เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 161 ใจทะเยอทะยานของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวน
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 161 ใจทะเยอทะยานของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวน
Sign in Buddha’s palm 161 ใจทะเยอทะยานของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวน
ซูฉันคิดอยู่นานแต่ก็นึกไม่ออกว่าจะมีที่ใดบนโลกบ้างที่จะคุ้มค่ากับการจับจ้องของโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ
สิ่งมีชีวิต?
เลือดเนื้อ?
สิ่งเหล่านี้อาจจะน่าพึงปรารถนาอย่างมากสําหรับปีศาจชั้นต่ํา แต่ในสายตาของตัวตนระดับราชาปีศาจหรือแม้แต่ตัวตนที่อยู่เหนือกว่าราชาปีศาจ สิ่งพวกนี้นั้นไม่นับเป็นอะไรได้เลย
ซูฉินตระหนักรู้ถึง “คัมภีร์มารเก่าวิถี” เป็นธรรมดาที่จะเข้าใจชัดเจนว่าสิ่งที่เรียกว่าปีศาจนั้นก็เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งเช่นกัน และก็มีวิธีฝึกตนคล้ายกันกับมนุษย์ เพียงแต่สถานการณ์ที่เป็นอยู่นั้นต่างกัน
และเมื่อยามที่ถ้ําปิศาจใต้พิภพได้หลอมรวมเข้ากับโลก เห็นได้ชัดว่าอาจจะเป็นฝีมือของปีศาจที่ทรงพลังบางตน หรือจะกล่าวอีกอย่างว่าแม้แต่ปีศาจที่ทรงพลังภายในโลกถ้ําปีศาจก็ยังหมายตาโลกเอาไว้
“ช่างมันเถอะ”
“ไม่ต้องไปคิดถึงมันแล้ว”
“สิ่งที่สําคัญที่สุดตอนนี้คือการเปลี่ยนแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นพลังมาร”
ซูฉินนั่งลงตั้งสมาธิแล้วมองไปรอบๆ
ในขณะที่แก่นแท้แห่งพลังของขอบเขตอรหันต์ยังคงหมุนเวียนอยู่ภายในร่างของซูฉิน ตอนแรกเขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แต่หลังจากผ่านไประยะหนึ่งเขาก็รู้สึกตัวถึงพลังกดขี่ข่มเหงที่โลกใบนี้มีต่อตัวเขา
พลังกดขี่นี้ไม่เชิงว่าเป็นการกดขี่ แต่เป็นการปฏิเสธตัวตนชนิดหนึ่ง ราวกับว่าโลกถ้ําปิศาจใต้พิภพนั้นปฏิเสธสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ได้เกิดมาในเส้นทางแห่งปีศาจ
“ฮึ่ม!”
“หากเป็นอรหันต์รูปอื่น หรือแม้แต่ยอดอรหันต์ เซียนเทพปฐพี เมื่อเผชิญกับพลังกดขี่และปฏิเสธตัวตนของเราเช่นนี้ พวกเขาคงทําได้แต่ปวดหัวหรืออาจจะถอยกลับออกไป”
“เพราะที่แห่งนี้ไม่ใช่ถิ่นกําเนิดของพวกเขา ถ้าอาศัยอยู่เป็นเวลานานความแข็งแกร่งจะลดลงเป็นอย่างมาก หากได้พบปีศาจที่อยู่ในระดับเดียวกันก็เป็นไปได้ว่าจะต้องตกตาย หายไปตลอดกาล”
“แต่ข้านั้นแตกต่าง”
ซูฉินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า และรูปปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
“ร่างทองมารพุทธะ!!”
ตึงตึง!!!
ทันใดนั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ภายในดวงตาของซูฉินก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน ฝั่งซ้ายเปลี่ยนเป็นสีดํามืด ปราณปีศาจพุ่งพรวดขึ้นมา และด้านขวายังคงเป็นสีทองเจิดจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ดูเมตตา
สิ่งนี้คือสิ่งที่ซูฉินได้รับมาจาก “มารพุทธะ” ที่เขตหวงห้ามด้านหลังวัดเส้าหลิน
ร่างทองมารพุทธะเป็นวิชาพื้นฐานของ มารพุทธะ” จากวัดเส้าหลินเมื่อเก้าร้อยปีที่แล้ว ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง พลังได้ระหว่างพลังสายพุทธและปราณปีศาจได้ตามต้องการ
หวิ่ง!!!
ซูฉินยังคงโคจรพลังของร่างทองมารพุทธะต่อไป หลังจากนั้นครู่เดียวก็จะเห็นได้ว่าพระพุทธรูปสีทองภายในส่วนลึกของดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดําสนิท ปลดปล่อยปราณปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวกระจายออกในทุกทิศทาง
ห่างจากซูฉินไปหลายสิบ
มีกลุ่มปีศาจจากเมืองเมฆาปีศาจเบิกตากว้างมองไปยังทิศ ทางหนึ่งด้วยความตกใจสุดขีด
“กลิ่นอายเช่นนี้ หรือว่าจะมีราชาปีศาจกำลังเดินทามาที่เมืองเมฆาปีศาจขอเรา…” หนึ่งในเผ่าปีศาจพึมพำอยู่กับตัวเอง ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสยดสยอง
“ราชาปีศาจ!”
“อย่างน้อยก็เป็นราชาปีศาจระดับสูง!!”
ปีศาจที่มีอายุมากกว่าคนแรกนั้นเหมือนคลื่นลมก่อตัวขึ้นภายในใจของมัน
เจ้าเมืองเมฆาปีศาจก็เป็นราชาปีศาจเช่นกัน ครอบครองดินแดนในรัศมีหลายพันลี้ ผู้ใดต่อต้านจักต้องตาย ทรงพลานุภาพไร้ขีดจํากัด
แต่ในสายตาของปีศาจสูงอายุผู้นี้ แม้แต่เจ้าเมืองเมฆาปีศาจเมื่อนําไปเทียบกับกลิ่นอายที่อยู่ไกลออกไปนี้ก็ยังด้อยก
รู้หรือไม่ว่าเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตราชาปีศาจมาหลายร้อยปีแล้ว และได้ฝึกฝนอยู่ในระดับนี้ไปจนถึงขั้นลึกล้ําแล้ว จะยกเว้นก็แต่เพียงขอบเขตราชาปีศาจระดับสูงที่มีอยู่แต่ในข่าวลือเท่านั้น กลุ่มปีศาจผู้อาวุโสเหล่านี้ ก็คิดถึงตัวตนอื่นไปไม่ได้เลยว่าใครจะสามารถสะกดกลิ่นอายของเจ้าเมืองเมฆาปีศาจได้
“เกรงว่าเมืองเมฆาปีศาจอาจจะไม่สงบอีกต่อไปแล้ว”
ปีศาจเฒ่าเหลือบมองดูปีศาจตนอื่นๆ แล้วพูดด้วยเสียงต่ํา “ข้าจะจากไปในครานี้ และจะไม่กลับมาที่นี่อีกในช่วงร้อย
“ใช่ๆ”
ปีศาจตนอื่นๆ ต่างมองหน้ากันและกัน แทบระงับความตกใจภายในหัวใจไว้ไม่อยู่ ต่างรีบตอบรับพร้อมเพรียงกัน
เหมิงหยวน
ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจีอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“การไหลของพลังฉี ในที่สุดข้าก็จับการเคลื่อนไหวของพลังฉีได้แล้ว!!”
เห็นเป็นชายร่างสูงแหงนมองขึ้นบนท้องฟ้า และคํารามก้องปล่อยรัศมีอันน่าสะพรึงที่สั่นสะเทือนไปทุกหย่อมหญ้า
ผู้คนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เมื่อเห็นฉากนี้ก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นทันที “ขอแสดงความยินดีกับท่านราชครูที่ก้าวผ่านขั้นตอนสุดท้ายไปได้ พลังของท่านช่างอัศจรรย์ ทรงพลัง แข็งแกร่งอย่างยิ่ง!”
“ขั้นตอนสุดท้าย?”
ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนหันไปมองคนสองสามคนตรงนั้นแล้วส่ายหัว ก่อนจะพูดว่า “ยังหรอก ตอนนี้ข้าเพียงรวมพลังทั้งสามให้เป็นหนึ่งได้ อาจจะใช้เวลาเป็นปีหรืออาจจะแค่ไม่กี่เดือน ข้าถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนนั้นได้จริงๆ”
น้ําเสียงของราชครูเหมิ่งหยวนแสดงถึงความสุขอันเปี่ยมล้น
เป็นเวลากว่าร้อยปีแล้วที่เขาฝึกวิทยายุทธและเฝ้ารอวันนี้ มาโดยตลอด บัดนี้ ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร?
คนไม่กี่คนที่อยู่บริเวณนั้นต่างมองหน้ากัน ท่าทีของพวกเขาก็แสดงออกว่าตื่นเต้นยินดีมากเช่นกัน
หลังจากเวลาผ่านมานานนับปี ในที่สุดก็มีตํานานยุทธกําเนิดขึ้นบนทุ่งหญ้าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตาแห่งนี้เสียที
ในเวลานั้น สีหน้าของราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนก็ค่อยๆสงบลง เขามองไปที่คนโดยรอบและพูดว่า “ไปบอกองค์จักรพรรดิว่าหลังจากนี้อีกสองปี ข้าจะไปทําความรู้จักตํานานยุทธภายในเมืองฉางอันเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย!!”
หากจักรพรรดิแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนต้องการจะครอบครองโลกใบนี้ อุปสรรคขัดขวางใหญ่ที่เป็นต้นเหตุให้ก้าวผ่านไปไม่ได้ก็คือตํานานยุทธแห่งเมืองฉางอัน มีแต่จะต้องเผชิญหน้าเท่านั้น
และตอนนี้ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนก็แทบจะรอไม่ไหวแล้ว
แม้ว่าราชครูแห่งอาณาจักรเหมิงหยวนจะไม่ทราบความกล้ําของตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน แต่เนื่องจากคู่ต่อสู้ไม่ได้ออกไปจากทวีปนี้ ความแข็งแกร่งของเขาก็ควรจะอยู่เพียงระดับนภาชั้นที่หนึ่งไม่ก็นภาชั้นที่สอง
ราชครูอาณาจักรเหมิ่งหยวนมีพลังชีวิตเลือดเนื้ออันแข็งแกร่งและฝึกฝนวิชาที่เน้นการฆ่าฟัน อีกเหตุผลคือเขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบชะตากรรมของอาณาจักรเหมิงหยวนทั้งหมด แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่อตํานานยุทธผู้นั้นก็ตาม ตัวเขาก็คงไม่มีปัญหาใดๆในการถอยหนีกลับมา
ในช่วงเวลาเดียวกัน
วังถัง พระราชวังคุนหนิง
ฮองเฮาซูเยว่หยุนกําลังจบซุปโสม ใบหน้าซีดเซียว
ช่วงนี้ซูเยว่หยุนรู้สึกไม่ค่อยสบายอยู่เสมอ นางได้ขอให้หมอหลวงมาตรวจดูอาการหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่พบสาเหตุ
ซุเยว่หยุนก็ได้แต่คาดเดาว่าเป็นเพราะฤดูหนาวปีนี้อากาศหนาวเย็นเกินไปหรือไม่
“หน้าหนาวมาอีกแล้ว…”
ซูเยว่หยุนมองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะนี้หิมะกําลังตกอย่างแผ่วเบาอยู่ด้านนอก จึงได้เอ่ยปากพูดขึ้น
“พระนาง นี่คือซุปโอสถของหมอหลวง ว่ากันว่าทําให้เลือดไหลเวียนดี ร่างกายอบอุ่นขึ้น มันจะต้องทําให้ฮองเฮารู้สึกสบายตัวขึ้นเป็นแน่”
ในขณะนี้เอง นางกํานัลก็เดินประคองถ้วยซุปถ้วยหนึ่งมาให้ซูเยว่หยุนอย่างระมัดระวัง
“จริงๆ ข้าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร”
ซูเยว่หยุนส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องรบกวนหมอหลวงให้มากนักหรอก…”
ในความเป็นจริง ไม่รู้ว่าซูเยว่หยุนต้มยานี้ดื่มไปมากมายแค่ไหนแล้วในช่วงนี้ แต่มันไม่มีผลต่อร่างกายเลย ยังคงรู้สึกอึดอัดไม่สบายเนื้อสบายตัวเหมือนเคย
“พระนาง ร่างกายของพระองค์นั้นสําคัญที่สุด…” นางกํานัลอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
แม้ว่าซูเยว่หยุนจะเป็นฮองเฮา แต่พระนางก็ใจดีต่อคนรับใช้อย่างพวกนาง ดังนั้นนางกํานัลและขันที่ภายในพระราชวังคุนหนิงจึงหวังให้อาการของซูเยว่หยุนดีขึ้นโดยเร็วที่สุด
เมื่อซูเยว่หยุนเห็นดังนั้นก็ยากที่จะปฏิเสธ
ซูเยว่หยุนหยิบซุปโอสถขึ้นมา กําลังจะดื่มมันเข้าไป
อย่างไรก็ตาม
ในตอนนั้นเอง
ใบหน้าของซูเยว่หยุนก็ซีดเผือดราวกับกระดาษ มือที่กําลังถือถ้วยซุปสั้นอยู่ตลอดเวลา
“ข้า
ซูเยว่หยุนต้องการที่จะกล่าวคํา แต่นางรู้สึกเหมือนคอของตนถูกบีบเอาไว้และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
เพล้ง
ชามซุปสมุนไพรที่ซุเยว่หยุนถืออยู่ก็พลันตกลงบนพื้นแตกเป็นเสียงๆ
เมื่อเห็นฉากนี้ นางกํานัลก็ตกใจ ใบหน้าซีดขาวด้วยความกลัว นางตื่นตระหนกและรีบตะโกนขอความช่วยเหลือทันที “ไม่ดีแล้วพระนางประชวรหนักแล้ว”