เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 34.1
วันต่อมา นางก้าวสู่เส้นทางอีกครั้ง
พร้อมด้วยพิมพ์เขียวกับอินอู๋ซิน รวมทั้งช่างฝีมือกลุ่มใหญ่ที่ชักชวนมาด้วยเงินก้อนโต
อินอู๋ซินจะเดินทางกับพวกเขาช่วงหนึ่ง แล้วค่อยกลับสำนักเทียนหนี่ว์ นางรับปากว่าระหว่างทาง จะถ่ายทอดทักษะการสร้างเรือวิเศษกับอุปกรณ์ทุกชนิดเท่าที่ตนเองรู้ให้ช่างฝีมือที่จิ่งเหิงปัวหามา
เผยซูแพ้สิบยก ต้องติดตามนางตามสัญญา แต่เหยียลี่ว์ฉีจากไปไม่ลาอีกครั้ง ทิ้งจดหมายเขียนว่ารอพบกันที่ยุทธภพ
อิงไป๋บอกว่าอยากเข้าเยี่ยมคารวะท่านอาจารย์จื่อเวยผู้โด่งดังทั่วหล้า จึงติดตามเดินทางไปด้วย เขาไม่ค่อยเอ่ยวาจากับจิ่งเหิงปัวเท่าไร แต่ชอบดวลสุรากับชีอี้ที่อายุมากที่สุดในหมู่เจ็ดสังหารเหลือเกิน สองคนท่าทางสง่างามเสเพล รสนิยมคล้ายกัน ชีอี้ถูกอิงไป๋กล่อมเกลาจนค่อยๆ หลงรักสุราด้วย สองคนกอดคอดื่มคารวะกันจนล้มลุกคลุกคลานเป็นประจำ เมาสุราแล้วต่างคนต่างเอนกายนอนหลับบนท้องอีกฝ่าย จิ่งเหิงปัวคิดว่าความวายเต็มเลยความวายเต็มไปหมด
นางรู้สึกว่าตั้งแต่อิงไป๋ออกจากวัง ระดับความติดเหล้าเพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรง ความสนใจชื่นชมสตรีก็เพิ่มขึ้นเป็นเส้นตรงด้วย ไปถึงไหนมัวเมาร่ำสุราถึงนั่น ไปถึงไหนเรียกความสนใจผู้หญิงถึงนั่น แต่ระดับความสนใจนางกำลังลดลง บางครั้งกระทั่งคล้ายตั้งใจหลีกเลี่ยงนาง
เพียงแต่ความรู้สึกนี้ไม่ค่อยชัดเจน เพราะว่าตอนนี้คนข้างกายนางไม่น้อยเลย พวกเฮฮาเจ็ดสังหารเจ็ดคนก็หนวกหูมากพอแล้ว ด้วยเพราะนางทิ้งพวกเขาเข้าวังขโมยพิมพ์เขียว ไม่ได้พาเจ็ดสังหารไปเล่นด้วย เจ็ดสังหารบอกว่าปัวปัวไร้น้ำใจ คราวหน้าไม่พานางไปเล่นด้วยแล้ว
จิ่งเหิงปัวคิดว่าไม่พานางไปเล่นด้วยดีที่สุด เล่นกับพวกเขานานเข้า พวกเขาอายุยืนยาว คนนั้นที่เล่นด้วยมีแต่จะอายุสั้นลง
หลังออกจากจั๋นอวี่แล้วจึงเร่งความเร็ว เพราะว่าลูกน้องของเผยซูที่ออกมาจากหุบเขาเทียนฮุยกลุ่มนั้นไม่มีร่างกายอย่างเผยซู ซ้ำยังไม่โชคดีอย่างเผยซู…พี่น้องเจ็ดสังหารสนใจที่สุดแค่เผยซู ยอมตั้งใจศึกษาถอนพิษของเขา แต่ให้พวกเขาถอนพิษให้ผู้คนนับสิบทีละคน พวกเฮฮาเจ็ดคนรังเกียจว่าทั้งรำคาญทั้งเหนื่อยทั้งไม่สนุก เดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิก หลบเลี่ยงโต้เถียงซึ่งกันและกัน ถอนพิษของเจ้าคนโชคร้ายพวกนั้นจนเละเทะมั่วซั่ว กระทั่งส่อแววให้เห็นว่าร่างใกล้ระเบิดแล้ว เจ็ดสังหารถึงรู้สึกว่าร้ายแรง เร่งรัดให้รีบไปเขาชีเฟิงหาเจ้าผู้ชรา
วันนี้มาถึงข้างล่างเชิงเขาชีเฟิง ตรงนั้นมีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง มองจากไกลๆ เห็นหนุ่มสาวแต่งกายสวยงาม ผู้คนสัญจรขวักไขว่ บรรยากาศสงบเงียบสงบสุขท่วมท้น จิ่งเหิงปัวชื่นชมอยู่สักพัก อีชีเอ่ยอย่างลำพองใจว่า “นี่คือเขตสามไม่ก้าวก่ายของพวกเรา ผู้ใดก็ก้าวก่ายไม่ได้ ฉะนั้นผู้ใดก็ไม่อาจก้าวก่าย ด้วยเหตุนี้จึงสบายอกสบายใจยิ่งนัก”
“หมายความว่าอย่างไร”
“ที่นี่เป็นเขตแดนติดต่อกันระหว่างเผ่าไต้เม่ากับแคว้นซังแคว้นเหมิง เขาชีเฟิงลูกเดียวมียอดเขาเจ็ดยอด เชิงเขาทิศตะวันตกสองลูกเป็นของแคว้นซัง เชิงเขาทิศตะวันออกเป็นของแคว้นเหมิง ยอดเขาทิศใต้เป็นของเผ่าไต้เม่า สองแคว้นหนึ่งเผ่าแย่งเขาชีเฟิงกันหัวร้างข้างแตกมาเนิ่นนานหลายปี ต่างหวังครอบครองทั้งเขาชีเฟิงที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์เป็นของตน สองแคว้นหนึ่งเผ่าเคยรวมเขาชีเฟิงเป็นเขตใต้ปกครองของตนเองระยะหนึ่ง ทว่าเรื่องดีอยู่ได้ไม่นาน ยามเขาชีเฟิงเป็นของสามดินแดน สงบสุขเงียบสงัด หากตกเป็นของกลุ่มอำนาจบางกลุ่ม ยามกลุ่มอำนาจนั้นเข้ามาในภูเขากระทำการควบคุมปกครอง จะเกิดเรื่องเกิดราวจนได้ สัตว์ร้ายออกล่าบ่อยครั้ง กลางราตรีผีร่ำไห้ คนในสถานที่ตั้งค่ายหายตัวไปเป็นประจำ คนที่เข้ามาในภูเขาถูกผีบังตาร่ำไป ยิ่งกว่านั้นมากันมากเพียงใดต่างมาแล้วไปลับ จำนวนครั้งเช่นนี้มากเข้า กลุ่มอำนาจที่ครอบครองเขาชีเฟิงแห่งนั้นจึงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้า ผู้อื่นจะมาแย่งก็ฉวยโอกาสเล่นตามน้ำให้แย่งกลับไป คนผู้นั้นที่แย่งไปได้ย่อมได้รับความลำบากเอง” ซือซือชะโงกหน้าเข้ามาหัวเราะคิกๆ
“ผ่านไปนานวัน พากันไม่กล้าอยากได้แล้ว” ซานอู่ขยับหุ่นเชิดใหม่ของเขาไปมา เป็นมนุษย์น้อยที่หน้าตาคล้ายเผยซูยิ่งนัก เอ่ยว่า “เขาชีเฟิงจึงกลายเป็นเขตสามไม่ก้าวก่าย ด้วยเพราะตำแหน่งสันโดษ ราษฎรแคว้นซังแคว้นเหมิงและเผ่าไต้เม่าบางส่วน พวกที่ไม่อาจอยู่รอดที่เดิม พวกที่ถูกกดขี่อยู่ต่อไม่ได้ รวมทั้งพวกที่ก่อคดีผิดกฎหมายค่อยๆ พากันมาที่นี่ ผ่านไปนานวันจึงกลายเป็นเมืองชีเฟิง เพียงแต่เมืองชีเฟิงมหัศจรรย์ยิ่งนัก พวกโจรป่าโจรสลัด คนชั่วทุจริตผิดอาญา คนร้ายปล้นฆ่าชิงทรัพย์หลบหนีความผิดมาที่นี่เหล่านั้นอยู่ไม่ได้เลยสักคน มักจะพบเจอเรื่องประหลาดร่ำไป ผ่านไปไม่นานได้แต่แอบย่องไปบึงโคลนเฮยสุ่ย พวกที่เหลืออยู่ที่นี่ต่างเป็นสุจริตชนที่เคยถูกกดขี่ เฮ้อ ข้าว่านะ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นเขาชีเฟิงนี้ จะยอมให้พวกกากเดนเหล่านี้มาทำให้ด่างพร้อยได้เยี่ยงไรเล่า”
“อมิตพุทธ” อู่ซานเอ่ยด้วยสีหน้าเที่ยงธรรมว่า “เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพเทวา นี่คือสวรรค์ย่อมมีโองการศักดิ์สิทธิ์ประทานให้ หวังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และความบริสุทธิ์สูงส่งของเขาชีเฟิงของพวกเรา ผู้ปกครองที่มีเจตนาร้ายแอบแฝง คนชั่วทุจริตผิดอาญาย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ”
“ถุย” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “เรื่องประหลาดมากมายในเขาชีเฟิงอะไร เหนือศีรษะสามฉื่อมีเทพเทวาอะไร เทพเจ้านี้คือตัวพวกเจ้าเองกระมัง? เห็นได้ชัดว่าเป็นการหวงถิ่นแย่งอาหาร เอ่ยเสียจนสูงส่งสูงศักดิ์เชียว ระวังเทพเจ้าตัวจริงได้ยินพวกเจ้าแอบอ้างท่านขนาดนี้ จะส่งสายฟ้าผ่าพวกเจ้าสิ้นชีพ”
เจ็ดสังหารหัวเราะฮิๆ ชีอี้โอบไหล่พรรคพวก เอ่ยด้วยความเมามายว่า “ฉะนั้นพวกเราก็คือเทพแห่งเขาชีเฟิง ฉะนั้นเหล่าราษฎรเมืองชีเฟิงจึงรักใคร่เทิดทูนพวกเรา เคารพพวกเราราวกับเทพเจ้ากระนั้น ประเดี๋ยวเจ้าได้เห็นก็รู้แล้ว…”
ขณะเอ่ยวาจากำลังเข้าสู่เมืองชีเฟิง ยามรถม้าของทุกคนเข้าเมือง คนจำนวนมากหยุดเคลื่อนไหว พินิจรถม้าด้วยแววตาแปลกใจ จิ่งเหิงปัวเลิกม่านรถขึ้น ตั้งใจสังเกตลักษณะท่าทางของพวกเขา คนส่วนใหญ่มีสีหน้าสงบนิ่งอ่อนโยนโดยแท้ ยิ้มแย้มเล็กน้อย ไม่มีเจตนาร้ายต่อคนนอกเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีมาก นี่เป็นสภาพชีวิตราษฎรที่อยู่ในสถานที่ร่มเย็นเป็นสุขเท่านั้นถึงจะมีได้
นางได้ยินบางคนกระซิบว่า “คนใหม่มาอีกแล้ว…”
“เหตุใดไม่ถูกเจ็ดกองซักถามสอบสวน?”
“เจ็ดกองไม่อยู่น่ะสิ…”
“โอ้ ขอบคุณฟ้าดิน เพียงแต่ คงไม่ใช่เจ็ดกองกลับมาแล้วกระมัง?”
“เป็นไปได้อย่างไร? พวกเขานั่งรถกลับมาอย่างว่านอนสอนง่ายได้ด้วยหรือ พวกเขาจะต้อง…”
วาจาต่อมาถูกเสียงคนกลบกลืน ด้วยเพราะอีชีที่ตั้งใจจะแสดงภาพที่ตนเองได้รับการต้อนรับต่อหน้าภรรยา ชะโงกหน้าออกไปแล้ว โบกมือทักทายดังลั่นว่า “พ่อแม่พี่น้อง! ข้ากลับมาแล้ว!”
เงียบสงัดในพริบตา
จากนั้น
ตูม ตลาดแตกแล้ว!
หน้าต่างที่อยู่ติดถนนทุกบานปิดลงดังพลั่กๆๆ ตึงเครียดมากไปออกแรงมากเกิน หน้าต่างหลายบานพังหมดแล้ว
เหล่าพ่อค้าแผงลอยที่อยู่ริมทางเก็บกวาดแผงขายของรวดเร็วฉับไวดังฟิ้วๆๆ เทินไว้บนศีรษะหนีบไว้ใต้รักแร้แบกไว้ข้างหลัง ลี้ภัยเข้าตรอกน้อยปานสายฟ้าแลบ บางคนไม่มีตรอกบริเวณใกล้เคียงให้หลบ ร้อนรนจนเหงื่อท่วมหน้ากระแทกประตูร้านค้าบริเวณใกล้เคียง ร้องว่า “ผู้ใจบุญเปิดประตูหน่อย ขอข้าหลบหน่อย! เจ็ดตั๊กแตนกลับมาแล้ว!”
เจ้าของร้านใช้หลังดันประตูไว้อย่างแน่นหนา ร้องว่า “ไม่ได้! เปิดไม่ได้! หากพวกเขาฉวยโอกาสบุกเข้ามา พวกเราคงจบสิ้นแล้ว!”
อ๊ากๆๆ! เสียงกรีดร้องทั่วถนน บรรยากาศตลาดที่เมื่อครู่ยังสงบสุขสงบนิ่ง ล่มสลายกลายเป็นวันสิ้นโลกในพริบตา เหล่าหญิงสาววิ่งห้อบนถนนใหญ่ สะบัดเท้าทิ้งรองเท้าปักลาย เหล่าชายหนุ่มแสดงพลังแฝงที่ไม่มีในเวลาปกติ ขึ้นหลังคาบ้านในก้าวเดียว เหล่าตาเฒ่าโยนไม้เท้าทิ้ง ฝีเท้ากระย่องกระแย่งกลายเป็นฝีเท้าราวโผบิน
จิ่งเหิงปัวกะพริบตาปริบๆ แค่สามครั้ง ถนนที่เมื่อครู่ยังมีผู้คนสัญจรขวักไขว่บรรยากาศสงบสุข กลายเป็นความว่างเปล่าสับสนวุ่นวายทันที
คนกลุ่มหนึ่งมองถนนทอดยาวว่างเปล่าอย่างตื่นตะลึง ไม่มีคนแม้แต่คนเดียว ทั่วพื้นล้วนเป็นรองเท้าที่ถูกทิ้งไว้ พืชผักเละเทะกับของจิปาถะหลายอย่างที่ร่วงหล่น เอ่ยได้ว่าย่อยยับทั่วสายตา ดุจถูกตั๊กแตนกวาดล้างโดยแท้
“ไอ้เวรเอ๊ย…” จิ่งเหิงปัวตาค้าง พึมพำว่า “ตั๊กแตนบินผ่านแดนยังไม่มีพลังทำลายล้างขนาดนี้เลย…”
ตาเท่าถั่วเขียวของเจ้าหมาโง่เบิกกว้าง ร้องว่า “ภูเขาเขียวทอดยาวเหนือกำแพง สายน้ำแบ่งล้อมเมืองตะวันออก เจ็ดสังหารกลับบ้านดังไม่หยอก ข้านั้นบอกตกใจจวนสิ้นลม”
เฟยเฟยค่อยๆ กลิ้งไปทั่วถนน เก็บรองเท้าปักลายเหล่านั้นทีละคู่ สุดท้ายเลือกคู่ที่กระจุ๋มกระจิ๋มที่สุด ดมกลิ่นเล็กน้อย ปัสสาวะรดรองเท้านั้น
กระบอกสุราของอิงไป๋แยกจากข้างปากจนได้ สุราอึกหนึ่งพ่นรนกลางหลังของชีอี้
เทียนชี่เล่นผม สีหน้าปลอบโยน เอ่ยว่า “นี่ถึงเรียกว่าชื่อเสียงฉาวโฉ่สินะ…นึกถึงยามนั้นข้าหงอยเหงาเศร้าซึมด้วยเพราะการขับไล่เล็กน้อยเพียงนั้นเป็นเรื่องไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย!”
เผยซูชะงักอยู่นาน ตบขาอ่อนโดยพลัน ร้องว่า “ดี! จวบจนยามนี้ข้าเพิ่งรู้สึกว่าพวกเจ้าเจ็ดสังหารนับว่าเป็นบุรุษ! ลูกผู้ชายเดินเหินโลกหล้าควรเป็นเยี่ยงนี้ล่ะ! ลมพายุผ่านแดน คนได้ยินหลบหนี!”
จื่อหรุ่ยบอกยงเสวี่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “เจ้าดูสิเจ็ดสังหารมีชื่อเสียงปานนี้…ภายภาคหน้าเกรงว่าเจ้านายจะลำบาก…”
“ไม่เป็นไร” แม่นางน้อยเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ข้ากลับรู้สึกว่าหากเจ้านายเรียนรู้ความหน้าไม่อายของเจ็ดสังหารได้เช่นนั้นจริง วันหน้าไร้คู่ต่อกรแน่แท้”