เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 34.3
ผ่านไปชั่วครู่ ซือซือเอ่ยว่ามองเห็นสมุนไพรที่ร้อยปีมีครั้งเดียวบนหน้าผาทางนั้น จะไปเก็บมาถอนพิษให้จิ่งเหิงปัว ในฐานะหมอ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ที่ปฏิเสธไม่ได้ ทุกคนมองเขาปีนขึ้นหน้าผาทางนั้น จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ไปเถิด”
ไม่มีคนแสดงความเห็นต่าง ไม่มีคนเอ่ยว่าจะรอคอย…ซือซือคงไม่กลับมาในระยะเวลาอันสั้น พวกเขาเข้าใจ
เส้นทางภูเขาถัดไป อิงไป๋เผยซูเทียนชี่เริ่มพนันกัน กระซิบกระซาบไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยอะไร
มองเห็นเมฆหมอกที่ยอดเขาได้แล้ว กลุ่มก้อนเบาบาง ดุจควันดั่งแพรไหม
“โอ๊ย ข้าปวดท้อง” ซานอู่พลันโค้งกายกุมท้องไว้ กระดกก้นมุดเข้าพงหญ้า
“ฮ่าๆๆ ข้าชนะแล้ว หนีไปปลดทุกข์ๆ!” เผยซูหัวเราะลั่น แบมือ ร้องว่า “เอาเงินมา!”
“ไม่มีสิ่งใดแปลกใหม่!” เทียนชี่บ่นพึมพำพลางล้วงเงิน เอ่ยว่า “นี่เป็นเงินออมที่ข้าจะเก็บไว้ซื้อของที่อยากได้เชียว”
เดินต่อไปไม่กี่ก้าว เอ่อร์ลู่เงยหน้าร้องว่า “อาจารย์!” เขาพุ่งขึ้นไปพร้อมน้ำตาคลอเบ้า ร้องว่า “อาจารย์! หมู่นี้ท่านสบายดีหรือไม่ ศิษย์คิดถึงท่านเหลือเกิน!”
ทุกคนตกใจเงยหน้า เส้นทางภูเขาตรงหน้าว่างเปล่าขาวโพลน มีคนอยู่ที่ใด?
ไม่ต้องหาแล้ว เอ่อร์ลู่คงหายไปด้วยแล้วแน่แท้
จิ่งเหิงปัวหันหน้า ลูบคาง จ้องอีชีเขม็ง
“ภรรยา วันนี้ข้างดงามกว่าเมื่อวานแล้วหรือ” อีชีเท้าคางมองนางเช่นกัน
“ข้าว่านะ เจ้าเรียกข้าว่าภรรยานานมากแล้ว” จิ่งเหิงปัวกล่าวอย่างเชื่องช้า
“นั่นสิพวกเราจะสมรสกันเมื่อใด? ในเมื่อกลับมาด้วยกันแล้วพวกเราก็เชิญอาจารย์เป็นเจ้าภาพดีหรือไม่ เจ้าว่าวันที่สามเดือนสามเป็นอย่างไร หรือไม่วันที่สองเดือนสอง?”
“ไม่ว่าวันใด ข้าว่า…” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ภรรยาจะเรียกล้อเล่นไม่ได้ อย่างน้อยเจ้าอย่าหนี พาพวกเราขึ้นเขาเจออาจารย์เจ้าอย่างว่านอนสอนง่ายแล้วค่อยไสหัวไป เช่นนี้นับเป็นความจริงใจที่เจ้ามีต่อภรรยา ใช่หรือไม่?”
“ภรรยาเจ้าเอ่ยวาจาอะไรของเจ้า?” อีชีเบิกตากว้าง เอ่ยว่า “เจ้านึกว่าข้าจะแอบหนีไปกลางทางเฉกเช่นพวกเขาหรือ? ข้าคล้ายกับพวกเขาหรือ? ข้าเป็นคนไร้ยางอายเช่นพวกเขานั้นหรือ? ข้าคือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ็ดสังหาร! ข้าคือลูกศิษย์ที่อาจารย์รักใคร่ที่สุด! ข้าคือคนหนึ่งซึ่งซื่อสัตย์ที่สุดไว้ใจได้ที่สุดในหมู่เจ็ดสังหาร! ข้าเปี่ยมคุณธรรมสองมือสะอาดบริสุทธิ์สองจิตสองใจรอบรู้ทุกสรรพสิ่ง ข้าไม่คล้ายพวกเขาที่ล่วงเกินอาจารย์จนต้องแอบหนีลงเขาสักหน่อย ข้าอยากเจออาจารย์แทบแย่แล้ว! เขาคงคิดถึงข้ามากแน่แท้! ข้าไม่จำเป็นต้องแอบ! หนี! เลยด้วยซ้ำ”
“โอ้ นั่นสิ ดีแล้ว จดจำวาจาของเจ้าไว้”
“โอ้ภรรยา ที่นั่นมีกวางโรโง่! กวางโรในฤดูกาลนี้อ้วนอร่อยเป็นที่สุด! พวกเราไปล่าสักตัวมามอบให้อาจารย์เป็นอย่างไร…”
“แม้ยอดเขาทั้งเจ็ดพลิกคว่ำ แต่ยังเติมเต็มความเฮงซวยของพวกเจ้าไม่ได้…” จิ่งเหิงปัวถอนใจ ไม่ต้องหันหน้ากลับไปก็รู้ว่าบางคนคงไปจับกวางโรโง่แล้วแน่นอน อีกทั้งจับไม่ถึงพรุ่งนี้คงจะไม่กลับมาแน่นอน
“เหล่าที่รัก” นางเงยหน้ามองยอดเขา อย่างไรเสียก็ไม่ไกลแล้ว ไม่ต้องนำทาง น่าจะหาเจอได้ล่ะมั้ง
“พวกเราเอง ไปพบเจ้าผู้ชรานักต้มตุ๋นเฒ่าไอ้เลวเฒ่ายายปีศาจเฒ่าคนนั้นเถิด…”
…
ทว่าไม่นานทุกคนก็งงงันแล้ว
ยอดเขาทั้งเจ็ดของเขาชีเฟิงแทบจะเชื่อมเข้าด้วยกัน แม้เส้นทางสู่ยอดเขาไม่ไกล แต่ขอบเขตของตัวยอดเขาเองใหญ่มาก เหนือครึ่งเขาเต็มไปด้วยเมฆหมอก ซ้ำยังมองไม่เห็นสิ่งปลูกสร้าง หากเอ่ยด้วยวาจาของเจ็ดสังหาร พวกเขามีอาคารบ้านเรือนเช่นกัน ซ้ำยังมีอยู่มากมาย ต่างเป็นบ้านที่หลายปีมานี้พวกเขาทยอยสร้างไว้กระจัดกระจาย หากแพ้พนันก็สร้างหลังหนึ่ง หากอุจจาระไม่ออกก็วาดเส้นสร้างหลังหนึ่งตรงตำแหน่งที่อุจจาระ หากอยากชมทิวทัศน์ก็สร้างหลังหนึ่งไว้ข้างบน ทว่าจะอาศัยในบ้านที่สร้างเสร็จแล้วพวกนี้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องไม่แน่นอน เจ็ดสังหารมีจิตวิญญาณแห่งความบันเทิงเต็มเปี่ยมตลอดเวลา จะไม่ยอมหลับในบ้านนอนบนเตียงอย่างง่ายดายเด็ดขาด บ้านใช้สำหรับเลี้ยงหนูเลี้ยงเรือดเลี้ยงงู พวกเขาอาจอาศัยอยู่ในถ้ำ อาจขึงเชือกห้อยหัวระหว่างสองยอดเขา อาจถักเปลญวนนอนบนต้นไม้ ซ้ำยังอาจไล่หมีควายออกไป นอนในโพรงต้นไม้ของหมีควายแทน
แน่นอน เจ้าผู้ชราของพวกเขาก็เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น การตามหาท่านอาจารย์จื่อเวยที่ยอดเขาตอนนี้เป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหน? หาตามบ้านทีละหลังยังไม่เท่าไร หาตามถ้ำทีละถ้ำ หาตามรังทีละรัง จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่านางอาจเสียสติได้
“ไม่หา! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาตัดใจไม่แกล้งคนใหม่ได้!” จิ่งเหิงปัวตัดสินใจเด็ดขาด กล่าวว่า “พวกเราต่างคนต่างหาบ้าน พักผ่อนนอนหลับ!”
คนที่เหลืออยู่แสดงออกว่าเห็นด้วย คนฝูงนี้ไม่มีสักคนชอบทำตามกฎเกณฑ์อยู่แล้ว มีเพียงจื่อหรุ่ยคนเดียวไม่ค่อยสบายใจ ทุกครั้งที่เจอบ้านหลังหนึ่งจะต้องเคาประตู จากนั้นถูกบางคนข้างหลังถีบประตูบ้านออกในเท้าเดียว
เจ็ดสังหารเอ่ยไว้ไม่มีผิด บ้านส่วนใหญ่สร้างไว้ไม่เรียบร้อยแปลกประหลาดอัศจรรย์ ส่วนใหญ่เอาไว้เลี้ยงหนูเลี้ยงงู จิ่งเหิงปัวอุตส่าห์ค้นพบบ้านหนึ่งหลังข้างหลังโขดหินแห่งหนึ่ง กระเบื้องแดงกำแพงขาวรั้วเขียว สร้างได้มีรสนิยมอย่างยิ่ง ห้องเล็กๆ สามห้อง พอให้นางอยู่ห้องหนึ่ง จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยอยู่ห้องหนึ่ง เหลือห้องหนึ่งไว้ต้อนรับแขก
พอเปิดประตูมอง ไม่นึกว่าจะสะอาดสะอ้านอย่างหาได้ยาก คาดว่าด้วยเพราะเพิ่งสร้างได้ไม่นาน บ้านหลังนี้ตำแหน่งเลิศล้ำ หลังห้องคือหน้าผา เปิดหน้าต่างจะมองเห็นเมฆลอยสีเงินยวงแขวนอยู่บนหน้าผาสีเขียวคล้ำ ต้นสนเขียวขจีแทรกกิ่งแข็งแรงออกมาจากซอกภูเขาสีดำ ดอกไม้ป่าน้อยๆ สีเหลืองสีม่วงแต่งแต้มเสี้ยวเล็กเสี้ยวน้อยระหว่างใบสนเขียวคราม เช่นนี้สีสันกว้างใหญ่หนักแน่นเหล่านี้จึงแลคล้ายเริ่มสดใสมีชีวิตชีวา
ส่วนเหนือศีรษะคือเมฆลอย ท้องฟ้าแสนใกล้ สีฟ้าจนใกล้โปร่งแสง เมฆขาวหลายกลุ่มหลายก้อนล่องลอยดุจเผิงไหล เผยให้เห็นภูเขาโค้งเว้าเขียวครามที่อยู่ไกลโพ้นรำไร คล้ายไข่มุกน้ำทะเลโปรยปรายบนถาดหยก บริสุทธิ์งดงามและมีกลิ่นอายแห่งเซียน
อาศัยอยู่ในสถานที่เช่นนี้ ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง ปณิธานยิ่งใหญ่กว้างไกล รู้สึกว่าตนเองครอบครองโลกหล้าได้ง่ายดายยิ่ง
จิ่งเหิงปัวแปลกใจกับตำแหน่งของบ้านหลังนี้เล็กน้อย ตามตรรกะของพวกเฮฮา ตำแหน่งที่สวยขนาดนี้เหมาะสมสร้างบ้านขนาดนี้ แบบนั้นเอามาสร้างไม่ได้แน่นอน…เรื่องสมเหตุสมผล ไม่น่าสนใจเลยสักเรื่อง!
บ้านของพวกเขาอาจสร้างอยู่ใต้ร่มเงาภูเขา น้ำค้างหยดติ๋งๆ หรือไม่ก็อยู่ใกล้ช่องลม ลมคลั่งคำรามทั้งวัน หรือไม่ก็อยู่ใกล้แหล่งชุมนุมสัตว์ป่า หมาป่าเห่าหอนไม่หยุดหย่อน หรือไม่ก็อยู่ระหว่างหน้าผาบนแผ่นหินแตกในแอ่งกระทะไม่ว่าอย่างไรมักเป็นตำแหน่งที่ไม่เหมาะสร้างบ้านทุกแห่ง รูปร่างพิลึกกึกกือทุกหลัง เมื่อครู่นางผ่านมาตามทาง มองเห็นบ้านต้นไม้ทรงสามเหลี่ยมหลังหนึ่ง ห้อยอยู่ใต้ต้นสนใหญ่ต้นหนึ่ง เชือกนั้นถูกนกและสัตว์แทะจนเป็นรูพรุน ทำให้กังวลว่าครู่ต่อมาจะร่วงหล่นดังครืน
ได้เห็นบ้านปกติขนาดนี้ จิ่งเหิงปัวรู้สึกโชคดี
ตัดสินใจอาศัยหลังนี้แล้วก็ต้องปัดกวาดห้องก่อน ในห้องมีเตียงกับโต๊ะเก้าอี้ครบครัน ยอดเขาอากาศดี ฝุ่นละอองไม่นับว่ามาก จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยหาไม้กวาดมาเริ่มปัดกวาดอย่างขยันขันแข็ง จิ่งเหิงปัวอยู่ว่างไม่ได้ทำอะไร จึงหิ้วถังใบน้อย เตรียมไปตักน้ำซักผ้าขี้ริ้ว
ระหว่างนั้นนางเดินผ่านบ้านที่หลายคนนั้นเลือก เทียนชี่ดูท่าทางชื่นชอบบ้านหลังนั้นของนางมาก แต่เกรงใจไม่อยากแย่งกับนาง ยอมถอยเลือกบ้านรองลงมาจากนาง เลือกบ้านไม้กำบังลมในที่ราบระหว่างภูเขา เขากลัวลมภูเขาจะพัดให้ผิวพรรณเป็นรอย
อิงไป๋มีนิสัยชอบความโล่งกว้าง พักอยู่ในบ้านหินหลังหนึ่งที่อยู่บนจุดสูงสุดของยอดเขาน้อย ตรงหน้าคือน้ำตกเปล่งประกายแสงเงินแสงทองแห่งหนึ่ง แม้สภาพแวดล้อมงดงาม แท้จริงแล้วเสียงดังมาก แต่ไม่มีผลกระทบอะไรต่ออิงไป๋…เวลาส่วนใหญ่เขาดื่มสุราจนเมามาย ไม่ได้ยินเสียงด้วยซ้ำ
จิ่งเหิงปัวหาเผยซูไม่เจอ คิดอยู่ชั่วครู่แล้วเงยหน้า เป็นอย่างที่นางคิดไว้ ใบหน้าหล่อเหลาองอาจของเผยซูยื่นออกมาจากบ้านต้นไม้ทรงสามเหลี่ยมหลังนั้น เลิกคิ้วให้นาง เอ่ยว่า “บ้านนี้เป็นอย่างไร? เหมาะกับข้ายิ่งนักกระมัง”
พอเขาเอ่ยวาจา เชือกที่มีรูพรุนนับไม่ถ้วนที่ห้อยบ้านต้นไม้ไว้นั้นก็เริ่มสั่นเทิ้ม ทำให้กังวลยิ่งนักว่าครู่ต่อมาเชือกจะขาด ปล่อยบ้านต้นไม้ลงมา
นกป่าตัวหนึ่งบินเข้ามาจิกเชือกตามความเคยชิน เผยซูยกมือเพียงครั้ง คว้าไว้ปานสายฟ้าแลบ นกดิ้นรนอยู่ในมือเขา คิดจะใช้จะงอยปากจิกมือของเขา เผยซูแสยะยิ้ม มือเดียวบิดดังกร๊อบ
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ…ไม่ว่ามองท่วงท่าไหนของเผยซู ต่างจะทำให้คุณรู้สึกว่าชีวิตบอบบาง
ไม่มีอะไรจะกล่าวกับพวกชอบใช้กำลังแบบนี้ นางหิ้วถังน้ำเดินผ่านอย่างรวดเร็ว ได้ยินเผยซูเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยอยู่ข้างหลังนางว่า “นี่ เจ้าเป็นถึงราชินี เหตุใดต้องหิ้วน้ำเอง? ให้สองคนนั้นไปสิ…”
นางถอนหายใจอีกครั้ง…นี่ก็คือความแตกต่างของการใช้ชีวิตอยู่ในสมัยโบราณกับสมัยใหม่ นึกถึงตอนนั้นนางอยู่ที่สถาบันวิจัย ไม่ต้องกล่าวถึงหิ้วน้ำเอง แค่กวักนิ้วมือแม้แต่ข้าวยังไม่ต้องตักเอง ตอนนี้ล่ะ? ขึ้นชื่อว่าคนตามจีบมากมาย แต่พวกคลั่งเพศผู้สมัยโบราณพวกนี้ไม่ต้องให้คนอื่นปรนนิบัติก็ไม่เลวแล้ว เข้าใจความเป็นสุภาพบุรุษที่อารยธรรมสมัยใหม่หล่อหลอมออกมาเสียที่ไหนกัน
ถ้าเหยียลี่ว์ฉีอยู่ด้วยคงจะรับถังน้ำไว้ คนนี้มีพี่สาวอบรมสั่งสอน รู้จักทะนุถนอมผู้หญิง อีชีอย่างมากคงเตะเหล่าศิษย์น้องให้พวกเขาไปจัดการ ถ้าเป็นเขา…
ในใจนางเจ็บปวดกะทันหัน ส่ายหน้า ก้มหน้าเร่งฝีเท้า ความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดพวกนั้นคล้ายก้อนน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในน้ำฝั่งหนึ่ง ทุกครั้งที่โผล่ออกมากะทันหัน จะต้องเสียดแทงจนในใจนางเจ็บแปลบเสมอ
จิตใจเหม่อลอยอยู่บ้าง นางก้าวเท้ารวดเร็วยิ่ง เผยซูยื่นศีรษะออกมาจากบ้านต้นไม้อย่างแปลกใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเมื่อครู่ข้างหน้าผามีร่องน้ำน้อยเช่นกัน เหตุใดสตรีนี้คล้ายมองไม่เห็น หิ้วถังโซเซผ่านไปปานเดินละเมอแล้ว?