เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1] - ตอนที่ 81.4
นางตกใจกำลังจะวิ่งเข้าไปในห้อง แต่จู่ๆ ด้านหลังกลับมีความผิดปกติ นางจึงรีบหันกายโดยพลัน
จิ้งอวิ๋นยืนตรงอยู่ข้างหลังนาง!
เสียงอุทานอย่างตกตะลึงของยงเสวี่ยแทบจะโพล่งออกมาจากปากแล้ว!
นึกไม่ถึงว่าจิ้งอวิ๋นที่อยู่ข้างหลังนางจะคล้ายตื่นตกใจเสียยิ่งกว่านาง สีหน้าบนใบหน้าตกตะลึง สีหน้าแปลกประหลาดปานหน้ากากคลุมเครือนั้นสูญสลาย นัยน์ตาค่อยๆ มีแสงสว่าง แต่สีหน้ากลับขาวซีดมากยิ่งขึ้น
นางคล้ายตื่นขึ้นมาแล้ว
ไม่รอให้ยงเสวี่ยได้เปล่งเสียงร้องตะโกน นางก็หันกายไปก่อนโดยพลัน วิ่งโซซัดโซเซออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน จนสะดุดธรณีประตูกลิ้งลงจากบันได และไม่รู้ว่านางเอาแรงมาจากที่ใด พลันพลิกกายลุกขึ้นได้ก็พุ่งไปกลางลานบ้านโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
สิ่งที่แปลกประหลาดคือในสถานการณ์เช่นนี้ สตรีสองนางนี้ต่างไม่ได้เปล่งเสียงออกมา
ยงเสวี่ยยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เรือนร่างแข็งทื่อราวหุ่นเชิด ทั่วทั้งร่างเย็นเยียบไปจนสิ้น
นางวิ่งออกไปหลายก้าวอย่างร้อนรนหวังจะไล่ตาม แต่พบว่าฝีก้าวของจิ้งอวิ๋นรวดเร็วยิ่งนัก ขาเล็กสั้นเช่นนางนั้นไล่ตามไปไม่ทันด้วยซ้ำ
นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ได้แต่วิ่งไปยังประตูข้าง คิดจะเรียกหาองครักษ์ข้างตำหนักสักหน่อย แต่ประตูกลับเปิดออกโดยพลัน เป็นเถี่ยซิงเจ๋ออยู่ข้างหลังประตู
“ข้าออกมาทำธุระ ได้ยินเรือนข้างเคียงคล้ายมีความเคลื่อนไหว” เขาเอ่ยตอบอย่างเรียบง่ายแล้วถามว่า “มีอะไรหรือ”
ยงเสวี่ยโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง นางไม่อยากทำให้เรื่องราวใหญ่โต เมื่อมีเถี่ยซิงเจ๋อมาแก้ไขก็เป็นการดีที่สุดแล้ว
“เกิดเรื่องกับแม่นางจิ้งอวิ๋นเล็กน้อย รบกวนเถี่ยซื่อจื่อไปดูสักหน่อยได้หรือไม่”
เถี่ยซิงเจ๋อพยักหน้า ส่งสัญญาณมือให้เหมิงหู่กับอวี่ชุนที่ได้ยินเสียงแล้วตามมาข้างหลัง เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะไปดูสักหน่อย” แล้วเหินกายข้ามกำแพงรั้ว
ยงเสวี่ยรอคอยอยู่ในลานบ้านอย่างกระวนกระวาย หันหน้ากลับมามองดูวังบรรทมของราชินีบ่อยครั้ง ชุ่ยเจี่ยถูกทำให้ตกใจจนตื่นแล้วเช่นกัน พอได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ สีหน้าของนางก็ซีดเผือด ฝืนแรงลากนางเข้าสู่ห้องบรรทมของราชินี ตรวจสอบสิ่งของข้างในทั้งหมดโดยละเอียด
“คงไม่มีอะไรหรอก” ยงเสวี่ยเอ่ยว่า “ข้าจ้องมองนางอยู่ตลอด นางไม่ได้ทำอะไร อีกทั้งข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่านางจะมีไอสังหารอะไรเช่นกัน”
ชุ่ยเจี่ยหยุดมือ ก่อนหันหน้ามองนาง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ดูไม่ออกเลยว่าอายุยังน้อยเช่นเจ้าจะมีความฉลาดเฉียบแหลมด้วย”
“คนเช่นพวกเรานี้…” ยงเสวี่ยเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “หากอยากมีชีวิตรอดต่อไป ก็ควรจะระมัดระวังสักหน่อยไม่ใช่หรือ”
“พวกเรานั้น…” ชุ่ยเจี่ยจูงนางนั่งลง แล้วเอ่ยว่า “ยามนั้นได้ต้าปัวช่วยชีวิตไว้ ยามนี้ก็ต้องพึ่งพาต้าปัวเพื่อมีรอดชีวิตเช่นกัน ต้าปัวอยู่ดีกินดี พวกเราถึงอยู่ดีกินดีไปด้วย จิ้งอวิ๋นเลอะเลือนไปบ้าง เจ้าก็อย่าได้เอาอย่างนาง”
ยงเสวี่ยไม่เอ่ยวาจา ดวงตาดำขลับซ่อนแฝงแสงละมุนละไม
“เดิมทีข้ากังวลมาโดยตลอด ตัวคนเดียวบางครั้งยังรู้สึกว่านอนหลับไม่สนิท” ชุ่ยเจี่ยถอนหายใจยืดยาวอย่างชื่นใจ เอ่ยสืบต่อว่า “ในเมื่อเจ้ามีความตั้งใจเช่นกัน เช่นนั้นก็ดีแล้ว ต่อไปพวกเราพี่น้องช่วยกันระแวดระวังสักหน่อย เฝ้าลานบ้านของต้าปัวให้ดี”
“ข้ากลับไม่รู้สึกว่า…” ยงเสวี่ยเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “จิ้งอวิ๋นจะมีความสามารถอะไรที่จะเป็นภัยต่อพี่ต้าปัวได้ โรคของนางเป็นของจริง ความอ่อนแอของนางก็เป็นของจริงเช่นกัน นางไม่มีแม้แต่ความกล้าด้วยซ้ำ วันนี้ข้าเพียงกลัวว่านางจะปลิดชีพตนเองแล้วทำให้พี่ต้าปัวเป็นทุกข์เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกว่า…” นางส่ายหน้า
“วาจานี้ของเจ้าเอ่ยคล้ายมองภายในจิตใจคนได้กระนั้น” ชุ่ยเจี่ยไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยว่า “บอกเจ้าไว้เลยนะ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ยิ่งท่าทางอรชรอ้อนแอ้น ยิ่งเป็นไปได้ที่จะทำเรื่องโหดเ**้ยมอำมหิต ยามพี่สาวอยู่หอนางโลม เห็นคนแบบนี้มาเยอะแล้ว!”
ยงเสวี่ยส่ายหน้าคล้ายไม่อยากถกเถียงกับนางด้วยเพราะเสียงประตูดังขึ้น เถี่ยซิงเจ๋อกลับมาแล้ว
เขาเปียกโชกครึ่งท่อน อุ้มจิ้งอวิ๋นที่สลบไสลเปียกโชกเช่นกันไว้
แม้จะเห็นแววตาที่ตื่นตะลึงของคนทั้งสอง แต่คำตอบของเขาก็ยังเรียบง่ายว่องไวเช่นเคย เอ่ยว่า “นางคิดจะกระโดดน้ำ ข้าจึงช่วยนางไว้”
สองคนกลับสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งพร้อมกัน
“ร้ายแรงหรือไม่ ต้องเชิญหมอหรือไม่” ชุ่ยเจี่ยไม่อยากรบกวนจิ่งเหิงปัวกลางดึก
“ไม่เป็นไร ข้าเพียงแต่กดจุดนอนหลับของนางเท่านั้น นอนหลับสักตื่นคงจะดีขึ้น” เถี่ยซิงเจ๋อส่งจิ้งอวิ๋นให้สองคน ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่ควรแพร่งพราย ข้าคิดว่าอย่างไรเสียไม่กราบทูลฝ่าบาทน่าจะดีกว่า ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้น รบกวนแม่นางสองท่านปลอบขวัญแม่นางจิ้งอวิ๋นให้ดี”
ชุ่ยเจี่ยกับยงเสวี่ยเองก็คิดเช่นนี้ ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
สองคนทอดสายตามองตามเงาด้านหลังของเถี่ยซิงเจ๋อ ชุ่ยเจี่ยอดที่จะถอนหายใจเสียยืดยาวไม่ได้ กระซิบกระซาบขึ้นว่า “เถี่ยซื่อจื่อท่านนี้อุปนิสัยดีเหลือเกิน ใจกว้างละเอียดรอบคอบ”
ยงเสวี่ยไม่เอ่ยวาจา ในดวงตาเบิกกว้างมีแววตาแปลกประหลาด
“อะไรหรือ” ชุ่ยเจี่ยหันหน้ามองนาง
ยงเสวี่ยส่ายหน้าแล้วพยักหน้า
“อืม คงดี”
…
วันต่อมาจิ่งเหิงปัวตื่นขึ้นในวังบรรทมของตนเอง ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้
เรื่องที่เมาสุราไม่ได้ส่งผลกระทบต่อจิ่งเหิงปัวมากมายเท่าไรเช่นกัน
คนของจิ้งถิงไว้ใจได้ทั้งนั้น เรื่องราวที่ราชินีเมาสุราแล้วบ้าคลั่งถูกสั่งห้ามเอ่ยถึงอย่างเด็ดขาด
สำหรับเรื่องราวในวันนั้น ความทรงจำของจิ่งเหิงปัวเองก็เลอะเลือน จดจำทุกเรื่องราวได้อย่างเลือนราง แต่รายละเอียดของทุกเรื่องกลับจดจำไม่ค่อยได้แล้ว
ด้วยความสามารถในการดื่มของนาง เดิมทีก็ไม่ควรเมามายมากนัก สาเหตุเกิดจากดื่มเร็วเกินไป ซ้ำยังมีเรื่องราวในใจร่วมด้วย
จิ่งเหิงปัวกลัวว่าตนเองจะพูดหรือทำเรื่องราวไม่เหมาะสมอะไรออกไป นางจึงเรียกจื่อหรุ่ยเข้าพบเพื่อสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้น ยามที่เอ่ยถึงคราวที่นางให้กงอิ้นแบก จิ่งเหิงปัวก็กดไลค์ให้ตนเองเสียงดังลั่น ยามที่เอ่ยถึงคราวสารภาพรักบนสะพานนั้น นางก็ซักถามต่อว่ามีใครมองเห็นสีหน้าของกงอิ้นบ้าง ยามที่เอ่ยถึงคราวสองคนร่วงลงจากสะพานด้วยกัน นางก็หัวเราะจนตัวหงิกตัวงอ
แต่เรื่องภายหลังจากนั้นจื่อหรุ่ยก็เอ่ยอย่างอ้ำอึ้งบ้างแล้ว สุดท้ายก็เอ่ยกับนางออกมาตามตรงว่าควรหาครอบครัวฝ่ายสามีให้จิ้งอวิ๋นหรือไม่ เรื่องนี้นางจะพยายามจัดการอย่างเต็มกำลัง
จิ่งเหิงปัวรู้แค่ว่าคืนนั้นหลังจากที่นางเมาสุรา จิ้งอวิ๋นก็ป่วยอีกแล้ว คราวนี้ป่วยหนักมากจนลงจากเตียงไม่ได้เลยด้วยซ้ำ หมอหลวงตรวจอาการแล้วก็เอ่ยว่าร่างกายของนางอ่อนแอตั้งแต่กำเนิด ภายหลังฟกช้ำดำเขียว ซ้ำยังมีเรื่องราวอัดแน่นอยู่ภายในใจทำให้เกิดโรครุมเร้า
สถานการณ์เช่นนี้ หากย้ายออกจากวังหลวงเท่ากับส่งนางไปตาย หาคนแต่งงานด้วยก็ไม่เหมาะสม
จิ่งเหิงปัวยังคงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเล็กน้อยอย่างเลือนราง ในใจไม่มีความรู้สึกอะไรเช่นกัน นางรู้สึกว่าคำพูดของตนเองไม่ผิด การกระทำก็ไม่ผิด นางคิดมาโดยตลอดว่าจิ้งอวิ๋นคิดมากเกินไป ซ้ำยังมีนิสัยละเอียดรอบคอบเกินไป คนแบบนี้หากเจ้าพูดจาอ้อมค้อมกระทบกระเทียบนางไปก็ไม่มีประโยชน์ ควรจะให้นางเจอของแรงเสียบ้าง
แต่โอกาสและวิธีการที่เลือกใช้นั้นไม่ถูกต้อง ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนั้น ไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้นางเลย
นางอดที่จะฝืนยิ้มไม่ได้เช่นกัน…เมาสุราจนทำให้เรื่องราววุ่นวาย นี่ถ้าจิ้งอวิ๋นโกรธจนเป็นอะไรขึ้นมา ชั่วชีวิตนี้ในใจนางคงไม่สงบสุข
คงต้องเป็นแบบนี้แล้ว รอจนนางอาการดีขึ้นมาหน่อยแล้วค่อยจัดการเรื่องราวในภายหลัง จิ่งเหิงปัวสั่งจื่อหรุ่ยให้ใส่ใจจิ้งอวิ๋นมากขึ้นหน่อย จื่อหรุ่ยเอ่ยตอบว่า “ฝ่าบาทวางใจ หม่อมฉันต้องดูแลลานบ้านแห่งนี้ให้ดีเป็นแน่เพคะ”
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่านางคล้ายจะเข้าใจผิด แต่ก็คร้านจะอธิบายแล้ว นางครุ่นคิดถึงเรื่องสุดท้ายในวันเมาเหล้าวันนั้นให้มากยิ่งขึ้น เหมือนกับว่า…เหมือนกับว่ากงอิ้นจะขอนางแต่งงาน?
หลังจากนั้นล่ะ? ผลลัพธ์ล่ะ?
เหมือนจะไม่มีผลลัพธ์
ในความทรงจำอันเลือนรางของนางนั้น เหมือนกับว่ากงอิ้นยังมีข้อเสนออีกข้อหนึ่ง เนื้อหาโดยละเอียดจำไม่ได้แล้ว แต่นางจำการต่อต้านปฏิเสธรำไรของตนเองได้
นางรู้ว่าไม่ว่าตนเองจะชอบใครมากสักแค่ไหน แต่การแต่งงานเร็วขนาดนี้ตนเองย่อมไม่ยินดีอย่างแน่นอน นางยังเที่ยวเล่นไม่พอเลยนะ แล้วจะแต่งงานมีลูกเป็นหญิงแก่อัปลักษณ์เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
อีกทั้งการชอบคนคนหนึ่ง จะก้าวไปถึงการแต่งงานได้แน่นอนหรือไม่ยังต้องใช้เวลาสังเกตการณ์เช่นกัน
สำหรับการแต่งงานกับความรัก นางจะไม่ทำตามประเพณีของคนโบราณเพียงแค่เพราะก้าวเข้ามาอยู่ในสังคมสมัยโบราณ ตั้งแต่แรกนางก็ยึดมั่นในความคิดของตัวเอง…เฝ้ารอคอยและจริงจังต่อการแต่งงาน ต่อให้ชอบคนคนหนึ่งมากขนาดไหน แต่นางจะไม่มอบการแต่งงานให้อย่างง่ายดาย
ด้วยเพราะมอบให้ครั้งหนึ่งก็เท่ากับมอบให้ชั่วชีวิต
นางทะนุถนอมชั่วชีวิตของตนเอง ทะนุถนอมชั่วชีวิตของเขาด้วย
ตนเองก็เหมาะสมจะยืนอยู่ข้างกายเขาจริงๆ หรือ?
นางหวังให้ตนเองมีอำนาจขึ้นมาอีกหน่อย จนสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่เขาได้อย่างแท้จริง เช่นนี้ถึงจะไม่นำความกังวลใจมาให้เขาได้
แต่อำนาจของนางดูเหมือนจำเป็นต้องสร้างขึ้นบนฐานการแย่งชิงต่อต้านเขา
…นี่ก็เป็นปัญหาซับซ้อนที่ไร้หนทางแก้ไขจริงๆ
ปัญหาข้อนี้นางแก้ไม่ได้และไร้หนทางที่จะให้กงอิ้นไปแก้ไข เขาเริ่มยุ่งขึ้นมาอีกแล้ว ได้ยินว่าทหารคั่งหลงกำลังเปลี่ยนการป้องกันกับทหารอวี้จ้าว
เขาคล้ายกระทำทุกอย่างตามปกติ จัดการเรื่องของนางอย่างเหมาะสมตามแบบเดิม เพียงแต่นางพบเห็นเขาน้อยลงมากยิ่งขึ้น หลายต่อหลายครั้ง แม้แต่เหมิงหู่ก็ยังเดินไปเดินมาอย่างรีบร้อน พาให้นางเกรงใจไม่อยากรั้งเขาไว้ เพราะกลัวทำให้เขาเสียเวลา
อากาศหนาวมากยิ่งขึ้นแล้ว ว่ากันว่าอีกสักพักหนึ่ง บึงโคลนมากมายในต้าฮวงจะเยือกแข็ง เส้นทางสัญจรจะสะดวกมากขึ้น โจรผู้ร้ายที่หลบซ่อนอยู่ส่วนลึกของบึงโคลนและภูเขาจะออกมาปล้นจี้ในฤดูกาลนี้
วันนี้ อาซั่นพาคนกลับมาแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นสตรีที่เชี่ยวชาญการแปลงโฉมใต้บัญชาของกงอิ้นแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเหมือนจะไม่ได้เจอนางนานมากแล้ว
กล่าวกันว่าอาซั่นไปปฏิบัติภารกิจ จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าเป็นภารกิจอะไร เพียงแต่มีครั้งหนึ่งตอนที่นางเดินผ่านห้องเข้าเวรขององครักษ์จิ้งถิง ได้ยินอาซั่นที่นั่งอยู่ภายในนั้นผิงไฟไปพลางเอ่ยกับเหมิงหู่ไปพลางว่า “ข้าไปจัดการเด็กหนุ่มคนนั้นตามคำสั่งของราชครูแล้ว ราชครูเอ่ยว่าหากเด็กหนุ่มคนนั้นใช้ชีวิตตามปกติก็ปล่อยไป แต่ถ้าหากเขาปรับปรุงห้องลับใหม่ ประดับดอกเบญจมาศทั้งหมดตามจดหมายที่ทิ้งไว้ขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นก็จงสั่งสอนเขา ข้าเลยสั่งสอนเขาอย่างเรียบง่ายไปครั้งหนึ่ง”
“วิธีเรียบง่ายอย่างไร” เสียงของเหมิงหู่คล้ายกำลังกลั้นหัวเราะ
“ข้าหานางระบำมานางหนึ่ง แปลงโฉมนางให้มีรูปร่างลักษณะคล้ายฝ่าบาท ร่ายระบำให้เขาดู จากนั้นก็ทุบตีเขา หยิบเงินในห้องของเขามาจนหมด ขโมยอาวุธลับที่ประณีตงดงามที่สุดของเขาสิบชิ้น ซ้ำยังใช้ดอกเบญจมาศต่อบนร่างกายของเขาเรียงกันเป็นข้อความว่า ‘ข้ารักเจ้า ดอกเบญจมาศจงเจริญ!’ ” อาซั่นหัวเราะออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ชั่วชีวิตนี้เขาคงลืมฝ่าบาทไม่ลงแล้ว”
จิ่งเหิงปัวฟังจนปากอ้าตาค้างอยู่นอกห้อง
คนที่นางเอ่ยถึงคนนั้นคือใคร? คงไม่ใช่ฝ่ายรับขาวซีดคนนั้นในเมืองซีคังหรอกนะ?
เดินทางไปกันหมดแล้วยังกลับไปลงโทษเขาอีกหรือ? เดิมทีนึกว่าจิตใจของมหาเทพกงอย่างน้อยๆ คงใหญ่เท่าปลายเข็ม แต่คราวนี้พอมองดูแล้ว คงใหญ่แค่สักหนึ่งไมครอนกระมัง?
“เรื่องนี้ข้ารู้ก็พอแล้ว ไม่ต้องรายงานนายท่านหรอก ยามนี้เขาไม่มีเวลาว่างสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้” เสียงของเหมิงหู่พลันแผ่วเบาลงไป เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องจะเอ่ยกับเจ้าอยู่พอดี…”
คราวนี้จิ่งเหิงปัวแทบอยากจะแนบหูเข้าไปในกำแพง เพียงแต่ไม่ได้ยินแล้ว
ห่างออกไปไม่ไกลมีองครักษ์เดินเข้ามา นางได้แต่เดินออกไปอย่างหดหู่
พอกลับสู่วังบรรทมของตนเอง นางก็พบว่ายงเสวี่ยกำลังรอนางอยู่ตรงระเบียงนางเดิน
“ข้ามีของสิ่งหนึ่งให้พี่ดู” แม่หนูน้อยเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมา