เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 105
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
Sign in Buddha’s palm 105 เก้าหยิน
หลังจากที่ซูฉินและคนอื่นๆ กลับไปที่พระราชวังตะวันออก พวกเขาพบว่ากองทหารในพระราชวังตะวันออกมีมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว
เห็นได้ชัดว่าการลอบสังหารองค์รัชทายาททำให้จักรพรรดิถังตระหนักว่า แม้จะอยู่ภายในวังก็ไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป
นอกจากนี้ซูฉินยังสังเกตเห็นว่าทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์การลอบสังหาร ทั้งองค์รัชทายาทรวมถึงคนสนิท ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากวังหลวงชั่วคราว
เหตุผลที่กองทัพของทางราชอาณาจักรให้มาคือตอนนี้พระราชวังอยู่ภายใต้กระบวนการตรวจสอบที่เข้มงวด ถ้าออกไปไหนมาไหนอาจเจอมือสังหารเข้าอีกก็ได้
แต่ซูฉินพบข้อน่าสงสัยบางอย่าง
ครั้งนี้มือสังหารนั้นมาจากคณะทูตหนานหมิง มองด้วยเหตุผลแล้วก็ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบภายในวังหลวงอย่างเข้มงวดแต่ประการใด
เนื่องจากการลอบสังหารเกิดขึ้นจากฝีมือของอาณาจักรหนานหมิงจึงไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวภายในวัง
แต่จักรพรรดิถังยังคงออกคำสั่งเช่นนี้ ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวนั่นก็คือเขาไม่ต้องการให้ข่าวการลอบสังหารครั้งนี้แพร่กระจายออกไปในช่วงเวลานี้
“ดูเหมือนจักรพรรดิถัง จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้กำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่…”
ความคิดของซูฉินแปรปรวนไปมา เพียงพริบตาเขาก็เดาจุดประสงค์ขององค์จักรพรรดิถังออกเจ็ดถึงแปดส่วน
อย่างไรก็ตาม แม้ซูฉินจะตระหนักได้ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด
สำหรับซูฉินนั้น แผนการทั้งหลายทั้งปวงนั้นเปราะบางราวกับแผ่นกระดาษเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริง
แทนที่จะมุ่งเน้นสิ่งเหล่านั้น เขาเอาเวลาไปเพิ่มพูนความแข็งแกร่งส่วนตนดีกว่า
ด้วยกองทหารของวังหลวงจำนวนมากที่รายล้อมพระราชวังตะวันออก ปิดกั้นทุกคนไม่ให้เข้าหรือออกสถานที่นี้โดยเด็ดขาด…
บางทีสิ่งนี้อาจจะได้ผลกับคนอื่นๆ แต่มันจะไปหยุดซูฉินได้เช่นไร?
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ร่างของซูฉินวูบไหวผ่านเหล่าทหารยามมาได้อย่างง่ายดายและออกจากพระราชวังตะวันออกไปอย่างเงียบๆ
“วันนี้ข้าจะลงชื่อเข้าใช้ที่ตำหนักไท่จี๋”
เพียงแวบเดียวที่คิด ซูฉินก็มาปรากฏตัวที่หน้าตำหนักไท่จี๋
ตำหนักไท่จี๋เป็นสถานที่สำหรับปรึกษาหารือเรื่องการบ้านการเมืองเกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์ พลเรือน และการทหารมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของราชวงศ์ถังแล้ว เป็นเหตุผลว่าทำไม ‘เต๋าสะสม‘ ในที่แห่งนี้จึงมิต่ำต้อย
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นและมองไปยังตำหนักไท่จี๋ที่สูงตระหง่านพลางเอ่ยคำอยู่ภายในใจ
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง‘ ]
“เก้าอิมจินเก็ง?”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่ซูฉินเข้ามาในวังเพื่อลงชื่อเข้าใช้ ในที่สุดเขาก็ได้รับเคล็ดวิชาธาตุหยินเสียที
คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งถูกเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยจักรพรรดิพระองค์หนึ่งในราชวงศ์ก่อนหน้า โดยกล่าวเอาไว้ว่าสามารถควบแน่นพลังหยินทั้งเก้าได้จนถึงขีดสุด ในแง่ของระดับวิชา คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเหนือกว่าวิชาขัดเกลากายาจันทราโดยสิ้นเชิง
วิชาขัดเกลากายาจันทราสามารถควบแน่นพลังจากดวงจันทร์จนถึงขีดสุดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งกลับสามารถควบแน่นพลังหยินได้ถึงเก้าอย่าง
ความห่างชั้นมันชัดเจน
“ไม่เลวไม่เลว”
“ตอนแรกคิดไว้ว่าถ้าข้ายังเอามันมาไม่ได้อีก เห็นทีคงต้องเปลี่ยนเป็นวิชาธาตุหยินชนิดอื่น…”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
ในการคาดคะเนของเขา คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งนั้นเหมาะสมที่สุด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซูฉินจะมีทางเลือกเพียงแค่คัมภีร์เก้าอิมฯ เพียงอย่างเดียว
หลังจากลงชื่อเข้าใช้มานานหลายปี ไม่รู้ว่าซูฉินได้รับเคล็ดวิชามาแล้วกี่เล่มต่อกี่เล่ม แต่ไม่มีเล่มใดที่จะเทียบได้กับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง
ในตอนที่ซูฉินกำลังคิดอยู่นั้น ข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งก็ไหลบ่าเข้ามาภายในจิตของซูฉิน
จากนั้นไม่นาน ซูฉินก็ลืมตาขึ้น สีหน้าเขาดูพึงพอใจ
“หลังจากที่กลับไป ข้าจะเริ่มฝึกฝนคัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง จากนั้นจึงบ่มเพาะร่วมกับวิชาเก้าสุริยันเพื่อดูว่าร่างกายของข้าจะสามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สี่ได้หรือไม่”
ซูฉินคิดภายในใจตนเองอย่างเงียบๆ
ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นเรื่อยมาจนเข้าสู่ระดับอรหันต์นั้น ร่างกายของซูฉินมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากถึงสามครั้ง
ครั้งแรกเป็นการผสานกันระหว่างหยินและหยางจากวิชากายาวัชระคงกระพันรวมเข้ากับวิชาขัดเกลากายาจันทราทำให้กายเนื้อเพียงอย่างเดียวแข็งแกร่งเทียบเท่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง
อีกครั้งหนึ่งคือในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน ตราประทับที่ตัวตนระดับอรหันต์ทิ้งเอาไว้ได้เสริมแกร่งร่างกายให้กับซูฉิน
ครั้งที่สามคือตอนที่ซูฉินทะลวงขั้นขึ้นไปถึงระดับอรหันต์ และเมื่อเขาไปถึงขอบเขตนั้นทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ และกำลังภายในทั้งหมดพลันพุ่งสูงขึ้นไปอีก
หลังจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายทั้งสามครั้งนี้ แม้หลังจากนั้นซูฉินจะก้าวเข้าสู่อรหันต์ระดับนภาชั้นที่สามจนทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพุ่งขึ้นสูงไปอีกมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเกิดขึ้น
ตอนนี้ซูฉินจะลองดูว่าคัมภีร์เก้าอิมจินเก็งเมื่อผสานเข้ากับคัมภีร์เก้าสุริยันจะสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายของเขาเหมือนตอนที่เขาอยู่ในขอบเขตวิทยายุทธทั้งเก้าระดับชั้นหรือไม่
เมื่อซูฉินกำลังจะกลับไปตำหนักชุนฝั่งขวาที่อยู่ในพระราชวังตะวันออก ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนสีหน้าไปและมองยังทิศทางหนึ่งในวังหลวง
“ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งหกคนออกจากวังไปงั้นหรือ?”
ซูฉินแตะไปที่ปลายคาง ดวงตาครุ่นคิด
เมื่อตอนที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนนี้ออกจากวังไป พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ในการเก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเอง ถึงพวกเขาจะซ่อนตัวตนจากคนอื่นได้ แต่พวกเขาจะซ่อนตัวตนจากซูฉินได้อย่างไร?
“น่าสนใจ”
“จักรพรรดิถังจะลงมือแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูฉินเดาตามความเข้าใจของตนเอง
ภายในวังหลวง มีเพียงองค์จักรพรรดิถังเท่านั้นที่สามารถควบคุมยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกคนในเวลาเดียวกันได้
ตอนนี้วังหลวงถูกปิดกั้นอย่างแน่นหนา คนนอกห้ามเข้า คนในก็ห้ามออก ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งทั้งหกที่ออกไปในเวลานี้จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นคำสั่งของจักรพรรดิถัง
…
…
ในเวลาเดียวกัน
ภายในคฤหาสน์เมืองฉางอัน
ชายชุดขาวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมกับขมวดคิ้ว
ในฐานะผู้บังคับกรมขุนนางของหน่วยองครักษ์เสื้อแพร ชายชุดขาวมีตำแหน่งที่สูงไม่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะแผนการใหญ่ขององค์จักรพรรดิหมิงในครานี้ เขาก็คงไม่ได้มาเยือนเมืองฉางอันด้วยตนเอง
รู้หรือไม่ว่าฉางอันนั้นคือเมืองหลวงของอาณาจักรถัง ไม่รู้ว่าอาณาจักรถังมีเสือหมอบมังกรซ่อนอยู่มากแค่ไหน ไม่ว่าชายชุดขาวจะมีความมั่นใจมากเพียงไร เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถล่าถอยกลับไปโดยง่ายหรือไม่
แต่ชายชุดขาวนั้นไม่มีทางเลือก
หากจักรพรรดิหมิงขอให้เขามา เขาก็ต้องมาแม้จะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่ฉางอัน
“น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว”
“ทำไมยังไม่มีข่าวคราวอีก”
ชายชุดขาวรู้สึกถึงความผิดปกติ มีอาการใจสั่นเกิดขึ้น
ในขณะนั้นเองพ่อค้าร่างท้วมผู้ร่ำรวยก็วิ่งเข้ามาและกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “คารวะท่านผู้บังคับกรมขุนนาง”
“เกิดอะไรขึ้น?”
ชายชุดขาวมองไปที่พ่อค้าผู้มั่งคั่งพร้อมทั้งขมวดคิ้ว “เจ้าดำเนินการแผนการภายในวังแล้วหรือยัง?”
“ท่านผู้บังคับกรมขุนนาง”
“ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน”
“ตอนนี้ข้าไม่ได้รับข่าวสารใดๆ กลับมาเลย”
พ่อค้าร่างท้วมเองก็มึนงงมากเช่นกัน
“ไม่มีข่าวคราวใด?”
ชายในชุดขาวขมวดคิ้วมุ่น “องค์รัชทายาทได้ออกจากประตูเต่าดำมารึเปล่า?”
เมื่อได้ยินดังนั้นพ่อค้าร่างท้วมผู้มั่งคั่งก็ตอบในทันทีว่า “ยังเลยขอรับ”
ด้วยคำตอบนั้น
ท่าทางของชายชุดขาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่ควรเป็นเช่นนี้…”
“ตามข้อมูลก่อนหน้านี้ องค์รัชทายาทจะต้องพาพระชายากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซูในช่วงเวลานี้ของปี…”
ชายชุดขาวบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง
“บางทีอาจจะมีความล่าช้าเกิดขึ้น?”
พ่อค้าร่างท้วมเอ่ยการคาดเดาของตน
“มันผิดปกติ”
ยิ่งชายชุดขาวคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ข้อน่าสงสัยก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ได้มีความล่าช้าเกิดขึ้นในปีก่อนๆ แต่กลับมาล่าช้าในปีนี้?
“ถ้าการลอบสังหารเกิดขึ้นจริงๆ คงเป็นไปไม่ได้ที่ภายในวังจะสงบนิ่งเช่นนี้ เว้นแต่จะมีใครบางคนจงใจปิดข่าวเพื่อประวิงเวลา…”
ความคิดของชายชุดขาวเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว และในที่สุดใบหน้าของเขาก็ซีดหมองลง
“ไม่ดีแล้ว”
“เป็นไปได้ว่าพวกเราตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”
ชายชุดขาวลุกขึ้นในทันที เตรียมตัวหลบหนีออกจากฉางอัน
อย่างไรก็ตาม
ชายชุดขาวยังไม่ทันได้เดินออกไปไหนไกล
พลันรู้สึกถึงรังสีพลังที่น่าหวาดกลัวมาจากหกทิศทาง โผล่มาล้อมกรอบคฤหาสน์ทั้งหลังเอาไว้ ปิดทุกเส้นทางหลบหนี
“ข้าก็คิดอยู่ว่ามันเป็นผู้ใด”
“กลับกลายเป็นหมาบ้าจากหน่วยองครักษ์เสื้อแพรนี่เอง…”
ประตูคฤหาสน์ถูกผลักเปิดออกและขันทีที่มีใบหน้าคล้ายอิสตรีสวมเครื่องแบบของขันทีสีแดงเดินเข้ามาอย่างช้าๆ