เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 20
Sign in Buddha’s palm 20 จิ่วชื่อซานเหริน
“[ดวงตาแห่งสัจจะ] ช่างน่ากลัวยิ่งนัก!”
ผ่านไปครู่หนึ่งซูฉินก็ลืมตาแล้วร้องอุทานออกมา
ตามที่ระบบบอกมา [ดวงตาแห่งสัจจะ] ไม่ใช่อาคมเวทที่ใช้โจมตี แต่มันเป็นอาคมที่เอนเอียงไปทางอาคมส่งเสริมเสียมากกว่า
ด้วย [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินสามารถมองทะลุผ่านสิ่งปลอมเปลือกและตรวจสอบอันตรายได้อย่างง่ายดาย
มากไปกว่านั้น [ดวงตาแห่งสัจจะ] ยังมีความสามารถที่น่ากลัวในการตรวจจับกำลังภายใน หมายความว่าตราบเท่าที่ซูฉินเคยเห็นพลังภายในของใครคนหนึ่ง แม้ว่าคนคนนั้นจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยลี้ ซูฉินก็ยังสามารถจับตำแหน่งของคนผู้นั้นได้
แน่นอนว่า [ดวงตาแห่งสัจจะ] ดึงดูดใจของซูฉินเป็นที่สุด มันเป็นอาคม เป็นเหมือนกับพลังวิเศษ
‘อาคม‘ คืออะไร
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือวิชาลับ ของพวกนั้นจำต้องใช้กำลังภายในไม่ก็พลังชีวิตในการขับเคลื่อน แต่ถึงจะเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็ไม่ได้มีกำลังภายในไร้ขีดจำกัด หมายความว่าการออกกระบวนท่าย่อมมีขีดจำกัด
สำหรับเลือดเนื้อและพลังชีวิตสิ่งนี้ยิ่งเป็นความจริงและเห็นได้ชัดมากขึ้นไปอีก
เพราะว่าในการจ่ายพลังชีวิตออกไป แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยามเมื่อใช้ออก ความแข็งแกร่งก็มีแต่จะลดลง
แต่อาคมนั้นแตกต่าง
อาคมเหมือนกับสัญชาตญาณของคนเรา เหมือนกับการหายใจ มันไม่จำเป็นต้องใช้พลังอะไรในการจ่ายออกไป
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ถ้าซูฉินต้องการ เขาสามารถใช้ [ดวงตาแห่งสัจจะ] นานถึงวันละสิบสองชั่วโมงเลยก็ได้
สำหรับซูฉิน [ดวงตาแห่งสัจจะ] ก็เหมือนกับการกินดื่มที่ทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไร
“ตามข่าวลือที่ได้ฟังมา เมื่อจอมยุทธชาวพุทธคนไหนที่มีศรัทธาความเชื่ออย่างแรงกล้า บางทีก็จะให้กำเนิดพลังเหนือธรรมชาติหรืออาคมขึ้นมา เช่น [รู้วาระจิต], [ทิพยจักษุ]….”
ความคิดของซูฉินหมุนเร็วจี๋
“ต้องทดสอบความสามารถของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] เสียหน่อย”
ซูฉินนั่งลงสงบใจ
ทันใดนั้น
ดวงตาของซูฉินกลายเป็นเย็นยะเยือก สิ่งที่เห็นได้ด้วยตาชัดเจนไปหมด ทะลุปรุโปร่งไม่มีจุดมืดบอด
นอกจากนั้น
ซูฉินรู้สึกได้จางๆ ถึงกลุ่มพลังภายในนับไม่ถ้วนจากทั่วทุกทิศทาง ไม่ว่าพลังภายในเหล่านั้นจะอยู่ใกล้หรือไกล แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขาหมด
“ไม่เลวเลย”
ซูฉินกลอกตามองไปยังร่างของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งซึ่งแน่นิ่งอยู่ไม่ไกล
ด้วยความสามารถของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินยืนยันได้ทันทีว่ายอดปรมาจารย์ผู้นี้ตายไปแล้วจริงๆ
แล้วเขาก็ไม่ได้ทำอะไรหรือวางกับดักใดไว้ใกล้กับศพ
ในขณะที่มองไปนี้เองซูฉินก็พบว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนนี้กำหนังสัตว์ม้วนหนึ่งไว้แน่น
ซูฉินง้างนิ้วของชายผู้นี้ออกแล้วม้วนหนังสัตว์นั้นก็ร่วงลงมา
เขาเก็บม้วนหนังสัตว์แผ่นนั้นขึ้นมาดู
“ข้าฝึกวิทยายุทธมาตั้งแต่อายุแปดขวบและท่องไปทั่วยุทธภพ เข้าสู่สามระดับบนตอนอายุสามสิบแปดแล้วก็กลายมาเป็นระดับชั้นที่หนึ่งยามเมื่ออายุย่างเข้าเจ็ดสิบเก้าปี หลังจากผ่านไปร้อยปีข้าก็ยังติดอยู่ที่ระดับชั้นที่หนึ่ง ข้าเสียใจยิ่งนักที่ไม่ได้สัมผัสแม้แต่จุดคอขวดของระดับตำนานยุทธ…”
บันทึกหนังสัตว์เล่มนี้น่าจะเป็นเรื่องราวในชีวิตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งผู้นี้
มันรวมไปถึงประสบการณ์วัยเด็ก ความปีติยินดีหลังจากกลายเป็นจอมยุทธ และความโดดเดี่ยวยามขึ้นไปยืนอยู่บนผาสูงที่เรียกว่าระดับชั้นที่หนึ่ง
ปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งผู้นี้มีนามว่า จิ่วชื่อซานเหริน แม้ว่าเขาจะไม่มีพ่อมีแม่ แต่พรสวรรค์ในด้านการฝึกยุทธของเขาก็สูงมาก ใช้เพียงคัมภีร์เคล็ดวิชาที่ไม่สมบูรณ์ไม่กี่เล่มที่เขาเก็บมาได้ นำมาพัฒนาความแข็งแกร่งด้านกำลังภายในของเขา
หลังจากนั้นเขาทะยานขึ้นสู่หมู่เมฆ ภายในเวลากว่าเจ็ดสิบปี เขาก้าวกระโดดและเข้าสู่การเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง
เมื่อตอนที่เขากลายมาเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งและยืนอยู่จุดบนสุดของยุทธภพช่วงแรกๆ จิ่วชื่อซานเหรินค่อนข้างสุขสันต์ ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ ถึงกับไปเรียนรู้เปรียบเทียบฝีมือกับยอดปรมาจารย์ท่านอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง
แต่เมื่อเขาอายุได้หนึ่งร้อยปี จิ่วชื่อซานเหรินก็เริ่มตื่นตระหนก
เพราะถึงแม้ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะมีช่วงชีวิตที่ยืนยาวกว่าคนทั่วไป แต่ขีดจำกัดมันก็อยู่แค่สองร้อยปี
หากเขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาว มีเพียงทางเดียวคือเขาก็ต้องข้ามขอบเขตไปอีกขั้นแล้วก้าวเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับมรดกนับพันปีของวัดเส้าหลินและการปรากฏตัวของ ‘อรหันต์‘ ตัวเป็นๆ เพื่อแสวงหาความก้าวหน้า ข้าจึงหลบซ่อนตัวอยู่ในวิหารพระสหัสพุทธ คิดหาวิถีทางทั้งวันทั้งคืน”
“ในวัยร้อยเจ็ดสิบปี กำลังภายในและกายเนื้อของข้าถูกบ่มเพาะขัดเกลาจนถึงขีดสุด แต่คอขวดในการไปยังระดับตำนานยุทธก็ยังไม่ปรากฏเงื่อนงำออกมาให้เห็น”
“ทำเช่นไรจึงจะตัดผ่านไปยังระดับตำนานยุทธ? พวกคนในอดีตนั้นทำเช่นไรกันถึงตัดผ่านขั้นนี้ได้?”
…
ยิ่งอ่านไปถึงข้อความหลังๆ มากเท่าไร ก็ยิ่งมีการขีดเขียนไว้ด้วยลายมือมากมายขึ้นไปอีก ตัวหนังสือพวกนั้นเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมและสิ้นหวังอย่างท่วมท้นในทุกๆ คำ
แม้แต่ซูฉินเองก็เงียบไป
“จิ่วชื่อซานเหรินน่าจะแทรกซึมเข้ามาเมื่อหกสิบปีก่อน เวลานั้นเป็นช่วงที่สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์รูปสุดท้ายของวัดเส้าหลินมรณภาพพอดี หลังจากนั้นก็ไม่มีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์กำเนิดขึ้นมาอีก เขาจึงสามารถซ่อนตัวมาได้จนถึงปัจจุบันนี้”
ซูฉินถอนลมหายใจ
ทั่วทั้งยุทธภพ แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะหายาก แต่ก็จะมีพวกเขาเกิดขึ้นมามากมายในแต่ละยุคสมัย
แต่สำหรับตำนานยุทธหรืออรหันต์ การจะกำเนิดขึ้นมาแต่ละครั้งอาจจะมีแค่สักคนในหนึ่งยุคสมัย หรือแม้แต่น้อยกว่านั้น
ซูฉินไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นอย่างไร
แต่อย่างน้อยที่วัดเส้าหลิน ตั้งแต่อรหันต์องค์สุดท้ายผู้สะกดมารพุทธะเมื่อเก้าร้อยปีก่อนได้มรณภาพไปก็ไม่มีพระรูปไหนเข้าถึงระดับอรหันต์อีกเลย
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้สืบทอดของ ‘มารพุทธะ‘ ที่จะมาในทุกหนึ่งร้อยปีนั้นฉุดรั้งฐานความแข็งแกร่งของเส้าหลินลงอย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังแสดงให้เห็นอยู่ว่าการไปถึงระดับอรหันต์นั้นยากเย็นเพียงไร
“ในอนาคต ข้าจะเป็นเหมือนกับจิ่วชื่อซานเหรินหรือไม่นะ? จะต้องตายไปอย่างโดดเดี่ยว ทำได้แค่เพียงรอความตายแบบนี้น่ะหรือ?”
ซูฉินขมวดคิ้วหม่นลงเล็กน้อยเมื่อความคิดนี้เข้ามาอยู่ในหัว
แต่ก็เท่านั้น
ทันทีที่เกิดความคิดเหล่านั้นขึ้น ซูฉินก็โยนมันทิ้งไป
เพราะจิ่วชื่อซานเหรินนั้นไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับตัวของเขาได้
ซูฉินมีระบบอยู่ มันสามารถลงชื่อแล้วรับสมบัตินับไม่ถ้วน ด้วยสิ่งนั้นเขาสามารถเข้าถึงระดับตำนานยุทธได้แน่
นอกจากนี้ตัวจิ่วชื่อซานเหรินยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนจึงไม่สามารถพัฒนาต่อไปแม้จะถึงยามสุดท้ายของชีวิต
แต่ในสายตาของซูฉิน จิ่วชื่อซานเหรินนั้นกำลังเดินผิดทาง
จิ่วชื่อซานเหรินใช้เวลามากกว่าร้อยปีเพื่อขัดเกลากายเนื้อและกำลังภายใน แต่ความเป็นจริง ถ้าต้องการเข้าสู่ระดับตำนานยุทธ นอกเหนือไปจากการบ่มเพาะกายเนื้อและกำลังภายในแล้ว ยังต้องการความสมบูรณ์ของ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘
‘พลังศักดิ์สิทธิ์!’
เลือดเนื้อ!
กำลังภายใน!
ทั้งสามต้องมาร่วมกัน ถ้าขาดอย่างใดไปสักหนึ่งอย่าง ความหวังในการเห็นคอขวดก็ริบหรี่เหลือเกิน
นอกจากสิ่งเหล่านี้ ซูฉินเพิ่งได้รับ [ดวงตาแห่งสัจจะ] มา และมันไม่ได้ใช้เพียงเพื่อสำรวจสิ่งแปลกปลอมอื่น แต่ยังสามารถสำรวจภายในตนได้อีกด้วย
ภายใต้การตรวจสอบของ [ดวงตาแห่งสัจจะ] ซูฉินสามารถควบคุมและนำทางเลือดเนื้อพลังชีวิต กำลังภายใน และพลังศักดิ์สิทธิ์ให้ไปถึงระดับสูงสุดได้
ซูฉินสามารถรู้ถึงข้อบกพร่องภายในตนเองได้อย่างชัดเจน
[ดวงตาแห่งสัจจะ] แม้จะไม่ได้ช่วยเหลือซูฉินโดยตรง แต่ก็ช่วยชี้ให้เห็นทิศทางที่จะแก้ไขข้อบกพร่องได้
นี่เหมือนกับของขวัญชิ้นพิเศษที่ได้มาจากการลงชื่อรับของรางวัล
“การมาเยือนวิหารพระสหัสพุทธในคราวนี้เป็นทางเลือกที่ถูกต้องอย่างแท้จริง”
“ถ้าไม่มี [ดวงตาแห่งสัจจะ] แน่นอนว่าข้าย่อมมั่นใจว่าจะไปถึงระดับตำนานยุทธ แต่ทางที่ไปย่อมต้องคดเคี้ยววกวนเป็นแน่”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
เขามองไปยังศพของจิ่วชื่อซานเหริน “ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าจะรับความตั้งใจของเจ้าเอาไว้เอง และจะเดินไปยังถนนที่เจ้าไม่เคยก้าวผ่าน จะไปดูทิวทัศน์ที่เจ้าไม่เคยมองเห็น”
หลังจากนั้นซูฉินก็วางหนังสัตว์แผ่นนั้นไว้ที่เบื้องหน้าของจิ่วชื่อซานเหริน แล้วหมุนตัวจากไป
ส่วนร่างของจิ่วชื่อซานเหริน ซูฉินไม่ได้สนใจและไม่ได้ไปแตะต้อง
วิหารพระสหัสพุทธเป็นพื้นที่หวงห้ามของวัดเส้าหลิน นานๆ ทีถึงจะมีศิษย์ที่ได้รับหน้าที่พิเศษให้เข้ามาทำความสะอาดภายในสักครั้ง
แน่นอนว่ายามเมื่อจิ่วชื่อซานเหรินยังมีชีวิตอยู่ ศิษย์ที่เข้ามาย่อมไม่มีความสามารถพอที่จะหาเขาพบ
แต่ตอนนี้จิ่วชื่อซานเหรินได้ล่วงลับไปแล้ว ศพก็อยู่ที่นี่ เมื่อมีศิษย์วัดเข้ามาทำความสะอาดในครั้งถัดไปย่อมจะพบเห็นสิ่งนี้เป็นธรรมดา
เมื่อถึงตอนนั้นเดี๋ยววัดเส้าหลินก็จะจัดการกับศพของจิ่วชื่อซานเหรินเอง