เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 109
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
Sign in Buddha’s palm 109 รอวันตาย
วังหลวง
เมื่อซูฉินกลับมา เขาไม่ได้กลับไปยังตำหนักชุนฝั่งขวาในทีแรก แต่มาที่แท่นบูชาเทพธรณีฯ
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ‘ ]
เสียงจักรกลอันเย็นชาดังขึ้นในหูของซูฉิน
“หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติ?”
“ไม่เลวไม่เลว”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
ในแง่ของประสิทธิภาพ หยดน้ำจิตวิญญาณธรรมชาติเหมาะสมกับซูฉินในขอบเขตปัจจุบันมากที่สุด
มิช้านาน
ซูฉินก็กลับไปที่ตำหนักชุนฝั่งขวา
ตำหนักชุนฝั่งขวาเป็นที่พักที่องค์รัชทายาทหลี่เชิงมอบให้ซูฉินเป็นพิเศษ มันขนาดใหญ่กว่าคฤหาสน์ตระกูลซูเสียอีก ซูฉินได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่สะดวกสบาย
ในช่วงบ่ายของวันนั้น
ซูเยว่หยุนได้ให้สาวใช้มาเชิญซูฉินไปที่ห้องโถงเฉิงอัน
อ่านนิยาย
นับตั้งแต่วันที่นางถูกลอบสังหารภายในวังหลวง ซูเยว่หยุนก็ได้แต่อยู่ในพระราชวังตะวันออกและไม่สามารถออกไปไหนได้ ต้องขอบคุณการมีอยู่ของซูฉินที่ทำให้เธอมีคนให้สนทนาด้วยในบางครั้ง
เมื่อซูฉินมาถึงห้องโถงเฉิงเอิน เพียงไม่นานจักรพรรดิถังก็เสด็จมาถึง
“ไม่ต้องคำนับ ไม่ต้องมีพิธีรีตอง”
“ที่นี่ ถือว่าข้ามิใช่จักรพรรดิ”
จักรพรรดิถังโบกมือของพระองค์โดยไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก
องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนชำเลืองมองกันและกัน ทำได้เพียงกัดฟันนั่งอยู่ที่โต๊ะร่วมกับองค์จักรพรรดิถัง
หลังจากคนไม่กี่คนที่อยู่ที่นี่รับประทานอาหารกันไปได้สักพัก จักรพรรดิถังก็ชำเลืองมองไปที่ซูฉินแล้วเอ่ยถามอย่างสบายอารมณ์ “น้องชายคนเล็กจากตระกูลซูมาที่ฉางอันนานเท่าไหร่แล้ว?”
“ไม่ถึงหนึ่งปี”
ซูฉินตอบไปโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง
สำหรับคนอื่น จักรพรรดิถังเป็นจักรพรรดิที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด เป็นผู้ควบคุมชีวิตความเป็นความตายของผู้คนเป็นร้อยล้านชีวิตในอาณาจักรถัง
แต่ในสายตาของซูฉิน จักรพรรดิถังก็เป็นเพียงแค่ชายชราที่ใกล้จะตาย
“ไม่ถึงปี…”
จักรพรรดิถังพยักหน้าเล็กน้อยราวกับคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงหันไปถามว่า “ข้าได้ยินมาว่าร่างกายของหยุนเอ๋อ น้องชายจากตระกูลซูเป็นผู้รักษาให้?”
“ข้านั้นชื่นชมในทักษะทางการแพทย์อันยอดเยี่ยมเช่นนี้จริงๆ…”
อารมณ์ความรู้สึกปรากฏขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิถัง
เรื่องการรักษาซูเยว่หยุนนั้น คนอื่นๆ อาจจะไม่ทราบ แต่จะซ่อนเรื่องนี้จากจักรพรรดิถังได้เช่นไร?
หลังจากที่องค์จักรพรรดิถังพูดจบ สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ซูฉิน
ในความจริงเขายังคงรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับตัวตนของซูฉินอยู่นิดหน่อย ไม่เพียงซูฉินจะกล้าพูดเรื่องที่เขากำลังจะตายออกมาโต้งๆ แต่ซูฉินยังแสดงท่าทีที่สงบและไม่ยี่หระต่อสิ่งใดอยู่เสมอ
รู้หรือไม่ว่าบุรุษเพศทุกคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับซูฉิน แทบจะอดรนทนไม่ไหวที่สร้างคุณูปการและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วดินแดน…
แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป
อย่างน้อยจักรพรรดิถังก็ไม่เห็นความปรารถนาในอำนาจและความมั่งคั่งที่อยู่ในตัวซูฉิน
ตามความเข้าใจของจักรพรรดิถัง
มีคนอยู่สองแบบเท่านั้นในโลกที่มีความคิดเช่นนี้ได้
หนึ่งคือปรมาจารย์และปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มองเห็นทุกสิ่ง เข้าใจโลกอย่างแท้จริง
อีกประการคือเด็กน้อยที่ขนเพิ่งขึ้น ยังไม่ตระหนักรู้ถึงความหอมหวานของพลังอำนาจ
“ท่านต้องการถามข้าเกี่ยวกับสภาพร่างกายในปัจจุบันของท่านใช่หรือไม่?” ซูฉินถามไปอย่างห้วนๆ เขาขี้เกียจเกินกว่าจะมาพูดเรื่องไร้สาระกับจักรพรรดิถัง
“แน่นอนว่าข้ามีความคิดเช่นนั้น”
ท่าทีขององค์จักรพรรดิถังยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา
เนื่องจากเขารู้ว่าซูเยว่หยุนได้รับการรักษาจากซูฉิน เขาจึงมีความคิดนี้ขึ้นมา
รู้หรือไม่ว่าสภาพร่างกายของซูเยว่หยุนทำให้หมอเทวดามากมายต่างทำอะไรไม่ถูก
แม้แต่หมอประจำกายองค์จักรพรรดิถังก็มิอาจจะช่วยเหลือได้
แต่ในที่สุดปัญหานี้ก็ถูกแก้ไขโดยซูฉิน?
“ข้าพูดไปแล้วในครั้งก่อน”
“ท่านจะต้องตายในอีกไม่ช้า ทำได้เพียงรอคอยวันตายเท่านั้น”
ซูฉินแทบไม่ได้มองไปที่องค์จักรพรรดิถังอีกเลย พร้อมทั้งส่ายหัว
ร่างกายของจักรพรรดิถังไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรืออาการอื่นที่คล้ายๆ กัน ที่มาของอาการก็คือสูญเสียรากฐานบางอย่างไป ควบคู่กับการหมดอายุขัยซึ่งเป็นปกติที่จะต้องตาย
หากเป็นเพียงสูญเสียรากฐานบางอย่างไปซูฉินก็พอจะมีทางช่วยเหลือ แต่เรื่องอายุขัยที่จำกัดนั้น…
อายุขัยคือกฎแห่งฟ้าดิน เป็นดั่งเช่นยามดวงอาทิตย์ขึ้นก็ย่อมเป็นเวลาที่ดวงจันทราลาลับ ไม่มีวิธีการอื่นนอกเสียจากการเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและยืดอายุขัยออกไป
คำพูดของซูฉินทำให้องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนหน้าซีดอีกครั้ง
ซูฉินไม่เพียงซ้ำคำว่า ‘โชคชะตาคงจบสิ้นเร็วๆ นี้‘ แต่ยังเพิ่ม ‘รอวันตาย‘ เข้าไปอีก…
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“น้องชายตระกูลซูนี่ช่างน่าสนใจจริงๆ”
เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินคำพูดของซูฉิน เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับหัวเราะ
หากเป็นหลายสิบปีก่อน จักรพรรดิถังคงจะโกรธเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้จากซูฉิน แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาทรุดโทรมลงตลอดเวลา เขามองข้ามเรื่องชีวิตและความตายมานานแล้ว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จักรพรรดิถังรู้สึกเบื่อหน่ายกับการฟังคำเยินยอ แต่ตอนนี้เขากลับได้ฟัง ‘ความจริง‘ จากปากซูฉิน มันช่างเป็นความรู้สึกที่พิเศษ
ดูเหมือนว่าขณะนี้เขาไม่ได้เป็นองค์จักรพรรดิที่แบกรับชะตากรรมของคนอีกกว่าร้อยล้านชีวิตในอาณาจักรถังอีกต่อไป แต่เป็นชายชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง
“เอาจริงๆ ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นก็ได้”
“ขนาดเป็นระดับตำนานยุทธ ก็ยังมีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกไม่กี่ร้อยปีเท่านั้นเอง”
ซูฉินกล่าวตามความจริง
เช่นเดียวกับเขาตอนนี้ที่มีอายุขัยเหลือเพียงเก้าร้อยเจ็บสิบปี
แม้ว่าพวกเขาจะมีอายุขัยยืนยาวกว่าคนทั่วไปหลายสิบเท่า แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยวัยชราอยู่ดี
“ตำนานยุทธ…”
จักรพรรดิถังตะลึงเล็กน้อยแล้วยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องชายตระกูลซู”
“ด้วยความสามารถของเจ้า การให้อยู่ที่นี่ทั้งวันทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้านิดหน่อย”
“สนใจจะเข้าร่วมหน่วยแพทย์หลวงหรือไม่เล่า ข้าสามารถคุยเรื่องนี้ให้เจ้าได้ เจ้าว่าอย่างไร?”
หลังจากที่จักรพรรดิถังหัวเราะเสร็จ เขาก็ถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจังนัก
คำพูดที่กล่าวออกมา
ดวงตาขององค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็สว่างขึ้น
เห็นได้ชัดว่าคำพูดขององค์จักรพรรดิถังมีความหมายว่าต้องการจะส่งเสริมซูฉิน
หน่วยแพทย์หลวงในวังหลวงนั้นไม่ได้พ่วงอยู่กับหน่วยงานใด แต่ขึ้นตรงต่อองค์จักรพรรดิเท่านั้น ที่ผ่านมาแม้ว่ามันจะดูไม่ได้มีอำนาจมากนัก แต่สถานะของมันก็สูงส่งมาก
“ไม่เป็นไรหรอก”
ซูฉินปฏิเสธไปตรงๆ
“ได้ งั้นก็เอาตามนั้น”
จักรพรรดิถังไม่ได้บังคับซูฉิน และหลังจากพูดคุยกันต่อไม่กี่คำ พระองค์ก็ลุกขึ้นและจากไป
หลังจากที่จักรพรรดิถังเดินจากไปอย่างสมบูรณ์ องค์รัชทายาทหลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็รีบมาหาซูฉิน
“พี่สามนี่จริงๆ เลย…”
องค์รัชทายาทหลี่เชิงไม่รู้จะกล่าวว่าอะไร
ซูฉินและองค์จักรพรรดิถังพูดคุยกันด้วยท่าทีเช่นนั้น คนอื่นๆ ต่างก็กลัวกันว่าซูฉินจะโดนลากไปประหารสับหัวเป็นร้อยๆ ชิ้นหรือไม่ แต่ซูฉินกลับยังสบายดีแถมยังดูมีค่าในสายตาขององค์จักรพรรดิถังอย่างมากอีกด้วย…
…
ไม่นานนักหลังจากองค์จักรพรรดิถังจากไป
ซูฉินกำลังเดินทางกลับ
จากนั้นไม่นาน
ซูฉินก็มาถึงตำหนักชุนฝั่งขวา
“ที่นี่เป็นเพียงที่พักชั่วคราวของข้า มันคงจะดีกว่าถ้าข้าสร้างค่ายกลฟ้าดินทิ้งเอาไว้เสียหน่อยเพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าตัวข้าไม่ได้อยู่ที่นี่”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิและจมไปกับความคิด
หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ภายในวัดเส้าหลินเป็นเวลาเกือบสามสิบปี ซูฉินก็ได้รับรางวัลมาเป็นค่ายกลฟ้าดินมากมาย ค่ายกลเหล่านี้มีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป และแนวโน้มในการใช้งานก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้ซูฉินเพียงต้องเลือกหนึ่งอย่างจากค่ายกลจำนวนมากพวกนี้
“ข้าควรเลือกค่ายกลฟ้าดินประเภทใดกัน?”
ซูฉินแตะไปที่คางของตน ดวงตาของเขาแสดงอาการครุ่นคิด
“ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์นั้นไม่จำเป็น ค่ายกลชนิดนี้มักเอาไว้ใช้รวบรวมพลังฟ้าดิน มันดึงดูดความสนใจมากเกินไปและข้าก็ไม่ได้ต้องการจะใช้มันในตอนนี้…”
“ค่ายกลสะกดมารก็เป็นค่ากลประเภทที่แข็งแกร่งเกินไปอีก แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบต่อข้า แต่การอยู่ภายใต้พลังของมันเป็นเวลานานก็ทำให้เหนื่อยล้าได้…”
ค่ายกลซวูหมีเจี้ยก็ต้องใช้วัสดุในการสร้างมากเกินไป และข้าไม่สามารถรวบรวมทั้งหมดมาได้ในเวลาอันสั้น…”
แบบแปลนค่ายกลฟ้าดินจำนวนมากไหลผ่านความคิดของซูฉินไปอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดเขาก็เลือกค่ายกลอันหนึ่งมา
“ค่ายกลห้าธาตุย้อนทิศทาง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่อยู่ต่ำกว่าระดับอรหันต์หรือตำนานยุทธจะสูญเสียการรับรู้ธาตุทั้งห้า เวลาและพื้นที่จะถูกพลิกกลับ ทั้งยังเป็นค่ายกลที่ต้องการหินหยกเพียงหนึ่งร้อยยี่สิบก้อนเท่านั้น…”
——————————————————
五行 Wǔxìng ห้าธาตุตามหลักปรัชญาจีน คือ ไม้ ไฟ ดิน ทอง และน้ำ