เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] - ตอนที่ 49-1 พบกัน
จิ่งเหิงปัวเหลียวซ้ายแลขวา อ้าว ไม่มีคนอยู่ในลานบ้านแฮะ
มีคนก็ไม่เป็นไร ลูกสาวนายพรานเช่นนาง โดนดูถูกแล้วต่อต้านไม่ได้?
ลูกสาวนายพรานเช่นนางซึ่งอาศัยอยู่ที่เขาชีเฟิง เห็นคนเก่งจนเคยชิน นิสัยไม่ค่อยดี จะใช้ฝีมือต่อต้านอย่างยอดเยี่ยมไม่ได้?
“ไปอาบ!” ผู้อ่อนวัยคนนั้นยังตวาดอย่างเย็นชา เขาได้รับฝึกฝนมาจริงๆ ไม่ว่าจะโมโหอย่างไร น้ำเสียงยังคงไว้ซึ่งความเยือกเย็น ท่าทางไม่เผยให้เห็นความอัปลักษณ์ แผ่กลิ่นอายสูงส่งที่สุขุมเยือกเย็นเช่นนั้น
สวรรค์รู้ว่าตอนนี้จิ่งเหิงปัวเกลียดกลิ่นอายแบบนี้ที่สุด!
“ข้าสกปรก?” นางก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว
“ถอยไปหน่อย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าน่ารังเกียจยิ่งนัก?” คุณชายลี่มองนางปราดเดียว พลันเผยให้เห็นสายตาที่ราวกับเห็นหนอนบุ้งเหลือง ถอยหลังหนึ่งก้าว
“ข้าสกปรก?” จิ่งเหิงปัวคล้ายไม่ได้รู้สึกถึงความรังเกียจของเขา ยิ้มแย้มปรีดาก้าวขึ้นมาอีกก้าว
“ให้เจ้าถอยไปเจ้าไม่ได้ยินหรือ?” คุณชายลี่ผู้นั้นตวาดพลางถอยหลังอีกก้าว เขาคล้ายก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อหันหลังจากไป
จิ่งเหิงปัวดึงแขนเสื้อของเขาไว้ “ข้าสกปรก?”
“ปล่อยนะ!” คุณชายลี่ถูกนางดึงจนแทบโซเซ หันหน้ากลับมาโดยพลัน ยกมือจะชักกระบี่ที่ช่วงเอวออกมา
มือยังไม่ได้แตะต้องตัวกระบี่ จิ่งเหิงปัวก็พลันมาถึงตรงหน้าเขา แนบหน้ากับเขา
ใกล้ขนาดนี้ ริ้วรอยดำด่างบนใบหน้านางยิ่งดูน่ากลัว คุณชายลี่เบิกตากว้าง กลัวว่าจะติดเชื้อ “โรคด่างขาว” ของนาง รีบถอยหลัง “ไสหัวไป!”
วิชาตัวเบาของเขานับว่ายอดเยี่ยม ขณะถอยหลังแขนเสื้อพัดพลิ้ว ท่าทางคล้ายกงอิ้นหลายส่วนจริงแท้ น่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ตั้งใจฝึกฝนเช่นกัน วรยุทธอื่นใช้ไม่ได้ วิชาตัวเบาแสร้งหล่อได้ดีที่สุด
แต่เขาถอยติดต่อกันสามจั้ง จิ่งเหิงปัวก็คล้ายแนบอยู่บนร่างเขา ฝืนติดตัวเขาลอยไปสามจั้ง จนกระทั่งผลักเขาไปถึงกำแพงไม่มีทางให้ถอย
“ข้าสกปรก?” นางยิ้มแย้มปรีดา พ่นเปลือกเม็ดแตงหนึ่งเปลือกบนใบหน้าของเขา
รอบด้านยังไม่มีการเคลื่อนไหว ดูท่าคนเหล่านั้นไม่ถือสาที่นางสั่งสอนเจ้าหนุ่มผู้นี้สักหน่อย
“ไสหัวไป! นังสารเลวน่ารังเกียจ!” คุณชายลี่สบถคําหยาบจนได้ เอื้อมมือชักกระบี่
จิ่งเหิงปัวถุยน้ำลายดัง “ถุย” บนใบหน้าขาวราวหิมะของเขา ยกมือก็หิ้วแก้มสองข้างของเขาไว้ บีบใบหน้าที่มีรูปโฉมเหนือสามัญนั้นของเขาจนบิดเบี้ยวไปหมด
“รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำเช่นนี้น่ารังเกียจ!” นางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าโกรธมากเลย!”
นางโกรธมากเลย!
ใบหน้านี้มันเหยียดหยามจริงๆ เหยียดหยาม!
นางใช้มือหิ้วใบหน้านั้นไว้อย่างแรง มืออีกข้างยกขึ้น เพียะๆ เพียะๆๆ!
หน้ามือหลังมือ ตบหน้าติดต่อกันสิบแปดครั้ง!
แต่ละครั้งตั้งใจออกแรง ไพเราะกังวาน!
ตบเสร็จข้างหนึ่งตบอีกข้างหนึ่ง สิบแปดครั้ง แต่ละข้างเท่ากัน ตบจนขาวราวหิมะกลายเป็นแดง แดงกลายเป็นเขียว เขียวก็กลายเป็นม่วง ม่วงกลายเป็นรอยใหญ่ ตาบวมปากเบี้ยว
ฉันตบ! ฉันตบ! ฉันตบๆๆ!
ตบระบายความโมโหในใจ ตบระบายความกลัดกลุ้มเต็มอก ตบระบายความเกลียดชังกับการเหยียดหยามที่มีต่อผู้อื่นที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ตบระบายความโกรธแค้นกับการต่อต้านที่มีต่อสวรรค์ที่ไร้เมตตาเช่นนี้
เดิมทีฉันเป็นคนบริสุทธิ์ธรรมดา จำใจยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลก เข้าใจผิดได้ใส่ร้ายได้แต่เหยียดหยามไม่ได้ ถ้าใครรังแกฉันฉันตบคนนั้น!
เพียะๆ เพียะๆๆ!
เสียงทั้งกังวานทั้งยาวเหยียดทั้งรวดเร็วเกินไป จนทำให้ไม่มีคนขวางได้ทัน
ไกลออกไปกลับมีคนตะโกนว่าหยุดนะ แต่นางก็ทำเป็นไม่ได้ยิน
เห็นหน้าตาเหนือสามัญนั้นเป็นรอยเขียวช้ำไม่เหลือเค้าเดิม หน้าหมูยังดูดีกว่าเขา จิ่งเหิงปัวถึงเลิกตบอย่างพอใจ เช็ดมือที่เหน็บชานิดหน่อยของตัวเองบนใบหน้าที่ถูกตบจนร้อนผ่าวนั้น
นางมองซ้ายมองขวา พินิจใบหน้านี้อย่างพอใจ พยักหน้า
มันต้องแบบนี้สิ ใบหน้านี้ถึงควรเป็นของเขา เห็นใบหน้านั้นเมื่อครู่แล้วโคตรไม่สบายใจเลย!
จากนั้นนางหิ้วคุณชายลี่ค่อยๆ ไสไปบนผิวกำแพง ไสไปจนเขาสกปรกมอมแมมทั้งตัว เสื้อผ้าขาวราวหิมะลายพร้อยจนมองไม่เห็นสีสันดั้งเดิม
เช็ดจนกำแพงสะอาดแล้ว นางโยนเขาออกไปราวกับกระสอบป่านขาดๆ
“ครานี้เจ้าสกปรกกว่าข้าแล้วนะ” นางยิ้มแย้มปรีดาใช้ปลายเท้าเตะคุณชายลี่
“หยุดนะ!” ยามนี้เสียงตะโกนขัดขวางเพิ่งเยื้องกรายแว่วมา
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา หันหลังมองหัวหน้าคนนั้นที่ไล่ตามมา
“นี่…” หัวหน้าผู้นั้นประคองผู้อ่อนวัยคนนั้นขึ้นมา ตรวจอาการบาดเจ็บของเขาก่อน พบว่าก็เป็นแค่แผลภายนอก ออกแรงตบตั้งหลายฝ่ามือขนาดนั้น ตำแหน่งกลับยอดเยี่ยม แม้แต่ฟันยังไม่ร่วงสักซี่
เขาค่อนข้างโล่งใจ แม้เขาดูถูกผู้อ่อนวัยคนนี้เช่นกัน แต่อย่างไรก็นับว่าเป็นอาวุธลับที่เจ้าสำนักตั้งใจฝึกฝน ไม่แน่ว่ายังเป็นนายบำเรอของเจ้าสำนัก หากบาดเจ็บจนเสียโฉมจริง แผนการก็ล่มไม่เป็นท่าด้วย เขารับเพลิงโทสะของเจ้าสำนักไม่ไหว
บัดนี้เป็นเพียงแผลภายนอก ใช้ยาดีเล็กน้อยหายไวยิ่งนัก ซ้ำยังไม่ทิ้งแผลเป็นอะไรไว้
คุณชายลี่ห้อยอยู่บนแขนเขาอย่างปวกเปียก ทั่วร่างกำลังสั่นระริก ชายที่เป็นหัวหน้าผู้นี้ขมวดคิ้ว ในใจยิ่งดูถูก…เจ้าสำนักเอ่ยว่าคุณชายลี่ผู้นี้มีวรยุทธพอตัวไม่ใช่หรือ? ไม่นึกเลยว่าจะโดนเด็กหญิงชนบทคนหนึ่งตบจนกลายเป็นเช่นนี้? อีกทั้งแผลนี้ก็เป็นเพียงแผลภายนอก ต้องทำท่าทางเช่นนี้เชียว?
เจ้าสำนักน่าจะเยินยอเขาจนเกินไปด้วย ดูนิสัยเจ้าหนุ่มคนนี้สิ เป็นพวกไม่เอาไหนจริงๆ
ยามนี้คุณชายลี่กลับน้ำท่วมปาก…วรยุทธเขานับว่าไม่ต่ำต้อยเลย ก่อนหน้านี้ที่เขาโดนตบ ทั้งที่ทันได้ชักกระบี่ แต่ไม่รู้เหตุใด ขณะสตรีนั้นกดมือบนใบหน้าของเขา เขาพลันรู้สึกว่าอวัยวะภายในว่างเปล่า ไม่มีเรี่ยวแรงอะไรทั้งนั้น ร่างกายว่างเปล่าหนาวเย็น ปราณแท้ดั้งเดิมกลายเป็นกระแสปราณขาวนวลแล้วพลันหายไป ดั่งคล้าย…ดั่งคล้ายแสงจันทร์เยือกเย็นสาดส่องทั่วห้องว่าง พร้อมด้วยความหนาวเล็กน้อย มองเห็นฝุ่นควันคละคลุ้งในแสงสลัว
ทว่าปราณแท้ในร่างกายค่อยๆ เริ่มฟื้นคืนอีกครั้ง จนทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาของตนเองใช่หรือไม่ เห็นสีหน้าไม่พอใจนั้นของหัวหน้ากลุ่ม เขาอายที่จะเอ่ยถึงความผิดปกติเมื่อครู่กับเขาอีกด้วย เกรงว่าพอเอ่ยไปแล้ว หัวหน้ากลุ่มจะยิ่งคิดว่าเขาขี้ขลาดไร้ยางอาย จงใจเอ่ยว่าสตรีชนบทนี้เป็นยอดฝีมือเพื่อรักษาหน้า ยามนี้เขาไม่มีหลักฐานแล้ว ร่างกายฟื้นคืนสู่สภาพปกติแล้ว
“แม่นางเจ้าบุ่มบ่ามเกินไปแล้ว” หัวหน้ากลุ่มหันมาตำหนิจิ่งเหิงปัว “คุณชายลี่เป็นแขกสำคัญของเรา เจ้าทำร้ายเขาเช่นนี้ได้อย่างไร”
“พี่สาวแสนสวยท่านนั้นบอกข้าว่าลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ หากผู้ใดรังแกข้า ข้าก็จะกระทืบเขา” จิ่งเหิงปัวหันหลังจากไป “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็น่าจะไม่ต้องการให้ข้าพาไปหาพี่สาวแสนสวยแล้ว ข้ากลับล่ะ”
“ช้าก่อน” หัวหน้าผู้นั้นคว้าแขนเสื้อนางไว้ “พี่สาวแสนสวยคนนั้นของเจ้าเอ่ยวาจานี้กับเจ้าจริงหรือ?”
“แน่นอน” จิ่งเหิงปัวกะพริบตาอย่างน่ารักน่าชัง “พี่สาวดีกับข้ายิ่งนัก ท่านลุงท่านอาที่อยู่บนเขาก็ดีกับข้า ซ้ำยังสอนข้าตั้งหลายอย่างแน่ะ” นางเงยหน้ามองท้องฟ้า แบฝ่ามือขาวราวหิมะของตัวเอง ชื่นชมครั้งแล้วครั้งเล่า “เจ้าดูสิเมื่อครู่นี้ ข้าตบได้งดงามหรือไม่?”
แววตาของหัวหน้ากลุ่มเปลี่ยนไป…ผู้ใดในโลกนี้ไม่รู้จักชื่อเสียงของท่านอาจารย์จื่อเวยกับเจ็ดสังหารแห่งเขาชีเฟิง คนส่วนใหญ่ย่อมอยากคบค้าสมาคมด้วย เพียงแต่เกรงกลัวอาจารย์กับศิษย์หลายคนนั้น ทำตามใจตนเองแปลกแยกแตกต่าง ไม่กล้าสนิทสนมง่ายๆ เท่านั้น บัดนี้ได้ยินแม่นางน้อยนี้เอ่ยว่านางได้เจ็ดสังหารช่วยชี้แนะ ซ้ำยังรู้สึกว่าเมื่อครู่นางลงมือได้ยอดเยี่ยมจริงๆ พลันรู้สึกสะดุดใจ
หากหลอกขโมยวิชาอัศจรรย์ของท่านอาจารย์จื่อเวยมาได้…
นึกถึงเรื่องนี้เขาตัดสินใจปล่อยสตรีนางนี้ไป ก็แค่ตบลี่หันอวี่รอบเดียวเองน่ะ ไม่นานก็หายดี
“เจ้าไปแล้วไม่ได้เงินนะ เจ้าไม่มีเงินติดตัวสักทองแดงเดียว จะกลับไปได้อย่างไร?”
จิ่งเหิงปัวหยุดยั้งฝีเท้า หันหลังให้คนนั้น แบะปากเล็กน้อย
คนเราขอแค่มีความโลภ รับมือได้ง่ายทั้งนั้น
“ส่งคุณชายลี่กลับไปพักผ่อน จำไว้ว่าใช้กอเอี๊ยะรักษาแผลภายนอกที่ดีที่สุด” คนนั้นกำชับอีกครั้ง
ลี่หันอวี่ฮึดฮัดดิ้นรนอย่างโมโห ชี้จิ่งเหิงปัวประมาณว่าขอให้ลงโทษสถานหนัก น่าเสียดายไม่มีคนสนใจเขา คนรับใช้ที่แข็งแรงฝูงหนึ่งอุ้มเขาเข้าไปลานด้านหลังอย่างรวดเร็ว
จิ่งเหิงปัวยักไหล่ มองห้องของลี่หันอวี่แวบเดียว
คนนี้มีประโยชน์ กลางคืนค่อยไปสนิทสนมกับเขาสักหน่อย
…
กลางคืนมีฝนตกโปรยปราย พื้นดินเปล่งประกายแสงเงาสีเขียวน้ำเงิน สะท้อนโคมไฟสีแดงเข้มของโรงเตี๊ยมที่อยู่ไกลออกไป กลายเป็นสีสันประปรายคล้ายโลหิตสดใหม่
จิ่งเหิงปัวกระชับเสื้อผ้าแน่น คิดว่าอีกเดี๋ยวจะออกไป “ยืม” เสื้อผ้ากลับมา
คืนนี้นางจะไปคุยความในใจกับลี่หันอวี่ให้เต็มที่ ต้องการเสื้อผ้าสวยๆ สักชุด
บริเวณนี้ไม่มีร้านขายเสื้อผ้าอะไรเลย นางคิดจะไปเดินเล่นในเมือง จะได้เห็นว่าขอบเขตพรรคในเมืองนี้ของทุกกลุ่มอำนาจใหญ่ในยุทธภพเป็นอย่างไร กวนจยาชวนก็เป็นเมืองสำคัญแห่งหนึ่งของไต้เม่า เล่ากันว่ากลุ่มอำนาจส่วนใหญ่ในไต้เม่ามีกลุ่มย่อยสำคัญอยู่ที่นี่ ฉะนั้นตอนที่เข้าเมือง คนขบวนนี้ก็ระวังการเคลื่อนไหวเป็นพิเศษ
จิ่งเหิงปัวยังอยากหาร่องรอยของท่านมู่คนนั้นสักหน่อย ตอนนั้นตลอดทางออกจากเมืองหลวง นางได้ยินชื่อนี้ตั้งหลายครั้ง ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่อบุคคลนี้และกลุ่มของเขา นึกว่าต้องเป็นผู้วิเศษที่ชื่อเสียงสะเทือนไต้เม่าแน่นอน แต่พอนางมาถึงไต้เม่า ตั้งใจและไม่ตั้งใจสอบถามหลายครั้ง ไม่มีคนเคยได้ยินชื่อนี้เลย
สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าไม่ใช่ตอนนั้นมีคนโกหกนาง หรือไม่ท่านมู่คนนี้ก็ร้ายกาจมากจริงๆ ยึดครองไต้เม่าและซ่อนตัวหลังม่าน ผู้คนธรรมดาไม่มีทางเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
นางสนใจกลุ่มอำนาจแบบนี้มาก สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่เป็นศัตรูของนางอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ท่านมู่คนนี้เป็นมิตรหรือเป็นศัตรูยังไม่รู้แน่ชัด ถ้าเป็นศัตรู นางจำเป็นต้องรู้จักเขาบ้าง ถ้าเป็นมิตร เช่นนั้นต้องดึงเข้าเป็นพวกตัวเองโดยเร็วที่สุด
คนกลุ่มนั้นข้างนอกคล้ายมีเรื่องอะไรในคืนนี้ ก่อนหน้านี้นางได้ยินเสียงพวกเขาทยอยเคลื่อนไหว แน่นอนว่าข้างนอกห้องของนางยังเหลือคนไว้คอยเฝ้า เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อนาง พริบตาต่อมา นางยืนอยู่บนถนนที่เฉอะแฉะแล้ว
ไกลออกไปมีเสียงดนตรี ตรอกหออวี้โหลวฝั่งตะวันตกของกวนจยาชวนเป็นแหล่งสถานเริงรมย์ในตำนาน แต่แท้จริงแล้วก็เป็นแหล่งที่ตั้งพรรคของทุกกลุ่มอำนาจใหญ่ด้วย
วันนี้เสียงดนตรีสูงต่ำดังกังวานเป็นพิเศษ คล้ายแว่วไปทั่วครึ่งเมือง อำนาจของกษัตริย์ไต้เม่าเสื่อมถอย ไม่ได้ห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล ตามถนนยังมีคนเดินอยู่ไม่น้อย นางคว้าใครสักคนมาถาม คนนั้นยิ้มแย้มเอ่ยว่า “ค่ำคืนนี้เหล่าหัวหน้าของไต้เม่าเหนือร่วมกันจัดงานเลี้ยง อยู่ที่ตรอกหออวี้โหลวนั่นล่ะ สตรีเช่นพวกเจ้าอยู่ห่างๆ หน่อย หากไม่ระวังต้องตาผู้ใดเข้าก็ยุ่งยากแล้ว” หันหน้ามองนางเล็กน้อย ยิ้มแย้มเอ่ยเสริมว่า “ต้องตาผู้ใดเข้าก็ไม่เลว เหล่าหัวหน้าดื่มสุราเสร็จย่อมมีการแสดงเพิ่มความสนุกสนาน พอถึงยามนั้นเหล่าหญิงงามอันดับหนึ่งทั่วเมืองจะไปร่วมด้วย เจ้าก็ฉวยโอกาสแจ้งเกิดได้เช่นกัน”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ ปล่อยมือไป ในใจคิดว่าไม่มีคนสนใจก็เท่ากับอิสระ แนวคิดแบบนั้นค่อนข้างเปิดกว้างที่นี่
ยังพอมีเวลา นางมองสถานเริงรมย์แห่งนั้น เกิดความคิดอยากไปดูการประชุมครั้งใหญ่ในยุทธภพกะทันหัน
แต่ก่อนอ่านนิยายแก๊งมาเฟียแล้วรู้สึกโศกเศร้าน้ำตานอง ไม่รู้ว่างานเลี้ยงแก๊งมาเฟียฉบับโบราณเช่นนี้จะเป็นงานเลี้ยงสังหารรูปแบบไหน? อีกทั้งคำว่าร่วมกันจัดงานเลี้ยง ฟังแล้วรู้สึกแปลกๆ เท่าที่นางรู้ แม้สามสำนักสี่พรรคเจ็ดกลุ่มใหญ่ไม่ได้เป็นศัตรูกันทั้งหมด แต่หลายฝ่ายมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อน รวมตัวกันดื่มสุราได้ยากยิ่ง บัดนี้ร่วมกันจัดงานเลี้ยง เชิญใคร? ใครได้รับเกียรติขนาดนี้?