เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 45.4
จิ่งเหิงปัวมองเห็นประตูเหล็กสีดำทะมึน ทั้งบนล่างซ้ายขวาเปล่งประกายด้วยไอเหน็บหนาวของอาวุธ องครักษ์แห่งวังกษัตริย์เทียนหนานมารอคอยอย่างพร้อมเพรียงแล้ว
จิ่งเหิงปัววาดมือไปคว้ากษัตริย์เทียนหนาน สถานการณ์แบบนี้นางเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว มีปัญญาก็ยิงมาสิ!
ทว่าท้องเรือสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน ทั้งที่ไม่มีผู้พายเรือแน่นอนแต่ความเร็วเพิ่มขึ้น เรือพุ่งออกไปเบื้องหน้าราวลูกธนู จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ผลักกษัตริย์เทียนหนานออกมาเป็นเป้ายิงธนู องครักษ์ข้างบนยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าบนเรือคือผู้ใด เรือพุ่งตรงดิ่งสู่ประตูเหล็กปานโผบิน!
ประกายไฟดั่งแสงอสนี จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ด่าเหยียลี่ว์ฉี ความคิดกะพริบวูบผ่านในใจ รู้ว่าเขาเล่นเล่ห์เหลี่ยมแน่นอน!
หัวเรือแหลมยาวกำลังพุ่งชนประตูเหล็กหนักอึ้ง!
สามจั้ง สองจั้ง หนึ่งจั้ง…
สายลมพัดเส้นผมยาวของจิ่งเหิงปัวจนสยายออกมาปรกยุ่งเหยิงทั่วหน้านาง
ทหารบนประตูเหล็กวางอาวุธลงแล้ว ผู้ใดก็รู้ว่ามิจำเป็นต้องลงมืออีกแล้ว มองดูทิศทางการแล่นของเรือประเดี๋ยวก็จะชนประตูเหล็กจนแหลกละเอียด
จิ่งเหิงปัวเคลื่อนย้ายหายตัวได้ทัน
แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นโดยสิ้นเชิง
ขณะที่ท้องเรือกำลังจะชนเข้ากับประตูเหล็กนั้น นางกลับตัวพุ่งไปท้ายเรือทันที พุ่งไปบนร่างของกงอิ้น โอบกอดเขาเอาไว้ในครั้งเดียว
ชั่วยามนี้เอง กงอิ้นลืมตาเงยหน้าขึ้นโดยพลัน!
“เพียะ”
คล้ายมีเสียงและคล้ายไม่มีเสียง
ริมฝีปากทั้งสองประกบประสานกันแนบแน่น
ในชั่วพริบตาเดียวจิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง มองเห็นดวงตาตื่นตะลึงของตนเองทอแววตาตื่นตะลึงในดวงตาของกงอิ้นที่เบิกกว้างโดยพลันเช่นกัน
สายตาสองคู่จ้องมองสะท้อนซึ่งกันและกัน
ส่วนกลิ่นหอมตรงริมฝีปากสัมผัสกันคือการประสานของความอ่อนโยนแลความหนาวเหน็บเพียงน้อย คือการซึมแทรกของความหอมจรุงใจแลความเย็นใสบริสุทธิ์
ชั่วครู่หนึ่งเนิ่นนานดุจพันปี
“พลั่ก” เสียงหนึ่งดังสะท้าน จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงคล้ายมีพลังมหาศาลกระแทกบนหลังตน อวัยวะภายในร่างกายคล้ายกำลังไหลทวนออกมา
เรือชนเข้ากับประตูเหล็กแล้ว!
แรงกระแทกมหาศาลทำให้เรือนร่างของนางสั่นสะเทือนไปข้างบนครั้งหนึ่ง ทว่าถูกแขนสองข้างของกงอิ้นที่อยู่ใต้ล่างยกขึ้นมาโอบกอดเอาไว้แนบแน่น จากนั้นหันกายเพียงครั้งกระโจนขึ้นมากลางอากาศได้ทันก่อนจะร่วงลงน้ำ
แขนเสื้อสีขาวที่ปลิวว่อนของเขาเริงระบำเป็นกลุ่มกลางอากาศดุจกลีบดอกไม้ร่วง ร่างยังไม่ทันร่วงลงไป แสงเหน็บหนาวในมือกะพริบวูบ กระบี่เล่มหนึ่งแทงลงไปกลางแม่น้ำ!
จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเบื้องล่างแม่น้ำมีรอยขวางสายหนึ่งกะพริบผ่านไปเพียงครั้ง ชั่วประเดี๋ยวเดียว ของเหลวสีแดงเป็นกลุ่มเป็นก้อนลอยสูงขึ้นมาย้อมผิวน้ำผืนหนึ่งจนเป็นสีแดง
นางตกตะลึงเล็กน้อย
เหยียลี่ว์ฉีต้องกระบี่แล้วเหรอ?
ตายแล้วเหรอ?
ผู้มีความสามารถแห่งต้าฮวงที่เจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาด เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกเวลาผู้นี้ ตายไปแบบนี้แล้วจริงๆ เหรอ?
ทว่ากระบี่หนึ่งนี้ของกงอิ้นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เลือกเวลาที่ร่างอยู่ใต้น้ำการเคลื่อนไหวเชื่องช้าที่สุด คิดคูแล้วเขาคล้ายจะไม่สามารถหลบได้พ้น
แขนเสื้อปลิวว่อนของกงอิ้นดุจดอกสาลี่หิมะกำจายกลางอากาศ ผลึกน้ำแข็งละเอียดร่วงกราวลงมากลายเป็นแท่งน้ำแข็งแหลมคม พุ่งตรงสู่แม่น้ำ
เศษน้ำแข็งเต็มท้องนภาดุจจันทร์ยะเยือก เขาดั่งชาวสวรรค์ผู้เดินออกมาจากยุคน้ำแข็งสมัยดึกดำบรรพ์
เหล่าองครักษ์บนประตูเหล็กบนกำแพงวังเงยหน้าอย่างงงงวย ลืมลงมือไปช่วยขณะ
การโต้ตอบของกงอิ้นไม่เคยเชื่องช้าเช่นเคย ยกมือครั้งหนึ่งหิ้วกษัตริย์เทียนหนานที่ถูกชนจนสลบไสลขึ้นมา ฉวยมือสะบัดไปเพียงครั้ง
เสียงดังสวบเสียงหนึ่ง ร่างร้อยสิบชั่งถูกเขาสะบัดจนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ละอองน้ำชุ่มโชกสาดกระเซ็นทั่วทิศ ร่างสะบัดไปบนสันกำแพง
“ต้าหวัง!” ในที่สุดเหล่าองครักษ์จึงมองออกว่าเจ้าผู้โชคร้ายคนนี้คือผู้ใด รีบเร่งวางอาวุธลงไปรับ
ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายผืนหนึ่งนี้ เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นจูงจิ่งเหิงปัวข้ามผ่านกำแพงวังไปอย่างแช่มช้า เงาร่างคล้ายจันทร์ยะเยือกดวงหนึ่งล่องลอยสลายไปที่อีกมุมหนึ่งของท้องนภาทอดยาว
เหลือเพียงกำแพงวังสับสนอลหม่าน ต้าหวังสลบไสล ชิ้นส่วนแตกละเอียดเกลื่อนพื้น กับแม่น้ำที่ยังมีสีแดงลอยล่องอย่างเงียบเชียบสายหนึ่ง
…
ทิวทัศน์นอกรถม้าค่อยๆ เปลี่ยนจากที่ราบสูงอวิ๋นเหลยสีเหลืองซีดกลายเป็นต้นไม้ผืนใหญ่ทอดยาวเหยียด ใบไม้เขียวขจีกว้างใหญ่สาดแสงสว่างมันเงา
จิ่งเหิงปัวเลิกผ้าม่านออก ชะโงกหน้ามองดูทิวทัศน์ข้างนอก บนใบหน้ามีสีหน้าเฝ้ารอคอยหลายส่วน
ออกจากเขตซีเอ้อมาสักระยะหนึ่งแล้ว หลังพ้นอันตรายในคืนนั้น กงอิ้นจัดการเดินทางโดยพลัน คล้ายมิได้สนใจจะไปสืบเสาะความเป็นความตายของเหยียลี่ว์ฉีอีก เส้นทางหลังจากนั้นสงบเงียบอย่างยิ่ง ข้ามผ่านทุ่งหญ้าเจี๋ยหูและที่ราบสูงอวิ๋นเหลยโดยปลอดภัย ยามนี้นับได้ว่ากำลังจะเข้าสู่เขตแดนแคว้นต้าฮวงแล้ว
เส้นทางตระหง่านอยู่กลางหญ้าสูง เส้นทางไม่กว้างนักพอให้แล่นรถม้าได้ ลึกไปในป่าไม้คล้ายมีผืนดินสีดำผืนใหญ่หลายแห่งเปล่งประกายแสงมันวาวจากไกลโพ้น องครักษ์เอ่ยว่านั่นคือบึงโคลนที่ครองพื้นที่มากกว่าสามสิบส่วนของลุ่มน้ำต้าฮวงทั้งหมด ท่ามกลางบึงโคลนสามสิบส่วนของทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อันตรายไร้ประโยชน์ เพียงครอบครองพื้นที่ มีเพียงบึงโคลนหกส่วนของทั้งหมดมีผลผลิตพิเศษหรือมีประโยชน์ บึงโคลนพิเศษทุกหนแห่งจะก่อตั้งแคว้นใต้อาณัฐหรือชนเผ่าที่เข้มแข็งเกรียงไกรแห่งหนึ่ง
และด้วยเพราะบึงโคลนครอบครองพื้นที่มากเกินไป พื้นที่เพาะปลูกน้อยเกินไป การเกษตรของลุ่มน้ำต้าฮวงจึงพัฒนาไปได้ไม่เท่าไร หลายปีมานี้ล้วนอาศัยผลผลิตเพชรพลอยทองคำที่อุดมสมบูรณ์ซื้อธัญญาหารจากโลกภายนอกอย่างลับๆ ล่อๆ เสียเปรียบไปไม่น้อย
ได้ยินวิธีการพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก จิ่งเหิงปัวอดจะโพล่งออกมาไม่ได้ว่า “ชิบ หากนำบึงโคลนยี่สิบสี่ส่วนจากทั้งหมดที่เหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พวกเจ้าจะมีแผ่นดินเพิ่มขึ้นอีกผืนหนึ่ง จะมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น? ราษฎรยากไร้มากมายจะได้กินอิ่มนอนอุ่น กำลังของทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้นมามากเลยไม่ใช่หรือ?”
“นั่นน่ะสิ” เหล่าองครักษ์ตอบ เอ่ยสืบต่อมา “ต้าฮวงปิดแคว้นก็เพราะว่ามีบึงโคลนมากเกินไป ธัญญาหารแพงเหลือเกิน ชีวิตประชาราษฎร์ไร้ทางเลือก ไร้หนทางโจมตีผู้อื่นและไร้หนทางโต้ตอบการโจมตีของผู้อื่น บึงโคลนปกป้องพวกกระหม่อมแลจำกัดพวกกระหม่อม”
มีองครักษ์ชี้ไปยังราษฎรที่หาอาหารอยู่ข้างบึงโคลนห่างออกไป ชี้ไปยังอาภรณ์ขาดกะรุ่งกะริ่งของพวกเขา เอ่ยว่า “มองเห็นพวกเขาแล้วนึกถึงยามกระหม่อมยังมิได้เข้าวัง มารดาและน้องสาวของกระหม่อมก็เป็นเช่นนี้ ในหนึ่งปีมีครึ่งปีต้องหาอาหาร ต้องอดอยากยากจน หากพบพานปีที่ข้าวยากหมากแพงและปีที่เกิดภัยพิบัติ สองชนเผ่าถึงกับสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าของที่ดินสังหารราษฎรในหมู่บ้านหนึ่งได้เพื่อจะแย่งผืนดินน้อยผืนเดียว”
“ขนาดนั้นเชียวหรือ?” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงอย่างยิ่ง กล่าวต่อไปว่า “บึงโคลนก็ปลูกพืชพันธุ์ได้ มีผลผลิตได้เช่นกันนะ”
“บึงโคลนจะปลูกพืชพันธุ์ได้อย่างไร?” เหล่าองครักษ์ไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “ฝ่าบาท ความคิดของพระองค์นี้ฟังแล้วคือแนวคิดตามเหตุย่อมจะเป็นเช่นนั้นของพวกคนรวย เหล่าราษฎรเคยทดลองปลูกพืชพันธุ์หลายชนิดในบึงโคลนล้วนไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำลายธัญญาหารล้ำค่ามากมาย ภายหลังทุกคนรู้ว่าบึงโคลนไร้ประโยชน์จึงไม่ทดลองมั่วซั่วอีกแล้ว”
“หากผู้ใดหาวิธีเพิ่มพูนผลผลิตจากบึงโคลนได้ คงมิกลายเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของพวกเจ้าเลยหรือ?” จิ่งเหิงปัวล้อเล่น
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เหล่าองครักษ์ตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวเปี่ยมจินตนาการ เอ่ยสืบต่อว่า “คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตทุกผู้คนในต้าฮวง! เทพยดาของทุกผู้คนในต้าฮวง! เขาจะกลายเป็นผู้ที่ชาวต้าฮวงซาบซึ้งจนน้ำตานองชั่วกาล เสพสุขการเซ่นไหว้บูชาจากราษฎรของต้าฮวงชั่วนิรันดร์! ด้วยเพราะเขาทำให้เหล่าราษฎรไม่อดอยากท้องหิวอีก! บุญบารมีไร้ที่สิ้นสุด!”
ในสายตาของราษฎร แว่นแคว้นกว้างใหญ่ก็ดี กำลังของประเทศเข้มแข็งเกรียงไกรก็ดี ล้วนไม่สำคัญและเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าสิ่งที่ทำให้อิ่มท้อง
จิ่งเหิงปัวถูกน้ำเสียงของเขาเอ่ยเสียจนเลือดเดือดพลุ่งพล่าน ทว่าจากนั้นองครักษ์นั้นก็ก้มหน้าลงอย่างห่อเ**่ยว เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? เรื่องที่ผู้มีความสามารถมากมายเช่นนั้นลองแล้วยังไม่สำเร็จ…อย่าได้คิดหวังอีกเลย…”
แต่จิ่งเหิงปัวกุมศีรษะครุ่นคิดเอาเป็นเอาตาย…นางจำได้ว่าคล้ายเคยมองเห็นวิธีการใช้บึงโคลนปลูกพืชพันธุ์ที่ไหนนะ? ที่ไหนนะ? ที่ไหนนะ?
ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานยังไม่ได้คำตอบ จิ่งเหิงปัวได้แต่ยอมถอดใจทอดทิ้งโอกาสในการเป็นเทพยดาแห่งต้าฮวงไปชั่วคราวอย่างเสียดาย
เดินทางบนเส้นทางแบบนั้นไปสองวัน จิ่งเหิงปัวจึงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคล้ายเพิ่งเข้าใจในภายหลัง…บึงโคลนทั่วทุกหนแห่งในต้าฮวงตามตำนานล่ะ? ประตูลึกลับแห่งต้าฮวงตามตำนานล่ะ? รูปปั้นทหารทุกแคว้นที่ถูกแช่แข็งนับมิถ้วนนั้นตามตำนานล่ะ? ผ่านมาตลอดเส้นทางนี้ทำไมมองไม่เห็นเลย?
นางหันหลังมองภูเขาสองฝั่งที่คล้ายจะทับถมลงมาแล้วเข้าใจในทันที
มิน่าล่ะชาวต้าฮวงพวกนี้คุ้นเคยกับแต่ละแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ แต่ในสายตาของแต่ละแคว้นต้าฮวงกลับลึกลับอย่างยิ่ง เดิมทีภายในอาณาเขตต้าฮวงมีเส้นทางลับไปสู่แต่ละแคว้น เพียงแต่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่และบึงโคลน หลายปีที่ผ่านมาแต่ละแคว้นไม่ได้ค้นพบเท่านั้น
นิ้วมือนิ้วหนึ่งเคาะอยู่ข้างหน้าต่างรถที่เปิดออก นิ้วสีขาวหิมะดุจหยกสลัก
นางคิดอย่างเจ้าชู้ว่า นิ้วนี้สวยเสียจริง
นิ้วสั่นไหวครั้งหนึ่งเบื้องหน้านาง ในมือมีกล่องขนาดใหญ่งดงามล้ำค่าเพิ่มมาดุจเล่นกล เสียงของกงอิ้นแว่วมาอย่างเย็นชาจากข้างบน “เจ้าควรสนใจกล่องใบนี้ มิใช่สนใจมือของข้า”
จิ่งเหิงปัว “อะไร?”
กล่องโยนมาบนขาของนาง หนักเสียจนนางร้องกรี๊ดกร๊าดโวยวาย
“เปลี่ยนอาภรณ์นี้เสีย นับแต่บัดนี้ เจ้าอาจจะต้องต้อนรับตัวแทนจากหกแคว้นแปดชนเผ่าอย่างไม่หยุดหย่อน ระวังอากัปกิริยา อย่าได้ทำข้าขายหน้าเด็ดขาด” มหาเทพตอบกลับมาอย่างเย็นชา
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ…หลังจากค่ำคืนเฮงซวยคืนหนึ่งนั้น สถานการณ์ระหว่างนางกับกงอิ้นก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนได้รับอิสระภายในค่ำคืนเดียว กงอิ้นคล้ายจะเป็นโรคความจำเสื่อมโดยพลัน ลืมสายตาซ่อนเร้นและท่าทางน่ารักคลุมเครือก่อนหน้าเหล่านั้น กลับกลายเป็นตัวเขาเองใหม่อีกครั้ง…สูงส่งเย็นชา รักษาระยะห่าง และปากร้าย
สายลมที่เขาเดินผ่านล้วนเจือด้วยการปฏิเสธโดยไร้วาจา ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปฏิเสธคือจิ่งเหิงปัวหรือว่าความจำใจที่ก้นบึ้งหัวใจของเขาเองไร้หนทางเอ่ยออกมา
ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งสังเกตอาภรณ์วันนี้ของกงอิ้นคล้ายมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้ว่ายังคงเป็นชุดสีขาวแต่เนื้อผ้ายิ่งงดงามประณีต ชายแขนเสื้อกลัดด้วยกระดุมไข่มุกสีเงินแถวหนึ่ง รอบไข่มุกแต่ละเม็ดยังปักลายเถาดอกไม้ลายสัตว์เทวะซึ่งงดงามที่สุด กลิ่นอายบารมีพวยพุ่งยามต้องแสงอาทิตย์
ผ้าคลุมสีขาวหิมะกุ๊นขอบเงินสยายลงมาจากหัวไหล่ของเขา จากไหล่ไปถึงข้อมือมีด้ายเงินปักเป็นรูปสัตว์คล้ายมังกรทว่ามิใช่มังกรโผบินเช่นกัน ปรากฏผลุบโผล่ตามแสงอาทิตย์โผล่พ้นและลับฟ้า ดุจมังกรซ่อนในเหวลึกรอเวลาเหาะเหิน
เส้นผมสีดำทั้งศีรษะของเขาใช้ปิ่นหยกขาวอ่อนละมุนลายเมฆาอันหนึ่งปักไว้ สีหยกดุจหิมะขาวโพลนบนภูเขาสูงที่ไร้ผู้คนย่ำเท้าถึง ส่วนเส้นผมทอประกายสีดำขลับดุจธารหลาก
จากซอกมุมมืดสลัวบนรถม้ามองเขาที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์นอกรถม้า คล้ายมองเห็นรูปสลักผลึกแก้วตั้งตระหง่านใต้ท้องนภาสีคราม สงบเงียบควบคุมตน มิอาจล่วงเกินได้โดยง่าย
จิ่งเหิงปัวน้ำลายหยดย้อย อยากลวนลามเขาเหลือเกิน
…
นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดจึงลากเสื้อผ้าออกมาจากกล่องได้ เป็นชุดพิธีการหรูหราที่ประดับเต็มด้วยอัญมณีดังคาดไว้ เฉพาะด้ายทองก็ใช้ไปหลายชั่ง
จิ่งเหิงปัวชอบอัญมณีอย่างมากแต่ไม่ชอบแบกอัญมณีวิ่งไปทั่วแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นชุดพิธีการนี้ไร้รูปทรงโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่หัวจรดเท้ารวมเป็นเส้นตรงเส้นเดียว ไม่ผุดเผยทรวดทรงของร่างกายเลยแม้แต่น้อย นางเกลียดเสื้อผ้าที่ไม่สามารถผุดเผยรูปร่างงดงามของนางที่สุดเลย!
สวมใส่ชุดพิธีการที่หนาจนลมพัดผ่านไม่ได้ นั่งเรียบร้อยอยู่บนรถ รอคอยคนป่าบ้าบออะไรก็ไม่รู้มารับเสด็จ จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองโง่เง่าเหลือเกิน
ความสนุกเพียงอย่างเดียวคือการมองดูเงาด้านหลังที่งดงามหรูหราของมหาเทพกงผ่านหน้าต่าง
หล่อจริงๆ เลย
จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำลายข้างริมฝีปากเป็นครั้งที่สิบแปด
เสียดายว่ากงอิ้นไม่ยอมหันหลังสักที สันหลังตรงดิ่ง สายตามองเพียงเบื้องหน้า
จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดบ่นไปมา…เจ้าคนนี้ทำตัวน่าอึดอัดชะมัด ก็แค่ล่วงเกินนางนิดหน่อยเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมทำตัวเหมือนเขาถูกลวนลามเลยล่ะ? หรือว่าต้องการให้นางจ่ายค่าสูญเสียกำลังวังชา?
จิ่งเหิงปัวหดตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างหดหู่ คว้าพู่ระย้าของม่านหน้าต่างไว้เชื่องช้า
เฟยเฟยแทะขนมปังประกบเนื้ออยู่อีกฝั่งหนึ่ง เงยหน้ามองดูนางตลอดเวลา ในสายตาเปี่ยมไปด้วยคำว่า “เพิ่งจะสำนึก!”
แว่วเสียงแตรสัญญาณจากที่ห่างไกลโดยพลัน เสียงแตรทรงพลังเชื่องช้า จังหวะเร็วหนึ่งครั้งจังหวะช้าสามครั้ง เจือเสียงเสือและสิงโตคำรามรำไร
ม้าของกงอิ้นหยุดฝีเท้า คล้ายกำลังฟังเสียงแตรสัญญาณโดยละเอียด
องครักษ์ที่ส่งไปสืบดูเบื้องหน้าผู้หนึ่งควบม้าตะบึงห้อมา ร้องตะโกนอยู่ห่างไกล
“เรียนราชครู ทูตจากหกแคว้นแปดชนเผ่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้!”