เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 47-2 รักที่สุดเสมอคือรักแรก
“เอ่ยถึงสมบัติแห่งโลกมนุษย์เช่นเขาชีเฟิง โดยเฉพาะยอดเขาลูกที่เจ็ดเล่ากันว่ายังมีหมีสีน้ำตาลหายากในหุบเขาหิมะ หัวใจของเจ้าตัวนั้นใช้สำหรับทำยา แทบจะรักษาบาดแผลสาหัสทุกอย่างในโลกหล้าได้ เอ่ยได้ว่าเพียงยังเหลือลมหายใจสักเฮือกก็อยู่รอดแน่แท้ นี่คือสิ่งล้ำค่าที่ผู้ฝึกวรยุทธเช่นข้าใฝ่ฝันจะครอบครอง หมู่นี้เถี่ยเมี่ยนหลังที่มีวรยุทธอันดับหนึ่งในกลุ่มข้าบาดเจ็บสาหัส กำลังหวังได้ของสิ่งนี้ช่วยเหลือ น่ารังเกียจเจ้าผู้ชราเช่นท่านอาจารย์จื่อเวยนั่น หลายปีมานี้ยึดครองเขาชีเฟิง ไม่สะดวกลงมือจริงๆ…” หัวหน้ากลุ่มเยี่ยนปังถอนใจ
“หัวหน้ากลุ่มไม่ต้องลำบากใจ ข้ากลับได้ยินว่าแท้จริงแล้วท่านอาจารย์จื่อเวยไปยอดเขาลูกที่เจ็ดน้อยครั้ง” บางคนเอ่ยว่า “เขตอิทธิพลของข้าใกล้กับยอดเขาลูกที่เจ็ด ยามปกติจับตาดูอยู่ตลอด ไม่เคยเห็นท่านอาจารย์จื่อเวยไปหุบเขาหิมะเลยจริงๆ หากหัวหน้ากลุ่มต้องการเช่นนั้นจริง ในเมื่อพวกข้าเป็นพันธมิตร เรื่องนี้ควรช่วยกัน ย่อมต้องนำทางให้หัวหน้ากลุ่ม”
“เช่นนี้ดีแน่”
“ไปเขาชีเฟิงหรือ?” เจ้าสำนักหญิงขยับเข้ามายิ้มแย้มเอ่ยว่า “เช่นนี้ จะได้ดำเนินแผนการของข้าด้วย”
“โอ้?”
“กระทำเรื่องหนึ่ง อาวุธไม่เปื้อนโลหิตดีที่สุด” เจ้าสำนักหญิงหัวเราะอีกครั้ง “เรื่องจัดการราชินีนั้น หลายกลุ่มนั้นก็น่าจะกำลังหารือแผนการ ตามความเห็นข้า นางเป็นเพียงแม่นางน้อยผู้อ่อนหวาน เหตุใดต้องทำเรื่องโหดร้ายเช่นนั้น?”
“เจ้าสำนักหลัวคือหญิงฉลาดอันดับหนึ่งแห่งบึงโคลนเฮยสุ่ยของเรา ย่อมต้องมีอุบายเลิศล้ำ ขอฟังให้ละเอียด” ทุกคนเผยให้เห็นสีหน้าสนใจ
สตรีแห่งสำนักหลัวซาที่นามว่าหลัวซานั้น แสร้งทำลึกลับยิ้มแย้มไม่เอ่ยวาจา เอื้อมมือตบแผ่วเบา ม่านในห้องโถงด้านในสะบัดเพียงครั้ง คนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างแผ่วเบา
ทุกคนรู้สึกเพียงตรงหน้าสว่างไสว อดจะพินิจเนิ่นนานไม่ได้ บางคนที่มีนิสัยค่อนข้างใจแคบยังเผยให้เห็นสีหน้าริษยานิดหน่อย
ผู้อ่อนวัยที่ยืนอยู่ในห้องโถง อาภรณ์ราวหิมะ บุคลิกสันโดษหยิ่งยโส แม้ถูกผู้อาวุโสระดับสูงสุดมากมายที่อยู่ที่นี่ล้อมพินิจ แต่ไม่ได้เผยให้เห็นความอึดอัดสักเสี้ยว ท่าทางกลับทะนงองอาจ ยิ่งเพิ่มลักษณะสง่างามประหนึ่งไผ่เขียวบนผาสูงหลายส่วน
“ผู้อ่อนวัยล้ำเลิศเช่นนี้…เจ้าสำนักหามาจากที่ใดกัน!” หวาเหยียนหัวหน้ากลุ่มเยี่ยนปังอุทาน ในใจกลับคิดว่าเล่ากันว่าหลัวซานั้นชอบผู้อ่อนวัยโฉมงามที่สุด ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักงดงามล้ำเลิศ บัดนี้ดูท่าเป็นเรื่องจริง
หลัวซายิ้มแย้มภูมิใจยิ่งนัก
เหมิงเลี่ยหั่วแห่งพรรคเลี่ยหั่วที่เคยไปตี้เกอ แววตาที่พินิจผู้อ่อนวัยคนนั้นกลับประหลาดเล็กน้อย คล้ายกำลังใคร่ครวญอะไร
หลัวซาเบนสายตา ชี้เขาโดยเฉพาะ ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสเหมิงกำลังนึกถึงอะไรหรือ?”
เหมิงเลี่ยหั่วเผยให้เห็นสีหน้ารู้แจ้ง ลูบเครายิ้มแย้มเอ่ยว่า “เช่นนี้เอง! เจ้าสำนักมีความคิดลึกซึ้งยิ่งนัก”
“เทียบกับเขา เป็นอย่างไร?” สายตาของหลัวซาฉายแววเฝ้าปรารถนา
เหมิงเลี่ยหั่วพินิจผู้อ่อนวัยคนนั้นอีกครั้ง พยักหน้าก่อน ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นส่ายหน้า
“ผู้อาวุโสเหมิงว่าอย่างไร?” หลัวซาเลิกคิ้ว
“เห็นครั้งแรก ลักษณะคล้ายคนผู้นั้นสามส่วนจริงแท้” เหมิงเลี่ยหั่วเอ่ยว่า “พินิจอีกครั้งนานเข้า กลับรู้สึกว่าห่างชั้นเหลือเกิน!”
“ห่างชั้นที่ใด?” หลัวซามีสีหน้าไม่พอใจชัดเจน แม้คนที่เหลือฟังบทสนทนานี้แล้วจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็ฟังออกว่าผู้อ่อนวัยคนนั้นสู้คนผู้หนึ่งไม่ได้เลย อดจะแปลกใจไม่ได้ หน้าตาท่วงท่าของผู้อ่อนวัยคนนี้ เอ่ยได้ว่าหนึ่งในโลกหล้าแล้ว ยังมีผู้ใดเหนือกว่าเขาขนาดนั้นได้? แม้แต่ผู้อ่อนวัยที่มีท่าทางหยิ่งผยองเป็นนิจคนนั้นยังอดจะเบนสายตามาไม่ได้
“ได้แต่หน้าตาของเขา ไม่ได้ท่วงท่าของเขา” เหมิงเลี่ยหั่วถอนใจ “ปีนั้นผู้ชราไปตี้เกอ ขอให้หลานที่เป็นญาติห่างๆ ของข้านั้นช่วยเป็นธุระ เห็นคนผู้นั้นอยู่ไกลๆ ปราดเดียว ท่วงท่าสง่างามปานนั้น ลืมไม่ลงชั่วชีวิต” เขาชี้ผู้อ่อนวัยคนนั้น “แม้เด็กหนุ่มผู้นี้หน้าตางดงาม ก็นับว่ารูปโฉมงดงามเท่านั้น เทียบกับคนผู้นั้นแล้ว สีหน้าท่าทางเห็นเพียงความเยาว์วัย ยิ่งกว่านั้นก็ไม่รู้ได้ยินข่าวลือจากที่ใด รู้ว่าคนผู้นั้นเย็นชาเย่อหยิ่ง ฉะนั้นจึงตั้งใจลอกเลียนลักษณะหยิ่งยโสของคนผู้นั้น แต่ไม่รู้ว่าคนผู้นั้นไม่เคยแสร้งทำท่าทางหยิ่งผยองเลย เขาไม่จำเป็นต้องหยิ่งผยอง ทุกผู้คนก็ศิโรราบกราบกรานอยู่แล้ว”
ครานี้หลัวซาไม่โกรธเคือง เผยให้เห็นท่าทางเหม่อลอยรำไร นางสังหรณ์ว่าผู้อ่อนวัยตรงหน้ามีรูปโฉมเหนือสามัญแล้ว ไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่ายังมีผู้ใดเหนือกว่าเขามากได้
“ทุกผู้คนเล่ากันว่าหยกขาวแกนทองคำคือพ่อรูปงามที่หาได้ยากในต้าฮวง ข้ากลับได้ยินผู้คนเอ่ยว่าราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาแห่งต้าฮวง รูปโฉมยิ่งเหนือกว่านั้น ไม่รู้เลยว่าสองคนจะสง่างามเท่าใด จินตนาการได้ยากเหลือเกิน…”
คนที่อยู่ที่นี่เห็นประกายในแววตานาง อดจะแอบหัวเราะไม่ได้…ในหมู่กลุ่มอำนาจแห่งบึงโคลนเฮยสุ่ย เจ้าสำนักหญิงท่านนี้เจ้าชู้ที่สุด แน่นอนว่าชอบบุรุษโฉมงาม ครานี้เกรงว่าจะมีเป้าหมายใหม่อีกแล้ว
เหมิงเลี่ยหั่วกลับหันหน้าไป เหยียดยิ้มเยาะเย้ย…ใฝ่สูงเกินไปแล้ว! คนผู้นั้นไม่ใช่พ่อรูปงามทั่วไป นั่นน่ะผู้ปกครองที่มีอำนาจล้นฟ้าแห่งต้าฮวง ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวก็เป็นเจ้านายแห่งต้าฮวง หัวหน้าต่ำต้อยของกลุ่มอำนาจในยุทธจักรป่าเถื่อนแห่งบึงโคลนเฮยสุ่ย ลูกน้องมีไม่กี่คน กล้าเพ้อฝันถึงเขาด้วย?
อีกทั้งราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา หวังรวบเป็นแขกหลังม่านทั้งสองคนหรือ?
เพียงแต่ตัวเขาอยู่ตี้เกอ บุรุษสูงศักดิ์ ไม่ข้องเกี่ยวเรื่องภายนอก คงไม่รู้ว่าบึงโคลนเฮยสุ่ยแห่งนี้มีคนอยากได้เขา มิฉะนั้นเจ้าสำนักหญิงท่านนี้ก็ต้องโชคร้ายแล้ว
“ยังไม่รู้เหตุผลที่เจ้าสำนักเชิญคนผู้นี้ออกมาเลย” บางคนชี้ผู้อ่อนวัยในห้องโถงนั้นพลางถามหลัวซา
“เจ้าสำนักน่าจะได้ยินประวัติความรักครั้งนั้นของราชินี” เหมิงเลี่ยหั่วเอ่ยว่วา “เล่ากันว่าราชินีกับราชครูกงเคยมีความรักต่อกัน ทว่าตัดขาดกันโดยสิ้นเชิงในค่ำคืนบังคับสละราชย์ที่ตี้เกอ เจ้าสำนักหาผู้อ่อนวัยคนนี้มา หน้าตาคล้ายราชครูกงสามส่วน หรือว่าจะใช้เด็กหนุ่มผู้นี้ทำให้ราชินีหวั่นไหว สมัครใจเป็นพันธมิตรกับพวกเรา?”
ทุกคนได้ยินนามกงอิ้น พากันร้องฮือฮา อดจะแอบกระซิบกระซาบไม่ได้
“ถูกต้อง ผู้อาวุโสเหมิงชาญฉลาด!” หลัวซาคล้ายมีประกายในแววตา “กลยุทธ์นี้ของข้าเป็นอย่างไร? เอ่ยกันว่าใจคนสำคัญที่สุด ไม่สิ้นเปลืองกำลังพล ได้หัวใจของราชินี ไม่ต้องกลัวว่านางจะไม่กลายเป็นคนของพวกเรา”
“ทว่าราชินีตัดขาดกับราชครูกงตั้งนานแล้ว ข้างล่างกำแพงตี้เกอ ราชินีถึงขนาดแกว่งขวานสะบั้นธงตี้เกอของราชครู…” เหมิงเลี่ยหั่วมีสีหน้าเหลือเชื่อเล็กน้อย “ผู้ที่คล้ายราชครูกงคนนี้ เกรงว่าพอเจอหน้า คงจะถูกราชินีสังหารแล้วกระมัง?”
“ไม่ใช่ๆ” หลัวซาสะบัดนิ้วมือเรียวยาวที่ทาน้ำมันทาเล็บจนทั่ว “ผู้อาวุโสเหมิง เรื่องเช่นนี้ท่านก็ไม่เข้าใจแล้ว ข้าเป็นสตรี ข้าเข้าใจความคิดของสตรี พวกนางปากกับใจไม่ตรงกันที่สุด พวกนางยิ่งเกลียดผู้ใดก็มักจะยิ่งรักผู้นั้น ไม่ว่าอย่างไร คนผู้นั้นที่เป็นรักแรกที่สุด ทำให้นางจิตใจหวั่นไหวได้ที่สุดเสมอ ต่อให้ยามนี้นางไม่รักแล้ว ด้วยจิตใจหวังแก้แค้นส่วนนั้น นางก็จะให้ความสนใจผู้ที่คล้ายกงอิ้นยิ่งขึ้น ข้าเชื่อว่า” นางหัวเราะอย่างภูมิใจ “ขอเพียงนางสนใจ ก็หนีไม่พ้นตาข่ายแห่งรักของผู้ที่ข้าตั้งใจฝึกฝนคนนี้อีกแล้ว”
เหล่าผู้อาวุโสนิ่งเงียบครู่ใหญ่ ต่างยิ้มแย้มเอ่ยว่า “เรื่องของสตรี พวกเราไม่เข้าใจจริงแท้ แต่อย่างไรเสียก็ไม่มีผลร้ายอะไร ลองดูไม่เสียหาย”
บ้างก็เผยให้เห็นสีหน้าเสียดาย แลไม่รู้ว่าเสียดายผู้อ่อนวัยคนนี้หรือจิ่งเหิงปัว
“ได้ยินว่าราชินียังเป็นสาวพรหมจรรย์ เพียงแต่ทุกท่านอย่าได้รู้สึกเสียดายเรื่องนี้” แววตาของหลัวซาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์กับเจตนาร้าย “สตรียังไม่เสียสาว เคยรักบุรุษผู้เดียว อย่างไรเสียก็ไม่มีรสชาติ โฉมงามยังไม่แตกเนื้อสาวเช่นนี้ ควรฝึกฝนให้ดีที่สุด รอให้นางได้มีความรัก เชี่ยวชาญเรื่องชายหญิง พอถึงยามนั้น ให้นางปรนนิบัติทุกท่านให้เต็มที่…”
ทุกคนหัวเราะอย่างคลุมเครือ ต่างเอ่ยว่าขอบคุณเจ้าสำนักที่เป็นห่วง บ้างก็เหยียดหยามว่าสำนักหลัวซาบัดสีบัดเถลิง เรื่องเช่นนี้ยังกล้าเอ่ยอย่างเปิดเผยในสถานที่เช่นนี้ ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยิ้มแย้มขอบคุณ
อย่างไรเสียสำนักหลัวซาออกแรงส่งคนไป สำเร็จหรือไม่ ผู้อื่นไม่ได้เสียหาย
“เพียงแต่” เจ้าสำนักหลัวซาส่งสายตาเปล่งประกาย นิ้วมือเคาะผิวโต๊ะ “ในเมื่อสำนักหลัวซาของข้าสิ้นเปลืองความคิดฝึกฝนบุคคล ออกแรงส่งคนไปและเสนอแผนการเพื่อเรื่องนี้ ภายภาคหน้าเรื่องราวสำเร็จ อาณาเขตกับกองทัพของเมืองซั่งหยวน ข้าจะครองส่วนใหญ่”
เรื่องเกี่ยวกับการแบ่งผลประโยชน์ ทุกผู้คนพลันเคร่งขรึม รู้สึกฮึกเหิม เริ่มการแย่งชิงโต้แย้งโต้เถียงระลอกใหม่ แม้ยังไม่ได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ แต่ทุกคนตื่นเต้นและทุ่มเทยิ่งนัก ราวกับอาณาเขตกับกองทัพเหล่านั้นวางอยู่ตรงหน้าแล้ว เพียงรอให้พวกเขาเอื้อมมือฉกฉวย สองมือของคนนับมิถ้วนกวัดแกว่งเป็นแสงเงาทอดยาว บดบังแผนที่เผ่าไต้เม่าสีสันสดใสบนกำแพง…
…
เขาอยู่บนจุดสูงสุดของหอเงา จิบชาอย่างเงียบเชียบ ฟังองครักษ์รายงานเหตุการณ์สำนักหลัวซาที่เพิ่งจะเกิดขึ้น
องครักษ์ที่รายงานไม่กล้าปิดบัง ทว่ายามที่เอ่ยถึงผู้อ่อนวัยคนนั้น รวมทั้งแผนการของอีกฝ่าย น้ำเสียงอดจะตึงเครียดเล็กน้อยไม่ได้
เขาไม่แน่ใจว่าพอนายท่านได้ยิน “แผนการที่ยิ่งใหญ่” เช่นนี้จะโกรธเคืองอย่างไร ในใจแอบร้องด่าว่าอีกฝ่ายรนหาที่ตาย วิธีไร้คุณธรรมเช่นนี้ก็กล้าคิด
เขากลับไม่เปลี่ยนสีหน้า ผ่านไปชั่วครู่จึงโบกมือ
องครักษ์ถอยออกไปแล้ว เขาวางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา
นิ้วมือถูกถ้วยชาทำให้ร้อนผ่าว เขาเหม่อมองสีแดงโลหิตค่อยๆ ท่วมท้นบนเล็บปานเปลือกน้ำแข็งนั้น
สีเข้มมากยิ่งขึ้น พลังยับยั้งของปัญญาหิมะอ่อนแอมากยิ่งขึ้น เวลาของเขาก็ไม่มากแล้ว
หากเวลานี้ตัดนิ้วมือออกมา อาจได้เห็นว่ากระดูกเริ่มเป็นสีแดงแล้ว ผ่านไปอีกสักพักก็น่าจะเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าเขามีปฏิกิริยาเฉกเช่นผู้อื่นในตระกูลหรือไม่ อย่างไรเสียภายหลังเขายังมีการเปลี่ยนแปลงนอกเหนือจากนั้น
เขานึกถึงกระดูกท่อนนั้นที่ถูกส่งมายังตำหนักอวี้จ้าวในวันนั้น
กระดูกผู้อาวุโสที่สิ้นชีพไปแล้วของเขา
กระดูกสีดำเหล่านั้นปรากฏสีขาวส่วนหนึ่งจนได้
คนเหล่านั้นไม่ได้หลอกเขา พวกเขาหาทางจัดการเงาพิษแห่งเส้นโลหิตที่ปกคลุมเหนือศีรษะตระกูลเขานานหลายปีได้แล้วจริงด้วย
การทดสอบกระดูกผู้อาวุโสในหลุมฝังศพ เห็นผลเบื้องต้นแล้ว
ทว่าผลลัพธ์นี้ไม่เป็นที่น่าพอใจ รักษาผลลัพธ์ไว้ได้เพียงสามเดือน
ด้วยเพราะความสามารถไม่พอหรือว่าหวังใช้สิ่งนี้ควบคุมเขาต่อไป เขาไม่มีคำตอบ เขารู้เพียงหากเอ่ยว่ายามแรกเขารับผิดชอบเพียงชีวิตของหนึ่งตระกูล ภายหลังก็มีบุคคลหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นมา
ชั่วชีวิตนี้เขาเดินบนเส้นลวด สองฝั่งต่างเป็นหุบเหว ฉะนั้นเส้นทางสายนี้ ตัวเขาเองต้องเดินไปเพียงลำพัง
แม้ลมภูเขาหนาวเหน็บ แขนเสื้อสองข้างแบกรับหิมะน้ำแข็งโดดเดี่ยว
เขาเงยหน้าอย่างแผ่วเบา วันนี้ในใจเกิดอารมณ์หวั่นไหว เขารู้ว่าด้วยเพราะวาจานั้นที่ได้ยินเมื่อครู่
“ข้าเป็นสตรี ข้าเข้าใจความคิดของสตรี พวกนางปากกับใจไม่ตรงกันที่สุด พวกนางยิ่งเกลียดผู้ใดก็มักจะยิ่งรักผู้นั้น ไม่ว่าอย่างไร คนผู้นั้นที่เป็นรักแรกที่สุด ทำให้นางจิตใจหวั่นไหวได้ที่สุดเสมอ”
เสียงกระซิบดั่งพึมพำ
“บอกข้า…ว่าเป็นเช่นนี้หรือไม่?”