เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 64.2
ยามนี้มือสังหารมาถึงแล้ว ถูกไอควันบดบังทัศนวิสัย สูดปราณแท้ที่ศิลาขาวปลดปล่อยออกมาอย่างละโมบไปพลาง ฉวยมือดึงกระบี่ไปพลาง
ไอควันถูกสูดหาย สั่นไหวเล็กน้อย ใยไหมสีขาวบนกระบี่ดำพลันสั่นสะท้าน พุ่งออกไปภายนอกอย่างรุนแรง!
คมกระบี่พุ่งวูบสู่หน้าอกมือสังหาร!
มือสังหารตกตะลึง พลิกกายดุจเหยี่ยวเหินกลางอากาศครั้งหนึ่ง ปลายกระบี่เฉียดผ่านปลายจมูกของเขานำมาซึ่งหยาดโลหิตผืนหนึ่ง
ด้วยผลกระทบของไอควันจากศิลาขาว ใยไหมขาวละเอียดที่เกาะเชื่อมบนกระบี่ควบคุมทิศทางของกระบี่ได้ดุจตาข่ายยืดหยุ่นได้ผืนหนึ่ง!
มือสังหารตกตะลึง ปลายเท้าสัมผัสหลังคาตำหนัก กระโจนพลิกกายขึ้นมา หวังแย่งชิงอำนาจการควบคุมกระบี่ดำคืนมา ใยไหมนั้นพลันหดกลับไปประหนึ่งมีความคิด ในพริบตาต่อมา กระบี่พุ่งตรงจากบนลงล่างปานฟ้าแลบ!
ซ้ำกับความเคลื่อนไหวที่มือสังหารลอบสังหารกงอิ้นเมื่อครู่!
มือสังหารตื่นตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน หวังจะถอยหลังกลางอากาศ ทว่าไอควันจมดิ่งโดยพลัน อากาศรอบด้านหยุดชะงัก เขารู้สึกว่าร่างกายเคลื่อนไหวไม่สะดวก จำต้องร่วงหล่นเต็มแรงเพื่อหลบหลีกกระบี่หนึ่งนี้
เขาร่วงหล่น
เพียงแต่ระหว่างครู่นั้น
กงอิ้นตะโกนลั่นว่า “กริช!”
จิ่งเหิงปัวตอบโต้แทบจะในขณะเดียวกัน ดวงตาสองข้างกะพริบวูบด้วยแสงรุ่งโรจน์
กริชของนางที่มือสังหารส่งออกไปหยั่งเชิงศิลาขาวแล้วร่วงลงพื้นก่อนหน้านี้ เชิดตั้งขึ้นสู่ทิศทางที่มือสังหารร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว!
“พลั่ก”
หน้าอกของมือสังหารสัมผัสพื้น
“ฉึก”
หน้าอกของเขาชนเข้ากับกริชอันตรายที่รอคอยอยู่ตรงนั้นของจิ่งเหิงปัว
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่ง โลหิตซึมออกมา มือสังหารดิ้นรนหวังลุกขึ้น
“เคร้ง”
กระบี่ดำตามลงมาแทงทะลุสันหลังของเขาแล้วตรึงเขาไว้บนพื้น ปลายคมของกระบี่ดำกับกริชที่แทงเข้าหน้าอกมือสังหารก่อนหน้านี้กระทบกัน ทะลุผ่านจนร่างพรุน
…
“เจ้า…พวกเจ้า…เกิน…”
เจ้าเล่ห์เกินไป? เลวเกินไป? หรือกำลังเอ่ยว่าตนเองนึกเสียใจเกินไป?
สุดท้ายแล้วมือสังหารไม่อาจเอ่ยให้จบ คอหอยเปล่งเสียงอึกอัก นัยน์ตาค่อยๆ ถลนออกมา มือค่อยๆ ขยับไปข้างหลัง คล้ายจวบจนสิ้นชีพยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าตนเองกุมความได้เปรียบโดยสิ้นเชิงอย่างชัดเจน พลันร่วงหล่นสู่ความตายได้อย่างไร
มือเปื้อนโลหิตยังไม่ทันขยับถึงส่วนหลัง พลันร่วงหล่นไร้เรี่ยวแรง
ในตำหนักเงียบสงัดไปชั่วครู่ จิ่งเหิงปัวและกงอิ้นพ่นลมหายใจยืดยาวออกมาเฮือกหนึ่งในขณะเดียวกัน
วันนี้แต่เดิมเป็นทางตัน ตำหนักใหญ่ที่ปลอดภัยหาใดเปรียบกลายเป็นทางตันที่ขัดขวางความช่วยเหลือ กงอิ้นเคลื่อนไหวไม่ได้ จิ่งเหิงปัวไม่มีพลังการสู้รบ อีกฝ่ายผู้นี้เป็นมือสังหาร ซ้ำยังเป็นยอดฝีมือแท้จริง จะมองอย่างไรย่อมเป็นความตาย
โชคดีที่พวกเขายังมีสติปัญญา
สองผู้มีสติปัญญาร่วมมือกัน กงอิ้นใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อให้อาวุธของมือสังหารสัมผัสใยทิพย์ลึกลับตรงขอบเตียงเขา จิ่งเหิงปัวควบคุมจิตใจแห่งการแสวงหาวิถีแห่งยุทธ์ของยอดฝีมือ เสนอข้อต่อรอง ก่อกวนจิตสังหารของมือสังหาร หลอกให้เขาคอยจ้องหาศิลาขาวตรงหลังคาตำหนัก แล้วหลอกให้เขาพุ่งกริชของตนเองออกไปเพื่อเป็นอาวุธในขั้นต่อไป ยามมือสังหารพุ่งสู่หลังคาตำหนัก แท้จริงได้เดินไปสู่ความตายแล้ว
ใยทิพย์พบกับปราณแท้ปัญญาหิมะที่กักเก็บในศิลาขาวก่อเกิดแรงยืดหยุ่น บังคับให้มือสังหารลงจากหลังคาตำหนัก เผชิญกับกริชที่จิ่งเหิงปัวใช้ความคิดโยกย้ายอย่างรวดเร็วในชั่วครู่หนึ่งนั้น
สถานการณ์ที่โยงใยเชื่อมต่อกัน ค่ายกลเงียบเชียบไร้สุ้มเสียงที่มีความยั่วยวนและอันตรายร่วมดำรง แผนการที่ไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองมาก่อน ยามร่างติดอยู่ในนั้นย่อมไร้หนทางมองทะลุ สิ่งที่พึ่งพาอาศัยไม่เพียงแต่สติปัญญาของสองคน ยังมีความรู้ใจซึ่งกันและกัน ความเชื่อถือที่ไม่ต้องอธิบาย การให้ความร่วมมืออัศจรรย์ที่ไม่จำต้องเอ่ยวาจามากความยังไร้ซึ่งข้อบกพร่อง
สองคนต่างถอนหายใจเฮือกหนึ่ง อีกทั้งต่างงงงวยดุจหลงลืมบางสิ่งโดยพลัน คล้ายหลังจากการรวมพลังต่อต้านศัตรูครั้งนี้ บรรยากาศบางอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์บางอย่างได้แตกต่างไป
ตำหนักใหญ่แลดูเงียบสงบยิ่งนักชั่วครู่หนึ่ง ลมหายใจของแต่ละคนต่างลอยล่องไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย ยามวิกฤตกาลภายนอกถูกกำจัด วิกฤตกาลของร่างกายพลันระเบิดออกมาประหนึ่งเพลิงร้อนแรง สองคนต่างรู้สึกถึงความร้อนผ่าวของร่างกายอีกฝ่าย ความถี่กระชั้นของการหายใจ และลมหายใจบริสุทธิ์หวานชื่นของกันและกัน ความชิดใกล้ที่ไร้ซึ่งระยะทางเช่นนี้ คล้ายโอบผิวกายของอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมแขนของตนเอง ถึงขนาดว่าความรู้สึกจากการสัมผัสว่องไวหาใดเปรียบ ดั่งสายพิณถูกขึงตึงแน่นเส้นหนึ่ง เพียงยั่วเย้าครั้งหนึ่ง ย่อมจะขาดผึงแล้ว
จิ่งเหิงปัวหน้าแดงดุจเปลวเพลิง ลองหยั่งเชิงดิ้นรนเล็กน้อย รู้สึกได้ทันทีว่าเชือกแดงเพลิงนั้นคล้ายรัดเข้าผิวกาย ดั่งแส้เพลิงประดับหนามย้อน ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ละเอียดคมกริบ นาง “โอ๊ย” เสียงหนึ่งเกือบจะเปล่งเสียงกรีดร้อง
“อย่าขยับ!” ในขณะเดียวกันนั้นเอง กงอิ้นตะโกนหยุดยั้ง
ตะโกนช้าไปก้าวหนึ่ง จิ่งเหิงปัวถูกรัดจนความโกรธเคืองเลือนหายไปมากแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางรู้สึกชัดเจนว่าหลังจากขยับเขยื้อน เชือกคล้ายแน่นขึ้นอีกบางส่วน นางสูดหายใจซี้ดซ้าด กล่าวว่า “เหตุใดเชือกผีบ้าอะไรนี่ถึงรัดเจ็บขนาดนี้ เช่นนี้จะแก้มัดอย่างไร?” พลันนึกถึงวาจาที่มือสังหารเอ่ยก่อนสิ้นชีพ ในใจดังตึ่กเสียงหนึ่ง กล่าวว่า “กงอิ้น พวกเราคงไม่แก้เชือกนี้ไม่ออกกระมัง? น้ำเสียงของเจ้าผู้นั้นคล้ายจะให้พวกเราถูกรัดจนสิ้นชีพเลย”
กงอิ้นนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา ใช้ฝ่ามือขยับเขยื้อนมาขวางบนแขนที่ถูกรัดแน่นของนาง จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเชือกสามสายพลันรัดหลังมือของเขาแน่นดุจมีชีวิต ทิ้งรอยแผลดุจดั่งถูกไฟลวกสามรอยบนหลังมือ
นางชะงักงัน รู้สึกอุ่นวาบในหัวใจ อยากจะขอบคุณแต่ไม่รู้ว่าจะปริปากอย่างไร เขากลับเบนสายตาออกไปแล้ว สีหน้าไม่ขยับเขยื้อนคล้ายไม่รู้สึกว่าเจ็บปวด และไม่รู้สึกว่าการกระทำแบบนี้มีอะไรแตกต่าง
นางอดจะอยากหัวเราะไม่ได้ คนที่ซุ่มเงียบย่อมมีความน่ารักแบบซุ่มเงียบ
กงอิ้นกำลังเคลื่อนย้ายเชื่องช้า ใช้แขนสอดเข้าไปในเชือก พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้นางสัมผัสถูกเชือกอย่างเต็มที่ เช่นนี้เท่ากับเขากางแขนสองข้างโอบกอดนางไว้ นางจำต้องแนบใบหน้าลงบนหน้าอกเขา ได้ยินเสียงใจเต้นสงบมั่นคงดัง “ตึ่ก ตึ่ก ตึ่ก”
จิ่งเหิงปัวขุ่นเคืองเล็กน้อย ในตอนนี้ใจเขากลับเต้นเป็นปกติ? ทำลายศักดิ์ศรีของนางเกินไปแล้ว
แต่สักพักนางรู้สึกว่าผิดปกติแล้ว ไม่ใช่ใจเต้นเป็นปกติ แต่ใจเต้นช้าเกินไป นางลองนับโดยละเอียด หนึ่งนาทียังไม่ถึงหกสิบครั้ง
นี่เรียกว่าอะไร? หรือความตื่นเต้นกังวลของเขาจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบแตกต่างจากคนปกติ?
ฟังเสียงใจเต้นของเขาแล้วให้ความรู้สึกมั่นคงหนักแน่นอย่างยิ่ง ดั่งภูผาสูงตระหง่านอยู่ไกลโพ้นคอยบดบังสายลมสายฝนให้ตนเองตลอดกาล ขณะนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกสบายใจ หากไม่ใช่เพราะแผ่นหลังถูกเชือกนั้นรัดจนยิ่งแน่นมากขึ้นยิ่งเจ็บมากขึ้น นางถึงขนาดไม่ถือสาหากมัดอยู่แบบนี้สักหนึ่งวันหนึ่งคืน
แค่คิดก็อยากจะหัวเราะ นางกับกงอิ้นมีความแค้นกับเชือกเหรอ? ครั้งก่อนเป็นตาข่ายครั้งนี้เป็นเชือกงูเพลิงอะไรก็ไม่รู้ ถูกมัดไว้ด้วยกันแน่นขนาดนี้บ่อยๆ จะดีจริงเหรอ?
จากนั้นนางรู้ว่าไม่ดีแล้วจริงแท้
ความรู้สึกร้อนผ่าวยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น ความเจ็บปวดยิ่งบาดลึกมากขึ้นเช่นกัน นางยังรู้สึกยากจะอดกลั้นขนาดนี้ แล้วกงอิ้นที่ต้านทานเชือกส่วนใหญ่ล่ะ?
จิ่งเหิงปัวใช้ความคิดดึงกระบี่ดำที่ปักอยู่บนหลังมือสังหารนั้นมาลองเฉือนเชือกดู ผลลัพธ์คือเกือบจะเฉือนเข้าผิวกายกงอิ้นแล้วยังไม่อาจเฉือนเชือกออกได้
นางไม่มีวิธีแล้ว ได้แต่ฝากความหวังให้กงอิ้น สีหน้าของกงอิ้นในลำแสงมัวสลัวแดงเล็กน้อย ทว่าท่าทางคล้ายมีความลังเลบางส่วน
จิ่งเหิงปัวไม่เชื่อว่าเขาไม่มีวิธี แต่ว่าตอนนี้เขาคล้ายกำลังพิจารณาไตร่ตรอง อะไรทำให้เขาลำบากใจกันแน่?
ยังไม่ทันได้ไถ่ถาม กงอิ้นปริปากเอ่ยแล้วว่า “หาวิธีนำเชิงเทียนมาสักอัน”
จิ่งเหิงปัวควบคุมเชิงเทียนสำริดที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดมาหนึ่งอัน
กงอิ้นหันหน้าเพียงน้อย พ่นลมเฮือกหนึ่งใส่กระบี่ดำ
ลมหายใจเป็นควันขาวหนาแน่นดุจแก่นแท้ชนเข้ากับกระบี่ดำเสียงหนึ่งดังตึ้ง กระบี่ดำเหินขึ้นตามเสียง เฉียดผ่านเชิงเทียน นำมาซึ่งประกายเพลิงแถวหนึ่ง ปักเข้าสู่กำแพงเบื้องหน้า
“เร็ว!”
จิ่งเหิงปัวควบคุมเชิงเทียนมาดังสวบ ไส้เทียนเข้าใกล้ประกายไฟแถวนั้น แสงไฟสว่างขึ้นดังฉึบเสียงหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเพิ่งทันได้ชมเสียงหนึ่งว่า “หล่อ!”
ในไอควันมัวสลัว ฉากหนึ่งที่เขาใช้ปราณกระทบกระบี่พลันเกิดประกายไฟ งดงามจนดุจดั่งศาสตร์แห่งเซียน
กงอิ้นยื่นนิ้วออกมานิ้วหนึ่งลากเชิงเทียนไว้ เชิงเทียนเอนเอียงเล็กน้อย
“ที่แท้เผาให้ขาดได้หรือ?” ดวงตาของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบ ร้องว่า “เช่นนั้นรีบเผาสิ”
ทว่ากงอิ้นคล้ายกำลังลังเลว่าจะเผาเชือกทางฝั่งจิ่งเหิงปัวนั้นหรือเผาเชือกของตนเองกันแน่ คล้ายว่านี่คือปัญหาสำคัญร้ายแรงยิ่งนักข้อหนึ่ง ถึงขนาดผู้ที่ลงมือสังหารเด็ดขาดเช่นเขา มือหยุดค้างกลางอากาศสักพักหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวมองจนรู้สึกประหลาดใจ คิดมากขนาดนี้ทำไม? เพราะกลัวเผาโดนตนเองเหรอ? ที่จริงแล้วเชือกนี้บางมาก พอเข้าใกล้เล็กน้อยอาจจะไหม้ขาดแล้ว ความเป็นไปได้ที่ผิวกายถูกเผาไหม้น้อยมาก
“หากเจ้ากลัวเจ็บก็เผาฝั่งข้าสิ” นางเร่งเร้า
กงอิ้นมองนางอย่างเฉื่อยเนือยปราดหนึ่ง นัยน์ตาดำบริสุทธิ์ของเขาประหนึ่งศิลานิลกลางธารหลาก วูบไหวด้วยแสงน้ำเงินมืดมิดดุจหิมะถม
“ข้ากลัวเจ้าควบคุมไม่อยู่”
“ขนาดนั้นเชียว…” จิ่งเหิงปัวพึมพำ แค่เผาเล็กน้อยหน่อยเดียวไม่ใช่เหรอ? เขาทำน้ำเสียงทำสีหน้าร้ายแรงขนาดนั้นทำไม?
กงอิ้นไม่ตอบนาง เชิงเทียนค่อยๆ เอียงลงมา สีหน้าเขาจริงจังหนักแน่นนัก นิ้วมือใช้แรงควบคุมแผ่วเบายิ่ง จิ่งเหิงปัวถูกสีหน้าเคร่งขรึมของเขาพาให้หวาดเกรง กลั้นลมหายใจไว้อย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน
แสงไฟเข้าใกล้เชือก เสียงซี้ดเสียงหนึ่งดังแผ่วเบา แทบจะฉับพลัน เชือกก็ติดไฟแล้ว ในพริบตาต่อมา เสียงระเบิดแผ่วโผยดัง “ผึง” เสียงหนึ่ง จิ่งเหิงปัวเบิกสองตากว้าง มองดูครู่หนึ่งซึ่งเชือกเส้นบางสัมผัสเปลวไฟ เชือกพลันเพิ่มพูนแผ่ขยายกลายเป็นงูเพลิงสีแดงขนาดมหึมาตัวหนึ่งในความมัวสลัว แผ่คลุมมาทางกงอิ้นกับนางอย่างตกตะลึง!
คำว่า “อ๊ะ” ด้วยความประหลาดใจของจิ่งเหิงปัวยังไม่ได้ออกจากปาก แขนเสื้อของกงอิ้นสะบัดรวดเร็ว งูเพลิงสูญสลายเหินขึ้นกลายเป็นหมอกควันสีแดงกลางอากาศผืนหนึ่ง วนเวียนห้อมล้อม ประกายไฟเล็กน้อยนับมิถ้วนสาดกระเซ็น ร่วงโรยดุจฝนดาวตกสีโลหิตในไอควันมัวสลัว
กงอิ้นสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งขวางประกายไฟออกไป จิ่งเหิงปัวถูกประกายไฟเสี้ยวหนึ่งลวกเข้ากะทันหัน อดจะ “ว้าย” เสียงหนึ่งไม่ได้ กงอิ้นแบ่งความสนใจหันหน้ากลับมามองนางปราดหนึ่ง ประกายไฟสีแดงที่สูญสลายแล้วกลุ่มหนึ่งพลันประชิดใกล้เข้ามาอีกครั้ง ร่วงลงสู่แผ่นหลังของกงอิ้น
จิ่งเหิงปัวสังหรณ์ว่ายังไม่จบสิ้น กำลังจะเตือนเขา กงอิ้นพลันผลักนางล้มลง โอบนางไว้ไถลไปตามพื้นหลายฟุต ออกห่างจากขอบเขตที่ประกายไฟสีแดงมุ่งทำร้าย
จิ่งเหิงปัวมองเห็นแสงโชติช่วงกลุ่มหนึ่งนั้นวนเวียนกลางไอควันขาวซีดดุจอสรพิษ ร่อนระบำหลายรอบถึงกลายเป็นละอองดาวแล้วค่อยๆ จางหายไป นางรู้สึกมหัศจรรย์
ภายในตำหนักใหญ่เงียบสงบลงในที่สุด นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รู้สึกทันทีว่าอากาศรอบด้านคล้ายผิดปกติเล็กน้อย มีกลิ่นคาวนิดหน่อยแต่ไม่นับว่าเหม็นมาก หลังจากสูดเข้าไปแล้ว มีความรู้สึกคึกคักรุนแรงอย่างยิ่ง
ความรู้สึกนี้แลดูคุ้นเคย…
“ใกล้เที่ยงคืนแล้วกระมัง ต้องดูว่าพายุฝนฟ้าคะนองมาหรือยัง…” นางนึกถึงเรื่องราวภายนอกอยู่ตลอดเวลา ผลักกงอิ้นจะลุกขึ้น พอมือสัมผัสบนร่างกายของเขา รู้สึกทันทีว่ามือร้อนจี๋
ร่างกายของกงอิ้นพลันร้อนรุ่มดุจถ่าน พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้าก็มองเห็นหลังมือที่ถูกเศษเสี้ยวงูเพลิงปกคลุมเมื่อครู่ของเขา กำลังมีเส้นสีแดงเข้มเส้นหนึ่งประชิดใกล้บนแขน
“เหตุใดเจ้า…” นางกำลังอยากถามว่าเกิดอะไรขึ้น กงอิ้นพลันพุ่งขึ้นมาเบื้องหน้า ผลักนางล้มลงไป ริมฝีปากเย็นเยือกนุ่มนวลประทับลงมาแนบแน่น