เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 73.4
จิ่งเหิงปัวไม่รู้สึกละอายใจด้วยเพราะความคิดอำมหิตของตนเองได้ทำให้นักปราชญ์คุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งต้องแปดเปื้อนธุลีเลยแม้แต่น้อย…เหตุใดไม่ทำตัวให้กลมกลืนเสียหน่อยล่ะ คนดีทำเรื่องเลวบางครั้งบางคราวถึงจะมีพลังทำลายล้าง
ส่วนอีกหลายเดือนต่อมา พอได้เวลาแล้วผู้ชราฉังฟังค่อยออกมาเรียกร้องให้ราชินีขึ้นครองราชย์ กลุ่มต่อต้านฝูงนั้นจะโกรธจนปากเบี้ยวหรือไม่ นางก็ไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจ
จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปได้เรื่องหนึ่งแล้ว นางก็ค่อนข้างอารมณ์ดีอยู่บ้าง ตัดสินใจว่าช่วงนี้นอกจากโจมตีและยึดตลาดตี้เกอแล้ว งานสำคัญที่สุดที่เหลืออยู่ก็คือ…บ่มเพาะแฟนหนุ่ม!
บ่มเพาะแฟนหนุ่ม ต้องเริ่มจากความเคยชินก่อน
ยามเช้าตรู่ หมู่วิหคขานร้อง สายลมพัดก้อง คลุมโปงหนา หลับนิทราสบายใจ
ประตูถูกเปิดออกอย่างรีบร้อน ขุนนางหญิงจื่อหรุ่ยรีบก้าวเท้าเข้ามา
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” นางพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าหน้าต่าง โค้งคำนับให้กองผ้านวมสูงหนากองนั้น แล้วร้องว่า “พระองค์ควรตื่นบรรทมได้แล้วนะเพคะ!”
ไม่มีความเคลื่อนไหว
“ฝ่าบาท” จื่อหรุ่ยมองดูเวลา แม้เวลายังเช้าตรู่ ทว่าปัญหาคือเมื่อคืนองค์ราชินีเป็นผู้กำชับเป็นหนักหนาว่าให้นางมาปลุกตนเองในยามนี้
“ฝ่าบาท…”
กองผ้านวมกลิ้งไปกลิ้งมา กลิ้งจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก รูปร่างดูคล้ายกระดองเต่า
“ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้วเพคะ”
“อื้ม…” มือสีขาวราวหิมะข้างหนึ่งพลันยื่นออกมาจากกองผ้านวมนั้น ตบลงบนผิวเตียงอย่างหนักหน่วง เสียงที่แว่วออกมาเปี่ยมด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเลือนราง เพียงพอให้เลือดอันเร่าร้อนของผู้อ่อนวัยทั่วทั้งโลกหล้าสูบฉีด ร้องว่า “อย่ากวนข้าสิ…อย่ากวนข้า…”
“ฝ่าบาท!” จื่อหรุ่ยทุ่มเทเรี่ยวแรง เปล่งวาจาที่มีพลังทำลายล้างที่สุดขึ้นมาดังลั่น
“พระองค์ตรัสว่าจะตื่นบรรทมแต่เช้า สรงพระพักตร์แปรงพระทนต์เสวยพระกระยาหารเช้ากับราชครู! ตรัสมาสองวันแล้วยังทรงกระทำไม่ได้ นี่คือครั้งที่สามแล้วนะเพคะ! หากไม่ตื่นบรรทมอีกหม่อมฉันจะไม่ปลุกพระองค์แล้วนะเพคะ!”
กองผ้านวมพลันกระเด้งขึ้นมาดังสวบ ราชินีที่หน้าตาผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สายตาแน่นิ่งนั่งอยู่บนเตียง เส้นผมยุ่งเหยิง แก้มสองข้างมีรอยหมอนประทับอยู่จนทั่ว
“ไอ้เวรเอ๊ย พลาดมาสองครั้งแล้ว วันนี้ต้องไปให้ได้” ใครบางคนกระซิบกระซาบขึ้น
ที่มุมปากของจื่อหรุ่ยพลันโค้งขึ้นเล็กน้อย ความพ่ายแพ้สองครั้งก่อนหน้านี้แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะราชินีเกียจคร้านเกินไป แท้จริงแล้วเป็นเพราะราชครูไม่อยากให้ราชินีตื่นเช้า สั่งให้เหมิงหู่มากดจุดนอนหลับของราชินีเสียเลย นางไม่ใจแข็งพอที่จะมองสีหน้าผิดหวังยามตื่นนอนของราชินีทุกวัน วันนี้จึงมาปลุกล่วงหน้าเสีย
“ตื่นนอน!” ถ้าจิ่งเหิงปัวได้ตัดสินใจขึ้นมาแล้วนางก็เป็นพวกปฏิบัติการเช่นกัน ชกกำปั้นขึ้นฟ้าครั้งหนึ่งด้วยดวงตาสะลึมสะลือ ก่อนกระเด้งลงจากเตียงแล้วสวมเสื้อผ้า
จื่อหรุ่ยมีสีหน้าดีอกดีใจ รู้สึกว่าได้มองเห็นราชินีเช่นนี้ก็ดียิ่งนัก
ราชินีไม่ได้ปิดบังความพิเศษไร้ผู้ใดเหมือนที่มีต่อราชครูฝ่ายขวา เดิมทีนางเป็นคนที่ร่าเริงรักอิสระมากที่สุด ในวังทยอยมีข่าวสารบางอย่างแพร่ออกมา เอ่ยว่าราชินีกับราชครูอาจจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้ ณ ต้าฮวง เดิมทีราชินีกับราชครูเป็นคู่ครองกัน ไม่มีคนรู้สึกประหลาดใจ มีแต่การอวยพรเพิ่มมากขึ้น อย่างไรเสียแม้ว่าราชินีองค์ใหม่องค์นี้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง เอ่ยวาจาไม่ค่อยเข้าใจนัก ทว่ารูปโฉมที่งดงามท่าทางสนิทสนม ไม่มีความถือตัว ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสุภาพอ่อนโยน ก็ได้รับความชื่นชอบจากเหล่าชาววังยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวสวมเสื้อผ้าจนเสร็จด้วยความรีบร้อน พลางรีบเร่งรื้อของในกระเป๋าออกมา นางจำได้ว่าในกระเป๋ามีอุปกรณ์อาบน้ำสำหรับเดินทางอยู่ด้วย
ตอนค้นกระเป๋านางเพิ่งพบว่าบนชั้นวางช่องแยกน้อยของตนเองมีของสิ่งหนึ่งเพิ่มเข้ามา นั่นคือกล่องใบน้อย นางหยิบลงมาเปิดดู ภายในมีกระบอกกระดาษสีแดงสั้นๆ หลายกระบอก นางจำได้ว่านี่คือดอกไม้ไฟส่งข่าว ทางต้าฮวงนี้เรียกว่าพลุจดหมาย
ในกล่องมีเศษกระดาษใบหนึ่ง เขียนด้วยตัวอักษรเอนเอียงว่า ‘ภรรยา ยามเจ้าคิดถึงข้า จุดสักกระบอก ข้าจะขี่เมฆสีรุ้งไปยังข้างกายเจ้าโดยพลัน หากข้ากำลังยุ่งนัก ข้าจะส่งพวกขี่รถลากหลายคนไปอยู่ข้างกายเจ้า เจ้าถนอมรักข้าอย่างมีไมตรีหรือเหยียบย่ำพวกเขาอย่างรุนแรงได้เลย ด้วยความคิดถึง อีชี’
ข้างล่างนั้นยังมีร่องรอยสีเขียวขี้เป็ดอยู่รอยหนึ่ง จิ่งเหิงปัวหยิบขึ้นมาส่องกับแสงอาทิตย์ มองดูอยู่ครู่หนึ่ง ถึงพบว่านั่นคือ…รอยริมฝีปากที่ทายาทาเล็บสีเขียวใบหญ้ารอยหนึ่ง
รอยริมฝีปากที่ทายาทาเล็บ…
นางนึกถึงบนริมฝีปากของอีชีที่ทาด้วยยาทาเล็บสีเขียวขี้เป็ดที่ประทับรอยจูบลงบนกระดาษอย่างรุนแรง ก็พลันรู้สึกว่าทั่วร่างเหน็บชา ทั่วสารทิศอบอวลด้วยกลิ่นยาทาเล็บแสบจมูก…
ความฮาจะฝึกสำเร็จได้อย่างไร?
ความฮามันมีมาโดยกำเนิด!
นางหัวเราะฮ่าๆๆ ระลอกหนึ่งแล้วเก็บกวาดข้าวของ หลังจากหาสิ่งของที่ตนเองต้องการเจอแล้วนางก็ยืนอยู่กลางลานบ้าน ทำท่าทางฝึกหายใจเข้าออก[1]หลายท่า
ไม่ใช่เพราะนางอยากฝึกวรยุทธ์ขึ้นมา แต่หมู่นี้ช่วงเช้าของทุกวันหลังจากตื่นนอนแล้ว นางมักจะรู้สึกว่าในอกคล้ายมีปราณพุ่งขึ้นมา หากไม่อาเจียนออกมาไม่โล่งอก นางใช้วิธีหายใจโดยใช้กล้ามเนื้อท้องของโยคะเคลื่อนปราณตามความรู้สึกที่ลมหายใจเคลื่อนไปโดยสำนึก รู้สึกว่าภายในร่างกายสบายอย่างยิ่ง หลังจากนั้นจะมีกำลังวังชาดีทั้งวัน ลมหายใจปลอดโปร่ง ทั้งร่างรู้สึกน่ารักตะมุตะมิ
หลังจากเคลื่อนปราณกลับไปกลับมาหลายรอบ นางก็ลืมตาขึ้น ไอสีม่วงกลางหว่างคิ้วกะพริบวูบหายไป
ฝึกหายใจเข้าออกเสร็จสิ้นแล้วแวบเข้าห้องครัว ในห้องครัวน้อยมีไอร้อนลอยล่อง ชุ่ยเจี่ยยื่นศีรษะออกมาจากข้างหลังเตา แล้วเอ่ยว่า “ข้าวเจ้าเขียวที่ใช้ต้มโจ๊กตระเตรียมเสร็จแล้ว เจ้าเอ่ยว่าให้เหลือไว้ให้เจ้าซาวด้วยตนเอง ข้าจึงไม่ได้แตะต้อง”
จิ่งเหิงปัวมองเห็นนางก็หยุดฝีเท้าลง นึกได้ว่าทำเมินเฉยใส่นางตั้งแต่มาถึงต้าฮวง ในใจก็พลันเกิดความรู้สึกผิด
“เรื่องเหล่านี้มีนางกำนัลคอยทำแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเช้าขนาดนี้”
“ถึงอย่างไรข้าก็นอนไม่หลับ” ชุ่ยเจี่ยตอบอย่างเรียบง่าย จิ่งเหิงปัวมองดูนางก็รู้สึกทันทีว่าในไอควันนางแลดูคล้ายผอมบาง นิสัยก็ไม่โหวกเหวกโวยวายคล้ายคราวอยู่หอเฟิ่งไหลชี ดูนิ่งเงียบขึ้นหลายส่วน
อย่างไรเสียต้าฮวงก็คือสถานที่แปลกหน้า นางขอพึ่งพิงตนเอง แต่ไม่ได้รับการดูแลจากตนเอง บางทีความเศร้ารันทดภายในใจจึงปรากฏอยู่บนสีหน้า
จิ่งเหิงปัวใจอ่อนยวบในฉับพลัน นึกถึงคราวที่ร่วมเดินทางเส้นทางพันลี้จากหอเฟิ่งไหลชีถึงต้าฮวง ทั้งหมดมีแค่สามคนนี้ จิ้งอวิ๋นคือกระป๋องยา อยู่ในห้องทั้งวันไม่ออกมา ยงเสวี่ยอายุน้อย ช่วงนี้ส่งนางไปกองขุนนางหญิงในวัง ไม่ได้วางแผนว่าต้องให้นางเป็นขุนนางหญิงในภายภาคหน้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรให้ติดตามไปเรียนหนังสือสักหน่อย เหลือแค่ชุ่ยเจี่ยคนเดียว ที่จริงแล้วคงโดดเดี่ยวเกินไปหน่อย
“เช่นนั้นมาให้ข้าซาวข้าว” นางส่งรอยยิ้มให้ชุ่ยเจี่ย ประคองอ่างข้าวจากข้างกายนางเดินไปข้างนอก
ชุ่ยเจี่ยคล้ายถูกรอยยิ้มของนางทำให้ตกใจ นิ่งงันไปชั่วขณะ จิ่งเหิงปัวเดินผ่านนางไปแล้ว ชุ่ยเจี่ยจึงลังเลเล็กน้อย พลันเอ่ยว่า “ต้าปัว…”
จิ่งเหิงปัวหันหน้ากลับมา ร้องว่า “หืม?”
แสงรุ่งอรุณมัวสลัวดุจหมอก รอยยิ้มของนางกลับเพริศแพร้วเฉิดฉายเพียงนั้น ผู้ใดต่างมองออกว่านางยินดีมีความสุขเพียงใด แม้แต่คิ้วยังคล้ายคลายออกมามากกว่าแต่ก่อน
ชุ่ยเจี่ยจ้องมองรอยยิ้มของนาง เอ่ยอย่างยากลำบากเล็กน้อยว่า “ขอโทษนะ ต้าปัว กระเป๋านั่นในยามนั้น…”
จิ่งเหิงปัวโบกไม้โบกมืออย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “อ้อ เรื่องกระเป๋าหรือ เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ”
วาจาครึ่งประโยคหลังของชุ่ยเจี่ยถูกขัดจังหวะ นางอ้าปากอยู่คล้ายอยากเอ่ยอะไรทว่าสุดท้ายแล้วกลับไม่ได้เอ่ยออกมา ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงตื่นเช้ามาทำอาหารทุกวัน?”
“นอนไม่หลับหรือ?” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม “นอนไม่หลับก็นับแกะสิ ข้าเคยสอนเจ้านี่”
“ด้วยเพราะจิ้งอวิ๋นอยากจัดการเรื่องอาหารการกินให้เจ้าโดยตลอด” ชุ่ยเจี่ยเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “นางสุขภาพไม่แข็งแรง ข้าคิดว่าข้ามาทำให้เองดีกว่า”
“จริงหรือ? ที่จริงแล้วข้าคิดว่าพวกเจ้าสองคนไม่จำเป็นต้องทำเลย พวกเจ้าคือสหายของข้า คือพี่สาวน้องสาวของข้า ไม่ใช่คนรับใช้” จิ่งเหิงปัววางอ่างข้าวลง แล้วตบมือของนาง “คราวหน้าไม่ต้องทำแล้วนะ”
“เช่นนั้นข้าทำสิ่งใดได้ ข้าเป็นขุนนางหญิงของเจ้าได้หรือไม่”
จิ่งเหิงปัวชะงักไปครู่หนึ่ง หันข้างมองนางแล้วกล่าวว่า “ชุ่ยเจี่ย วันนี้เจ้าดูประหลาดนัก”
ชุ่ยเจี่ยหัวเราะ ก้มหน้าลงนวดแป้งแล้วเอ่ยว่า “จริงหรือ? บางคราวคนเราเปลี่ยนสภาพแวดล้อม พบเจอคนที่แตกต่าง คงจะค่อยๆ แปลกประหลาดไปกระมัง”
“เจ้าเอ่ยมามีเหตุผลนัก มองไม่ออกเลยว่าเจ้าเข้าใจเหตุผลขนาดนี้ด้วย” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มปรีดาหยอกล้อนางประโยคหนึ่ง แล้วทำหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยว่า “ชุ่ยเจี่ย เรื่องขุนนางหญิงนั้นช่างมันเถิด ไม่ว่าเจ้าหรือจิ้งอวิ๋น ข้าต่างไม่หวังให้พวกเจ้ายุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในของต้าฮวง นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่พวกเจ้าควรเป็นกังวล พวกเจ้าเพียงเป็นสหายสนิทของข้าให้ดีก็พอแล้ว รอคอยภายภาคหน้า ข้ามอบสินเดิมมากมายให้พวกเจ้า หาเนื้อคู่ที่เหมาะสมให้พวกเจ้า ให้พวกเจ้าออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่สมศักดิ์ศรี เช่นนี้ย่อมสมบูรณ์พร้อมแล้ว!” นางค่อยๆ หัวเราะขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังที่หาได้ยาก กล่าวอย่างหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อยว่า “แต่ก่อนข้ามีสหายสนิทสามคนเช่นกัน สหายสนิทที่เติบโตมาด้วยกัน ภายหลังพวกเราพลัดหลงกัน ข้ามักคิดว่าเมื่อข้าเป็นราชินีแล้ว ต้องพยายามทำให้ดีขึ้น หากภายภาคหน้าได้พบกับพวกนางอีกครั้ง ข้าคงได้เกทับพวกนางแล้ว อื้ม พอนึกว่าภายภาคหน้าพวกนางมองเห็นข้าแล้วต้องก้มศีรษะกราบกรานตะโกนลั่นว่าองค์ราชินี ข้าน่ะก็สะใจยิ่งนักฮ่าๆๆ โดยเฉพาะไท่สื่อหลันยัยผู้ชายนั่น หากเรียกข้าเช่นนี้สักคำข้าคงอ้าปากหัวเราะไปจนวันตายแล้วฮ่าๆๆ…” นางหัวเราะปานลมชักระลอกหนึ่ง เช็ดหยาดน้ำตาที่ออกมาเพราะหัวเราะ หันหน้าจ้องมองชุ่ยเจี่ย กล่าวว่า “ไม่รู้ด้วยเหตุใด มองเห็นพวกเจ้าสามคนแล้ว ข้าก็นึกถึงพวกนางสามคนนั้น เป็นสามคนเช่นเดียวกัน เจ้ามีนิสัยแก่นแก้วของไท่สื่อหลัน ยงเสวี่ยคล้ายจวินเคอเด็กใสซื่อคนนั้น ส่วนจิ้งอวิ๋นไม่คล้ายผู้ใดเลย เหวินเจินแข็งแรงกว่านางเยอะเลย…เจ้าดูสิ ข้ามักจะชอบจับพวกเจ้ากับพวกนางมารวมไว้ด้วยกันเช่นนี้ ฉะนั้นในจิตใจต่างนึกถึงสามคน คล้ายว่ามองเห็นพวกเจ้าเสมือนมองเห็นพวกนางสามคน หรือว่านี่ก็คือผลลัพธ์ของความเห็นอกเห็นใจอะไรนั่น?” นางหัวเราะฮ่าๆๆ อีกระลอกหนึ่ง กุมมือของชุ่ยเจี่ยไว้ ก้มหน้าจ้องมองดวงตาของนาง แล้วกล่าวว่า “ข้าคือราชินี ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะกระทำเรื่องที่ข้าสมควรกระทำให้ดี ส่วนพวกเจ้าก็อยู่ให้สบาย ให้พร้อมหน้าไม่ขาดแม้แต่คนเดียวก็พอแล้ว!”
ชุ่ยเจี่ยเงยหน้าขึ้น จ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างงงัน นางเห็นความกระโดกกระเดกกับการกระทำสิ่งใดไร้เหตุผลทั่วไปของจิ่งเหิงปัวจนเคยชินแล้ว ทว่าเอ่ยวาจามากมายขนาดนี้เช่นครั้งหนึ่งนี้ ยังคงเป็นครั้งแรกโดยแท้
ไม่ ไม่เพียงเป็นครั้งแรกที่เอ่ยวาจามากมายขนาดนี้ ทว่าในวาจาที่แลคล้ายยังคงโอ้อวดเหล่านี้ ความรู้สึกที่ซุกซ่อนไว้ การนึกถึง ความคิดถึงและการรำลึกถึงที่ไม่เคยเอ่ยกับผู้ใดในชีวิตเฮฮาสนุกสนานเหล่านั้น
จนถึงยามนี้นางเพิ่งเข้าใจความหมายที่กลุ่มสามคนที่แลคล้ายมีหรือไม่มีย่อมได้กลุ่มนี้มีต่อจิ่งเหิงปัว
คือที่พึ่งของนาง คือความคิดถึงของนาง คือที่ซึ่งความมั่นคงในใจนางดำรงอยู่หลังจากซัดเซพเนจรมาต้าฮวงเพียงผู้เดียว มีพวกนางคล้ายดั่งมีพี่สาวน้องสาวอยู่เคียงข้างกาย ฉะนั้นนางยินยอมเชื่อถือทั้งหัวจิตหัวใจ
แท้จริงแล้วนางหวาดกลัวความโดดเดี่ยวถึงเพียงนี้
เบ้าตาของชุ่ยเจี่ยพลันเปียกชื้น
มีความรู้สึกบางอย่างมัวสลัวเลือนราง มิใช่เข้าใจยิ่งนัก ทว่ายังพอเข้าใจได้
ณ ครู่หนึ่งนี้ นางเกิดจิตใจเด็ดเดี่ยวขึ้นมาเช่นกัน ความสับสนลังเลเยือกแข็งกลายเป็นความรู้สึกมั่นคง คล้ายฉากกั้นค่อยๆ เลือนหาย
“เจ้าวางใจเถิด” นางตบมือของจิ่งเหิงปัวกลับคืน เอ่ยว่า “จะทำให้ดีทั้งนั้น”
จิ่งเหิงปัวชักมือกลับคืนนานแล้ว ใบหน้ากลายเป็นสีหน้าตามอำเถอใจอีกครั้ง มองดูท้องฟ้าแวบหนึ่ง ร้องอย่างเดี๋ยวตื่นเต้นเดี๋ยวตกใจว่า “โอ๊ย แย่แล้ว เกือบไม่ทันแล้ว เร็วเข้าๆ” ร้องพลางรีบร้อนยกอ่างไปข้างบ่อน้ำ จื่อหรุ่ยตักน้ำให้ นางใช้มือซาวไม่กี่ครั้งทำเหมือนตนเองได้ซาวข้าวแล้ว จากนั้นก็ทิ้งอ่างข้าวไว้ให้จื่อหรุ่ย รีบเร่งวิ่งไปข้างลานบ้าน
วันนี้ นางจะไปมอบความรัก!
[1] ท่าทางฝึกหายใจเข้าออก เป็นการฝึกลมปราณ (气功 ชี่กง) รูปแบบหนึ่ง เน้นกำหนดการหายใจเข้าให้ลึกถึงท้องน้อยเพื่อซึมซับพลังสะอาดเข้าสู่ร่างกาย และหายใจออกทางปากเพื่อขับพิษ