เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 51.2
“ยามนี้พวกเราถูกบีบเข้าสู่ทางตัน หากต้องตายทุกคนต้องตายด้วยกัน” ยามเหล่าจารชนทำการเจรจากับเหล่าตัวประกันครั้งสุดท้าย เอ่ยว่า “นอกเสียจากว่ายอมรับเงื่อนไขหนึ่งข้อของพวกเรา”
“ยอมรับๆ พวกเรายอมรับทุกอย่าง!” เหล่าตัวประกันทยอยใช้ท่าทางที่จริงใจที่สุดแสดงออก ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อความจริงใจของตนเอง
“พวกเจ้าคงจะรู้ว่าพวกเราคือไส้ศึกของใต้เท้าเหยียลี่ว์” บุรุษผู้หนึ่งในหมู่จารชนเอ่ยว่า “เงื่อนไขของพวกเรา แท้จริงแล้วคือเงื่อนไขของใต้เท้าเหยียลี่ว์ หากใต้เท้าทุกท่านเห็นชอบดั่งเอ่ย จงลงนามบนสัญญาก็พอ”
กระดาษถูกส่งเข้าไปทีละใบทีละใบ ในห้องมีเสียงพลิกไปมาตึงเครียด จากนั้นเสียงเจือด้วยความโกรธเคืองและตื่นตะลึงของเฟยหลัวดังขึ้น
“สัญญานี้ประหลาดยิ่งนัก พวกเราอย่าได้ลงนาม”
“ใต้เท้าเฟยหลัว” มีผู้เอ่ยอย่างเย็นชาโดยพลันว่า “เจ้าเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ ฝ่ายข้าเป็นเพียงคนธรรมดา แม้ว่าสัญญานี้แปลกประหลาด ทว่าไร้พิษภัยต่อฝ่ายข้า ลงนามแล้วอย่างไรเล่า”
“นั่นสิๆ สัญญานี้ดูแล้ว คงไม่มีปัญหาใดแน่แท้” ทุกคนส่วนมากคล้อยตามกัน
ความเป็นความตายเรื่องใหญ่ยิ่งทดสอบความกล้าหาญเป็นที่สุด เบื้องหน้าความขี้ขลาดตาขาวของเหล่าบุรุษ สตรีเพียงหนึ่งเดียวเช่นเฟยหลัวจมดิ่งสู่ความเงียบงัน
ทุกคนลงนามในสัญญาอย่างรวดเร็ว แม้แต่เฟยหลัวที่ปฏิเสธจะลงนามในสัญญา ยังถูกทุกคนที่กลัวปัญหาใหม่แทรกเข้ามาบังคับให้ลงนามด้วยท่าทีกึ่งคุกคามกึ่งขอร้อง ยามหนังสือสัญญาปึกหนึ่งส่งถึงมือของเหล่าจารชนที่รอคอยอยู่นอกห้อง จิ่งเหิงปัวมองเห็นสีหน้ายินดีบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
จิ่งเหิงปัวคันยุบยิบในใจคล้ายถูกแมวฝนเล็บ
สัญญาเขียนอะไรไว้กันแน่
นี่คือจุดสำคัญของละครฉากใหญ่ครั้งนี้
ที่เรียกว่า “เหตุการณ์ไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉีถูกบังคับให้เปิดเผยตัวตนจนต้องจับกุมตัวประกัน” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพียงละครที่กงอิ้นเล่นเองกำกับเอง
ไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉีย่อมมีเป็นธรรมดา นี่เป็นสาเหตุที่กงอิ้นโยกย้ายค่ายหลงฉีและค่ายหย่งเลี่ย ฉะนั้นเริ่มแรกสองค่ายโอบล้อมฝูงองครักษ์ ตอนผู้ใต้บัญชาของกงอิ้นบ้าคลั่งสังหารคนกะทันหัน ไส้ศึกที่ถูกสืบค้นตัวตนเนิ่นนานแล้วพวกนั้นถูกฆ่าไปแล้ว
ซากศพสิบกว่าร่างบนพื้นตอนแรกที่สุดก็คือจารชนตัวจริง
ภายหลังคือการแสดงละครแล้ว นอกจากนี้กงอิ้นส่งคนไปแสดงเป็นไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉี ลงมือจับกุมคนใหญ่คนโตของหกแคว้นแปดชนเผ่าเกือบส่วนหนึ่งไว้โดยพลัน หลังจากนั้นจับกุมพวกเขามาไว้ที่นี่ ขังไว้ในห้องมืด ด้านหนึ่งแสร้งจับกุมพวกเขาหลบหนี อีกด้านหนึ่งส่งหลงฉีแสร้งตามมาช่วยเหลือไล่ล่าสังหาร เล่นเองกำกับเองฟินเอง ตีกันปึ้งปั้งปึ้งปั้งเบื้องหน้าตัวประกัน สุดท้าย “จารชน” แสร้งพ่ายแพ้ยับเยิน ใช้อุบายตายตกไปตามกันมาข่มขู่หลอกลวงให้เหล่าผู้นำชนเผ่าพวกนี้ลงนามในสัญญา
แน่นอนว่า เรื่องราวทุกอย่างต่างผลักไสไปให้เหยียลี่ว์ฉี หลังจากเหล่าตัวประกันได้รับอิสระคืนมา ย่อมตามติดคิดบัญชีกับเหยียลี่ว์ฉีเป็นลำดับแรก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวของกงอิ้น ไม่แน่ว่ายังต้องขอบคุณเขาที่ “กระตือรือร้นช่วยเหลือ ไล่ล่าศัตรูอย่างยากลำบาก”
แน่นอนว่า เรื่องผู้อ่อนวัยหน้ากลมเผ่าหลิวหลีที่ถูกฆ่าต่อมานั้น นางยังไม่ได้คิดให้เข้าใจว่ามีสาเหตุอะไรในนั้นกันแน่ คิดแล้วคงมีเพียงราชครูกงผู้วางแผนทำร้ายผู้อื่นตั้งแต่ในกระโจมที่รู้เรื่องราว
หรือว่านั่นคือจารชนตัวจริง ส่วนกงอิ้นวางหมากตัวนั้นเพียงเพื่อล่อจารชนที่ซ่อนอยู่ลึกที่สุดพวกนั้นออกมา อย่างไรเสียเวลานั้นจิ่งเหิงปัวไม่มีองครักษ์ข้างกาย นับเป็นโอกาสทองที่จารชนจะแสดงความสามารถพอดิบพอดี
จิ่งเหิงปัวหมอบราบกราบกรานความสามารถในการจัดการผู้อื่นของมหาเทพกงผู้แลดูสูงส่งยิ่งใหญ่มาเนิ่นนานแล้ว โดยเฉพาะความสามารถในการจัดการเหยียลี่ว์ฉี ตอนนี้จึงเข้าใจความฉลาดหลักแหลมในระหว่างนั้นแล้ว ยังไม่ทันได้ถอนหายใจ ได้แต่คาดเดาปัญหาสำคัญที่สุดข้อนั้น
เนื้อหาในสัญญาคืออะไรกันแน่
กงอิ้นเปลืองแรงลำบากยากเย็นวางหมากตัวนี้ เพื่อที่จะจับกุมผู้นำชนเผ่าเหล่านี้มาลงนามบนสัญญา เรื่องราวในสัญญาย่อมสำคัญอย่างยิ่งในใจเขาแน่นอน
โรคประหลาดใจของจิ่งเหิงปัวกำเริบขึ้นมา
“เฮ้ เฮ้ เจ้าว่าสัญญาเขียนสิ่งใดไว้” นางทุบอีชีที่อยู่ข้างกาย
“หากอยากรู้ อ่านดูย่อมได้” อีชีเอ่ยตอบตามอำเภอใจยิ่งนัก
“เจ้ามีวิธีหรือ” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ จูงมือของเขาไว้ในครั้งเดียวอย่างลืมตัว
อีชีลูบไล้มือของนางอย่างไม่ยอมปล่อยโอกาสแม้แต่น้อย เอ่ยด้วยความรู้สึกลึกซึ้งว่า “แม้ว่าการนำสัญญามาจะยุ่งยากยวดยิ่งลำบากยิ่งยวด ไม่แน่ว่ายังต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ทว่าเพื่อโฉมสะคราญเช่นเจ้านี้ เพื่อภรรยาในภายภาคหน้าของข้า ข้ายอมลำบากลำบนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายบุกน้ำลุยไฟไม่ท้อไม่ถอย…”
“เช่นนั้นเจ้าไปสิไปเลยรีบไปบุกน้ำลุยไฟไม่ท้อไม่ถอยแม้สิ้นชีพเถิด” จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ฟังจบก็สะบัดมือไล่เขาไป อีชีจึงได้แต่เก็บวาจาพลอดรักครึ่งห้องหัวใจที่ยังมิได้เอ่ยจบเดินไปอย่างเศร้าสร้อย
เขาลอยไปถึงข้างหลัง “จารชนโจรเรียกค่าไถ่” ผู้หนึ่งอย่างตามอำเภอใจยิ่งนัก พุ่งหมัดหนึ่งอัดเขาจนสลบไสลอย่าง “ลำบากลำบน” ควานค้นอ้อมแขนของเขาอย่าง “เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย” คว้ากระดาษใบหนึ่งออกมาอย่าง “บุกน้ำลุยไฟ” ยัดเข้าไปในอ้อมแขนของตนเองอย่าง “ไม่ท้อไม่ถอย” จากนั้นถอนหายใจเอ่ยว่า “เหนื่อยยิ่งนัก”
ตั้งแต่ต้นจนจบ ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้นเทียบเท่ากับการกะพริบตาไม่กี่ครั้ง
ไม่มี “จารชนโจรเรียกค่าไถ่” สักคนรับรู้ รวมทั้งหลงฉีที่เข้าหมู่บ้านมาแล้ว
เขาลูบท้องฮัมเพลง สืบฝีก้าวแผ่วเบา ตระเตรียมไปแสดงผลงานให้จิ่งเหิงปัวเห็น
เดินไปไม่กี่ก้าวเขาหยุดเดิน พึมพำว่า “ไม่ได้ เร็วเกินไป มองไม่ออกว่าลำบาก ภรรยาคงไม่สงสาร”
หลังจากนั้นเขานั่งยองลงไปข้างเล้าไก่ที่ถูกทิ้งร้างของเกษตรกรครอบครัวหนึ่ง รวบรวมขนไก่หลายอันไปแหย่มดบนพื้น
เล่นไปสักพักรู้สึกว่าได้เวลาพอประมาณแล้ว เขาลุกขึ้นมา เดินไปไม่กี่ก้าว หยุดฝีเท้าอีกครั้งโดยพลัน พึมพำว่า “ไม่ได้ ไม่สะบักสะบอม มองไม่ออกว่าลำบาก ภรรยาคงไม่สงสาร”
เขาฉวยมือใช้ขนไก่แหย่ผมจนยุ่งกระเซิง กำเศษดินหลายกองโปรยลงบนอาภรณ์ ซ้ำยังนำขนไก่น้อยที่สวยที่สุดอันหนึ่งสอดบนอาภรณ์อย่างระมัดระวัง ยังเหลียวซ้ายแลขวาปรับมุมของขนไก่โดยละเอียด พยายามทำให้ขนไก่อันนี้ แสดงทั้งความยุ่งเหยิงและความดุเดือดเลือดพล่านออกมา ทั้งมีความสะบักสะบอมและมีความงดงามเป็นรรมชาติ
จัดการเสร็จสิ้นเขารู้สึกว่าพอประมาณแล้ว เดินต่อไปอีกหลายก้าว
แม้ว่าเขาเดินอยู่ในหมู่บ้านโดยตลอด ทว่าน่าแปลกประหลาดคือ “จารชน” และหลงฉีที่รบไปรบมาต่างไม่มีใครพบเห็นเขาเลย เค้าร่างของเขายามปฏิบัติการดั่งคล้ายหมอกนิลผืนหนึ่ง ข้ามผ่านสายตาของผู้คนอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
อีชีเดินไปไม่กี่ก้าว หยุดลงอีกครั้ง
“ไม่รู้ว่าขนไก่ทำผลงานไว้อย่างไรบ้าง” เขาพึมพำกับตนเองว่า “จะให้ดีที่สุดต้องแลดูทั้งสะบักสะบอมทั้งอ่อนแอ ทั้งดิ้นรนทั้งกล้าหาญ เปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความยุ่งเหยิงและงดงาม ให้องค์ราชินีสงสารข้าแต่แรกเห็นถึงจะดี…”
เขาเงยหน้าขึ้นมา เบื้องหน้าสว่างวูบโดยพลัน ฝั่งตรงข้ามมีอ่างน้ำใบหนึ่ง
อีชีพุ่งไปหาอย่างยินดี ในอ่างน้ำยังมีน้ำอยู่ครึ่งอ่าง เขาชะโงกหน้ามองเงาตนเอง เรือนร่างของเขาชะโงกไปลึกยิ่งนักด้วยเพราะขนไก่อยู่ตรงหว่างเอว
ยามร่างกายครึ่งท่อนจะเข้าไปในอ่าง หางตาของเขามองเห็นเวิ้งนภาด้านหลังขาวโพลนโดยพลัน
ไม่ ไม่ใช่ขาวโพลน แต่ปรากฏชายผ้าสีขาวผืนหนึ่ง!
อีชีจะหันกายมาปานอสนีบาต!
เสียดายว่าสายไปเสียแล้ว
ฝ่าเท้าของเขาลอยขึ้นโดยพลัน ข้างหลังถูกผลักด้วยแรงมหาศาลเพียงครั้ง
“ตู้ม”
อีชีทิ่มลงไปในอ่างน้ำอย่างดิ้นรนแลกล้าหาญ…
พริบตาต่อมาอ่างน้ำระเบิดออกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง ละอองน้ำกระเซ็นทั่วทิศ เงาร่างสีน้ำเงินของอีชีพุ่งสู่ผืนนภาท่ามกลางละอองน้ำ ร่างหันขวับเพียงครั้งกลางอากาศ กระแสหมัดโหดเ**้ยมสายหนึ่งย้อนทวนกลับไปแล้ว
เสียดายว่าสายไปอีกครา
เจ้าผู้ผลักเขาลงอ่างน้ำจากข้างหลังพุ่งหมัดหนึ่งเข้ามาอย่างโหดเ**้ยมแน่วแน่เสียยิ่งกว่าในเสี้ยวพริบตาเดียวก่อนเขาระเบิดอ่างปล่อยหมัด!
“พลั่ก”
สองหมัดปะทะกัน อากาศคล้ายสะเทือนจนเกิดระลอกคลื่นออกมา อ่างน้ำที่แตกร้าวแล้วกลายเป็นฝุ่นผงในพริบตา
คลื่นน้ำถูกกระแสหมัดทะลุทะลวงรุนแรงระเบิดจนล่องลอย ปลดปล่อยระลอกคลื่นเวียนวนขนาดเท่าเรือนครึ่งหลังออกมา ฝนตกโปรยปรายดังซู่ซ่ารอบบริเวณสามจั้ง
ห่างไปไม่ไกล จิ่งเหิงปัวรู้สึกทันทีว่าปลายจมูกเย็นขึ้นมา นางเช็ดหน้าอย่างประหลาดใจแล้วแหงนหน้ามองดูท้องนภาจันทร์กระจ่างดาวพร่างพราว
“เอ๊ะ ฝนไม่ได้ตกนี่นา”
…
สองหมัดปะทะกัน กำปั้นที่ปล่อยออกมาก่อนพลันเลื่อนไถลผลักย้อนทวนขึ้นไปตามแขนของอีชีอย่างโหดเ**้ยม ที่ซึ่งกำปั้นพาดผ่านอาภรณ์แหลกสลาย เศษผ้าขาดวิ่นลอยล่องถึงกลางอากาศแล้วเยือกเย็นเป็นผลึกแข็งโดยพลัน กลายเป็นน้ำค้างแข็งผืนหนึ่งร่วงพื้นเสียงดังปังปึง
เดิมทีอีชีเพียงตื่นตะลึง สีหน้าก็มิได้ใส่ใจมากนัก พอมองเห็นพลังอำนาจของหมัดหนึ่งนี้ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เอ่ยอย่างตื่นตะลึงว่า “ปัญญาหิมะ! เหตุใดเจ้า…”
“พลั่ก” หมัดหนึ่งกระแทกตรงจมูกของเขาอย่างอำมหิต
สีแดงสดจากจมูกสองข้างซ่านกระเซ็น ย้อมขนไก่เกลื่อนพื้นให้แดงฉาน
“ไอ้เด็กนี่โหดเ**้ยมนัก!” อีชีร้องอย่างประหลาดเสียงหนึ่ง มืออุดจมูกที่มีโลหิตไหลไม่หยุดไว้ หันกายเตรียมจากไปพลางเอ่ยว่า “ปัญญาหิมะเป็นตัวประหลาดทั้งนั้น ข้าไม่เล่นกับเจ้าแล้ว!”
เงาร่างสีขาวไม่แค่นแม้เสียงหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ เรือนร่างกะพริบวูบ นิ้วมือคลำไปเบื้องหน้าคว้าไปทางหน้าอกของอีชี
“เฮ้ยๆๆ เจ้าทั้งฉีกแขนเสื้อทั้งกระชากหน้าอกข้า เจ้าจะทำอะไร” อีชีหนีไม่พ้นร้องโวยวายเสียงดัง หันกายยืดหน้าอกให้เสียเลย ปากเอ่ยว่า “เจ้าอยากจะเปลื้องผ้าข้าลูบคลำข้ามิใช่หรือ เจ้าลูบสิ ลูบสิคลำสิเอาเลย!”
นิ้วเรียวยาวหยุดชะงักก่อนสัมผัสอาภรณ์บริเวณหน้าอกของอีชีศูนย์จุดศูนย์ห้ากงเฟิน[1]
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ นึกแล้วเชียวว่าพวกฝึกปัญญาหิมะเป็นโรครักสะอาดต่างๆ นานา…ไม่เล่นกับเจ้าแล้ว ข้าจะไปหาภรรยาข้า” อีชีหัวเราะเสียงดัง เลือดกำเดาหลั่งไหล หันกายครั้งหนึ่งรีบเร่งหลบหนี
ตำแหน่งเดิมหลงเหลือเพียงเงาคนชุดขาวและหลงฉีที่รีบเร่งตามมาเพราะได้ยินเสียงต่อสู้
“นายท่าน…” หลงฉีมองดูเงาด้านหลังที่คุ้นเคยผืนนั้น ยามรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายดุร้ายคล้ายกำจายออกมาเบื้องนอกนั้น เสียงแผ่วลงไปแปดระดับ
กงอิ้นยืนนิ่งอยู่ตำแหน่งเดิม หว่างเกศาชื้นเพียงน้อย ยิ่งผุดเผยคิ้วคมตาดำขลับนัยน์ตาดุจน้ำแข็ง
เขาคลายแขนเสื้อที่ม้วนขึ้นลงอย่างเชื่องช้า คลายฝ่ามือในแขนเสื้อออกอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
ข้อนิ้วทั้งห้าออกสีแดงอ่อน ผิวถลอกเพียงน้อย
[1] กงเฟิน หมายถึง เซนติเมตร