่ใช่บาดแผลถูกแทงแบบนั้น ลักษณะเป็นแค่รอยขีดข่วนรอยใหม่
ก่อนหน้านี้…ตาฝาดเหรอ?
ความว่างเปล่าผืนหนึ่งในใจนางค่อยๆ มีสีสัน แต่ยังเป็นสีเทาสับสนวุ่นวาย ก่อนหน้านี้ความสงสัยกับความว้าวุ่นยิ่งใหญ่ทับในใจประหนึ่งก้อนหิน ตอนนี้แม้ย้ายออกไปแล้ว แต่ยังแตกร้าวกลายเป็นเศษเสี้ยวนับไม่ถ้วน โปรยปรายทุกซอกทุกมุมของก้นบึ้งหัวใจ ข้อสงสัยไม่ได้สูญสลาย กลับจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
แต่ไม่ว่าอย่างไร รอยนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นรอยแดงธรรมดา ทำให้นางฟื้นคืนความมีชีวิตชีวาเล็กน้อย สมองของนางแล่นเป็นปกติจนได้
“เจ้า…”
“ข้าคอแห้งนัก” อิงไป๋ยกกระบอกสุรากรอกปากอึกใหญ่ เขย่ากระบอกสุราแล้วโยนทิ้ง เอ่ยอย่างร้อนอกร้อนใจว่า “รีบหาร้านเหล้าซื้อเหล้าดีกว่า”
จิ่งเหิงปัวหายใจติดขัด ไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไร อิงไป๋ที่อยู่ตรงหน้าคืออิงไป๋ ลักษณะท่าทางเหมือนตอนแรก แต่คล้ายว่าไม่ใช่เขา นางหันหน้ากลับมามองเหยียลี่ว์ฉีกับเผยซู สองคนนี้มีสีหน้าปกติ
เหยียลี่ว์ฉีเงียบเชียบเป็นปกติ เผยซูอารมณ์รุนแรงเก็บวาจาไว้ไม่ได้ เขาไม่รู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ?
หรือว่าตัวนางเองหวาดระแวงตลอดเวลา?
เพราะว่าเงาร่างคนนั้นยังอยู่ในใจ ดุจเมฆก้อนหนึ่ง ลอยมาคล้ายไม่ได้ตั้งใจ คล้ายทับซ้อนกับเงาคนอื่น ครอบครองท้องฟ้าจิตสำนึกของนาง? ฉะนั้นมองใครเลยสงสัยไปหมด? มองใครเลยสับสนไปหมด?
ถ้าแค่หนึ่งครั้งสองครั้ง นางจะสงสัยหรือแน่ใจ แต่จำนวนครั้งความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้มากเข้า นางเริ่มสงสัยตัวเองแทน
เห็นหนึ่งคนสองคนเหมือนเขานั่นคือหวาดระแวง เห็นใครเหมือนเขาไปหมดนั้นคือเป็นโรค
โรคประสาท? โรคจิต?
คนเป็นโรคประสาทไม่รู้ว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง คนเป็นโรคจิตรู้ว่าหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองแต่ไม่เคยคิดออกว่าทำไมเท่ากับสอง
แล้วทำไมเท่ากับสอง?
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นโรคจิตจริงๆ แล้ว
นางตั้งสติ ระงับอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าโศกเศร้าหรือขมขื่นในใจ หันหน้ามองขอบฟ้า แสงรุ่งอรุณเริ่มต้นแล้ว
ท่ามกลางแสงริบหรี่ขาวโพลน โครงร่างของทุกคนชัดเจน เงามัวสลัวค่อยๆ เลือนราง