เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 198.1 รังสีแห่งคมมีด
Sign in Buddha’s palm 198 (1) รังสีแห่งคมมีด
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ โดยมีรอยยิ้มแขวนประดับอยู่บนใบหน้า
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ซูฉินไม่เพียงแต่ทําให้อาณาเขตที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่นั้นมั่นคง แต่ยังตรวจสอบความสามารถของอาณาเขตของตนไปด้วย
นี่เป็นสิ่งที่อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดเท่านั้นที่มีความหวังจะจับจุดวิธีการต่างๆ ได้ อาณาเขตนั้นทําได้มากกว่าการสังหารศัตรู
อย่างน้อยตอนนี้ซูฉินก็ได้ใช้เวลาศึกษาพิจารณาดูจนพบว่าอาณาเขตมีความสามารถอื่นๆ เช่น การป้องกัน การปกปิด และยังช่วยชีวิตผู้คนได้ด้วย
นอกจากนี้ ซูฉินยังพบว่า หากเขาต้องการจริงๆ อาจจะขยายขอบเขตออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยจ้างได้
ระยะหนึ่งร้อยจ้างเป็นเพียงรัศมีที่ซูฉินควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ภายในร้อยจ้างนี้ ซูฉินเป็นนายเหนือหัว มีอํานาจทุกสิ่งอย่าง
แต่เมื่อขยายขอบเขตออกไปเกินกว่าหนึ่งร้อยจ้าง การควบคุมของซูฉินจะลดลง
พูดอย่างง่ายๆ หากตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดคนใดตกอยู่ในอาณาเขตของซูฉินในระยะร้อยจ้าง มันผู้นั้นจะไม่สามารถหยิบยืมพลังจากรอบด้านได้ และถูกซูฉินสังหารอย่างแน่นอน ไม่มีทางหนีพ้น
อย่างไรก็ตาม หากซูฉินขยายอาณาเขตให้ไกลออกไปหลายพันจ้าง แม้ตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ดเข้ามาในเขตแดน แน่นอนว่าถูกจํากัดพลังไปมาก แต่ก็ไม่ถึงกับไร้หนทางดิ้นรน
อย่างน้อยก็ต่อสู้ได้สักหลายกระบวนท่า
“ต่อจากนี้ นอกจากฝึกฝนบ่มเพาะ ข้ายังจะต้องบีบอัดพลังฟ้าดินต่อไป เติมพลังงานให้กับอาณาเขต สร้างพื้นที่ให้กว้างใหญ่ ครอบคลุมพื้นที่ให้มากขึ้น”
ในใจของซูฉินเต็มไปด้วยความคิดที่จะทําหลายสิ่งมากมายเต็มไปหมด
ในขอบเขตพลังของเขา แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะไม่ชัดเจน แต่ก็ยังพอรู้วิธีที่จะไปต่อ
แน่นอนว่าสําหรับตํานานยุทธส่วนใหญ่ การที่พวกเขารู้วิธีที่จะเดินไป กับการเดินไปถึงจริงๆ เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ตัวอย่างเช่น ขุนนางระดับเก้าในราชวงศ์ถังรู้ว่าจะต้องทํางานอย่างหนักหน่วงให้กับอาณาจักรถัง หรือแม้แต่ประจบสอพลอเลียแข้งเลียขาเพื่อขึ้นสู่ตําแหน่งขุนนางระดับ
สาม
แต่จะมีขุนนางระดับเก้าภายในราชสํานักสักกี่คนที่สามารถปีนป่ายขึ้นไปถึงตําแหน่งขุนนางระดับสามได้?
การฝึกวิทยายุทธนั้นยากเย็นแสนเข็ญ โดยเฉพาะขอบเขตตํานานยุทธยิ่งยากขึ้นไปอีก
เพียงแค่รู้วิธี ใช่จะไปถึง
อาจมองเห็น แต่สัมผัสไม่ได้
“บิดด่านฝึกตนต่ออีกสักสองเดือน”
ซูฉินพร้อมที่จะทําความคุ้นเคยกับพลังของอาณาเขตต่ออีกครั้ง ยังไม่รีบร้อนจะออกไปไหน
อย่างไรเสียตอนนี้เมืองฉางอันก็มีหร่วนชิง ตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามคอยดูแล ย่อมไม่มีปัญหาใดเกิดขึ้น ซูฉินจึงปิดด่านฝึกตนได้อย่างมีความสุข
ขณะที่ซูฉินอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตน
จักรพรรดิถังอยู่ในท้องพระโรงตําหนักไท่จี๋ กําลังหารือกิจการภายในอยู่กับเหล่าขุนนาง
ฉับพลัน
ทหารรักษาพระองค์ก็รีบวิ่งเข้ามาและเข้าไปกระซิบที่ด้านข้างของจักรพรรดิถัง
“อะไรนะ?”
ใบหน้าของจักรพรรดิถังเปลี่ยนไปอย่างมาก
ในตอนนั้นจักรพรรดิถังก็เพิกเฉยต่อการประชุมในทันทีแล้วรีบเดินออกจากตําหนักไท่จี๋ มาที่ส่วนหน้าของวังหลวง
“พวกเขา?”
สีหน้าของจักรพรรดิถังบิดเบี้ยว
เห็นหกร่างยืนอยู่บนท้องฟ้า ร่างทั้งหกนั้นเปรียบประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าสรรพชีวิตทั้งมวล มองสิ่งมีชีวิตอื่นจากเบื้องบน มองลงมาเห็นเมืองฉางอัน เห็นองค์จักรพรรดิ
“พวกเขาเป็นใครกัน?”
จักรพรรดิถังสูดหายใจลึก ถามด้วยเสียงต่ำ
“ฝ่าบาท แม่ทัพผู้นี้ก็มิทราบเช่นกัน” แม่ทัพแห่งวังหลวงที่อยู่ด้านข้างดูเคร่งเครียด สงบคําไปชั่วครู่ก่อนจะกระซิบต่อไปว่า “อย่างไรก็ตาม คนเหล่านี้น่าจะเป็นตํานานยุทธกันทั้งหมด”
มีเพียงตํานานยุทธเท่านั้นที่สามารถควบคุมคลื่นลมได้
ดังนั้น แม้แม่ทัพแห่งวังหลวงจะไม่อาจหยั่งถึงพลังของทั้งหกร่างที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าคู่ต่อสู้นั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งในระดับตํานานยุทธ
เมื่อแม่ทัพกล่าวออกมาเช่นนั้น
ใบหน้าของจักรพรรดิถังก็ซีดลงในทันที
ตามปกติ การปรากฏตัวของตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็ทําให้ทั้งโลกต้องสั่นสะเทือนแล้ว แต่ตอนนี้มีถึงหกคนที่มาอยู่ในเมืองฉางอันตอนนี้
จะให้จักรพรรดิถังสงบใจลงได้อย่างไร
“ฝ่าบาท คนทางซ้ายสุดควรจะเป็นอดีตเจ้าสํานักสังหารโลหิต” ดูเหมือนแม่ทัพแห่งวังหลวงจะค้นพบบางสิ่งแล้วจึงกระซิบไปที่ข้างพระกรรณอย่างรวดเร็ว
เมื่อจักรพรรดิถังได้ยินสิ่งนี้ สายตาของพระองค์ก็เพ่งไปที่ด้านซ้ายในทันที และเห็นร่างที่สวมชุดคลุมสีแดงยืนอยู่บนนภากาศ
“มีปัญหาแล้ว”
จักรพรรดิถังรู้สึกเย็นเยียบในหัวใจ
หากไม่มีบรรพบุรุษสังหารโลหิตก็พอจะคิดได้ว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ตํานานยุทธทั้งหกอาจจะผ่านทางมาและแวะดูอะไรไปตามเรื่องตามราว
แต่ตอนนี้
จักรพรรดิถังเหมือนหล่นลงไปในก้นเหวลึก
“ฝ่าบาท”
“เราจะทําเช่นไรกันต่อดี?”
แม่ทัพกล่าวถามเสียงแผ่ว
“รอก่อน”
จักรพรรดิถังรู้สึกไร้ซึ่งอํานาจ “รอดูว่าพวกเขาจะทําอะไรกันต่อไป”
พวกเขาจะทําอะไรได้อีกนอกจากรอ?
ตํานานยุทธทั้งหกนั้นยืนอยู่บนอากาศ กองทัพธรรมดาไม่สามารถแตะต้องได้ นับประสาอะไรกับการนําคนเข้าห้องล้อมปราบปราม
แม้จะมีคันธนูและหน้าไม้มากมายเก็บไว้ในเมืองฉางอัน แต่ใครจะกล้าเอามาใช้กับตํานานยุทธทั้งหกคนเช่นนี้ ?
เมื่อใช้ธนูหรือหน้าไม้จริงๆ ก็เท่ากับเป็นการฉีกหน้าตํานานยุทธทั้งหก หากอีกฝ่ายต้องการจะฆ่าสังหารหมู่ ใครเล่าจะหยุดยั้งได้?
ตํานานยุทธเพียงหนึ่งคนก็รับมือกองทัพนับล้านได้แล้ว นี่มีถึงหก!
และในตอนนั้นเอง
เหนือฟากฟ้า
ศิษย์จากนิกายใหญ่จากต่างแดนดูจะเบื่อหน่ายกับสภาพภายในเมืองฉางอันเบื้องล่าง
“มีระดับนภาชั้นที่สามอยู่ น่าจะเป็นตํานานยุทธภายในเมืองฉางอัน” ชายชุดเขียวที่กําลังถือดาบ พูดออกมาเบาๆ
“นภาชั้นที่สาม?”
“น่าอัศจรรย์”
นักพรตในชุดคลุมลัทธิเต๋าพยักหน้าเล็กน้อย
การที่จะก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธในทวีปที่แห้งแล้งเช่นนี้ หรือก้าวเข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่สามนั้น บ่งบอกได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือความสามารถล้วนอยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด
“น่าเสียดายที่เข้าสู่ขอบเขตตํานานยุทธไปแล้ว รากฐานถูกวางไว้หมดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่นิกายของข้าได้” ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดํากล่าวขึ้นมา
“เอาล่ะ เราควรจะทําเช่นไรในตอนนี้ ลงมือปราบโดยตรงเลยหรือไม่?” ชายที่ท่าทางดุดันกล่าวอย่างไม่ค่อยจะพอใจนัก
“ลงมือปราบโดยตรง?”
หญิงชุดขาวปรายตามาอย่างเยือกเย็น คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเปิดปากพูดว่า “แจ้งพวกเขาให้รู้ก่อน ถ้าหากปฏิเสธล่ะก็ คงจะไม่สายเกินไปที่จะสังหารเสีย”
ปิงหลิงเป็นเทพธิดาในยุคปัจจุบันของตําหนักเทพเจ้าหิมะซึ่งเป็นนิกายใหญ่ในต่างแดน หากไม่มีเหตุผิดพลาด นางจะกลายเป็นเจ้าตําหนักเทพเจ้าหิมะในอนาคต เป็นผู้มีตําแหน่งสูงสุดในนิกาย
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น”
“ก็ลงไปพูดคุยสักหน่อย”
ชายที่ดูเย็นชาในชุดคลุมสีดําเหลือบมองไปทางบรรพบุรุษสังหารโลหิตที่อยู่ริมสุด
ถ้าเทียบด้วยสถานะและตัวตนกันแล้ว บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาเลย
ไม่ว่าจะเป็นชายชุดดําหรือคนอื่นๆ ล้วนเป็นบุตรแห่งสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจของนิกายทั้งสิ้น
สําหรับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธธรรมดาๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งจะถึงระดับนภาชั้นที่สาม
แต่ถ้าหากงานนี้มิต้องการคนนําทาง
และบรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่ใช่คนที่มาจากทวีปนี้ พวกเขาย่อมไม่ร่วมเดินทางมากับบรรพบุรุษสังหารโลหิตเช่นนี้
“ขอรับ”
หารโลหิตกล่าวด้วยความเคารพ
ไม่ช้า
บรรพบุรุษสังหารโลหิตก็ก้าวเท้าออกไปและปรากฏตัวอีกทีอยู่บนกําแพงเมือง
“เจ้านายของข้าได้ให้ทางเลือกสองทางแก่อาณาจักรถัง” บรรพบุรุษสังหารโลหิตมองไปที่จักรพรรดิถังและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าวต่อ “หนึ่งคือยอมจํานน และอีกทางคือยอมจํานนหลังจากถูกผู้ยิ่งใหญ่ปราบปราม คิดให้ดี ข้าจะให้เวลาครึ่งชั่วยาม ก่อนที่จะกล่าวตอบ”
บรรพบุรุษสังหารโลหิตไม่แม้แต่จะมองไปที่จักรพรรดิถัง จากนั้นจึงหันหลังเดินจากไป
[1] หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ฉะนั้นครึ่งชั่วยามเท่ากับหนึ่งชั่วโมง มาจากการแบ่งช่วงเวลาแบบจีนโบราณ จะแบ่งยามกลางวันและยามราตรีรวมทั้งวันออกเป็นสิบสองส่วน ส่วนละสองชั่วโมง โดยช่วงยามแรกจะเริ่มที่ห้าทุ่มไปจนถึงตีหนึ่ง ไล่ไปทีละสองชั่วโมงจนกลับมาถึงห้าทุ่มอีกครั้ง