เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 236 (1) ท่านผู้ยิ่งใหญ่
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 236 (1) ท่านผู้ยิ่งใหญ่
Sign in Buddha’s palm 236 (1) ท่านผู้ยิ่งใหญ่
“จักรพรรดิมารร้าย?”
ท่าที่ของเฉียนขู่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และหันมองรอบข้างอย่างระมัดระวัง กําลังภายในยังคงรั้งไว้อยู่ภายในร่าง เห็นได้ชัดว่าเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด
แม้ว่าเฉียนขู่จะเป็นศิษย์วัดเส้าหลินรุ่น “เฉียน” ซึ่งอยู่ห่างจากยุคที่จักรพรรดิมารร้ายอาละวาดไปทั่วโลกกว่าหลายสิบปี แต่เขาก็เคยได้ยินเกี่ยวกับปรมาจารย์ฝั่งอธรรมผู้ชั่วร้ายอย่างไม่มีใครเสมอเหมือนผู้นี้มาก่อน
เจ็ดสิบปีก่อนหน้านี้จักรพรรดิมารร้ายก็เป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่แล้ว เกือบจะแตะระดับของการแปรสภาพพลัง กว่าเจ็ดสิบปีที่ผ่านมาอย่างน้อยเขาก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดและมีการแปรสภาพพลังมากกว่าหนึ่งครั้ง อาจจะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งที่แปรสภาพพลังสองหรือระดับชั้นที่ หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่แปรสภาพพลังครบสามครั้ง
แม้ว่าเฉียนขู่จะมั่นใจในตนเองมาก แต่เดิมวิชาในวิถีพุทธนั้นสามารถยับยั้งความชั่วร้ายทั้งปวง แต่การยับยั้งนั้นก็ต้องมีเหตุที่เอื้ออํานวย
น้ําสามารถยับยั้งไฟ แต่หยดน้ําจะดับกองเพลิงได้อย่างไร?
และในตอนนี้เฉียนขู่ก็กําลังเผชิญกับสถานการณ์เดียวกันนี้ จักรพรรดิมารร้ายทรงพลังเกินไป เว้นแต่เฉียนขู่จะก้าวหน้าขึ้นเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถต้านทานจักรพรรดิมารร้ายได้
อย่างไรก็ตาม แม้เฉียนขู่จะรู้ว่ามันหนักหนาสาหัส แต่เขาก็ไม่มีความกลัวใดๆ ภายในใจเขายังคงมีดาบไม้ที่ซุฉินทิ้งไว้ ห้อยคอเอาไว้อยู่
ดาบไม้นี้มีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินอยู่ ย้อนกลับไปในตอนที่เฉียนขู่ถูกลอบสังหารโดยยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันเป็นดาบไม้ด้ามนี้ที่ช่วยชีวิตเอาไว้ และผ่ายอดปรมาจารย์ออกเป็นสองท่อน
เมื่อเทียบกับความกดดันที่เฉียนขี่ได้รับ จอมยุทธที่เฝ้าดูพื้นที่ต่อสู้อยู่ต่างก็เข้าสู่สภาวะตื่นตระหนกกันอย่างสมบูรณ์
“จักรพรรดิมารร้าย?”
“ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิมารร้ายอยู่ในช่วงปิดด่านฝึกตนหรอกหรือ?”
“ไม่แปลกใจเลย ข้าก็สงสัยอยู่ว่าทําไมยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่จึงไม่กระจายตัวกันหลบหนี กลายเป็นว่าเขาจงใจนําทางสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เฉียนขี่มาที่นี่…”
จอมยุทธหลายคนหน้าซีดเผือดโดยเฉพาะราชาดาบชิงเฉิง ที่แสดงความกลัวออกมาทางสีหน้า จอมยุทธคนอื่นๆอาจจะรู้จักแค่ความน่ากลัวของจักรพรรดิมารร้าย แต่ราชาดาบชิงเฉิงรู้ดีว่าถึงแม้จักรพรรดิมารร้ายจะออกมาจากด่านฝึกตน แต่อายุขัยของเขาใกล้ถึงขีดจํากัดแล้ว เลือดเนื้อก็แห้งเหี่ยว บางทีหลังจากสังหารเฉียนขู่แล้ว เขาอาจจะใช้วิชามารทําลายจอมยุทธทุกคนในที่แห่งนี้ ดูดกลืนโลหิตเพื่อชดเชยพลังที่สูญเสียก็เป็นได้
เมื่อจอมยุทธเจ็ดสามานย์และยอดปรมาจารย์อีกสามคนของฝ่ายอธรรมเห็นฉากนี้ รอยยิ้มเริงร่าก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกมัน จอมยุทธฝ่ายอธรรมแทบจะไม่ต่างไปจากเหล่ามารร้าย หรือบางทีอาจจะเลวร้ายกว่าเหล่ามารร้ายก็เป็นได้
มีพรรคมารอยู่แห่งหนึ่งที่เดินทางในวิถีมารซึ่งอย่างน้อยก็มีหลักการบางอย่างที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เรียกว่าพรรคมารนั้นก็ถูกทําลายจนสิ้นด้วยน้ํามือของผู้ทรงสมณศักดิ์จากวัดเส้าหลินตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว
แต่วิถีอธรรมนั้นเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ทุกคนป่าเถื่อน โห่ร้องใฝ่หาการต่อสู้
ทําเช่นไรก็ได้ให้ยุทธภพหวาดกลัว? เพียงแค่ได้ยินชื่อก็หวาดกลัวออกมาจากหัวใจ?
“ขอเชิญผู้อาวุโสจักรพรรดิมารร้าย โปรดปลุกวิถีแห่งอธรรมของพวกเราให้รุ่งโรจน์!”
จอมยุทธเจ็ดสามานย์และยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมที่เหลือต่างตะโกนอีกครั้ง คลื่นเสียงแผ่กระจายออกไปหลายลี้ ลมปราณที่พุ่งออกมาไม่ธรรมดา
อย่างไรก็ตาม
ชั่วครู่ถัดมา ท่าทีของยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เพราะพวกเขาตะโกนติดต่อกันหลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นจักรพรรดิมารร้ายปรากฏตัว?
“เกิดอะไรขึ้น?”
จิตใจของจอมยุทธเจ็ดสามานย์ตื่นตระหนก
เป็นเพราะการดํารงอยู่ของจักรพรรดิมารร้าย เขาจึงกล้าชักนําเฉียนขู่ให้มาที่นี่และรวมพลังกับยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมอีกสามคนเพื่อปิดล้อม
ทําให้ต้องตกอยู่ภายใต้พลังของฝามือเมตตาแผ่ไพศาลของเฉียนขู่จนได้รับบาดเจ็บ
ถ้าไม่ใช่เพราะมีการสนับสนุนจากจักรพรรดิมารร้าย ด้วยวิสัยระมัดระวังของจอมยุทธเจ็ดสามานย์ ควรจะหลบหนีไปเป็นหมื่นลี้แล้ว กล้าดีอย่างไรมาสู้รบพัวพันกับเฉียนขู่ ยอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรม อีกสามคนก็ล้วนมีพื้นฐานแนวคิดเช่นนี้เช่นเดียวกัน
“ขอเชิญผู้อาวุโสจักรพรรดิมารร้าย โปรดปลุกวิถีแห่งอธรรมของพวกเราให้รุ่งโรจน์!”
ภายในโรงเตี้ยม
สีหน้าของเจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนเปลี่ยนไปอย่างมาก ราวกับค้นพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้?!”
“ไอพลังปราณของจักรพรรดิมารร้ายหายไปกับอากาศ?”
เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนกลืนน้ําลายลงคอ
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่เทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้าย แต่เขาสามารถสัมผัสไอพลังของจักรพรรดิมารร้ายได้อย่างแผ่วเบาด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตัวเขา แต่ตอนนี้กลับสังเกตได้ว่าไอพลังของจักรพรรดิมารร้ายได้หายไปอย่างสมบูรณ์
“คุณชาย จักรพรรดิชั่วร้ายหนีไปแล้วหรือ?” บัณฑิตที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ท้ายที่สุดเฉียนขู่ก็เป็นศิษย์วัดเส้าหลินและจักรพรรดิมารร้าย อาจจะเกรงกลัววัดเส้าหลินและเปลี่ยนใจกลางคันก็เป็นได้
“หนีไปแล้ว?”
เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนดูไม่มั่นใจ
ด้วยความแข็งแกร่งในระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ของจักรพรรดิมารร้าย กลับวิ่งหนีการต่อสู้กับเฉียนขู่ที่เป็นเพียงยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง มันไร้สาระอย่างยิ่ง!
เกรงกลัววัดเส้าหลิน?
หากจักรพรรดิมารร้ายยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายสิบปีก็พอจะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้อายุขัยของจักรพรรดิมารร้ายเหลืออีกเพียงไม่กี่ปี เขาจะกลัววัดเส้าหลินไปทําไม?
ทั้งนี้ สิ่งที่ทําให้เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนรู้สึกเหลือเชื่อไปกว่านั้นคือ
ไอพลังปราณที่หายไปของจักรพรรดิมารร้าย ไม่ใช่การค่อยๆหายไปที่ละน้อยจากใกล้ไปไกล แต่เหมือนกับการหายตัวไปอย่างกะทันหัน ราวกับออกจากเขาคุนหลุนไปในชั่วพริบตาเดียว
แต่สิ่งนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร?
จักรพรรดิมารร้ายเป็นเพียงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์เท่านั้น ไม่ใช่ตํานานยุทธเสียหน่อยจะมีความเร็วขนาดนั้นได้เช่นไร?
ขณะที่เจ้าของโรงเตี้ยมอ้วนกําลังตื่นตกใจอยู่นั้น
ไม่ไกลนัก ซูฉินเหลือบมองไปยังจักรพรรดิมารร้ายที่กําลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น “พวกเขากําลังเรียกเจ้าอยู่หรือเปล่า?”
ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิมารร้ายนั้นแข็งแกร่งมาก ผ่านการแปรสภาพพลังถึงสามครั้งและเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์แล้ว มันอยู่ห่างจากขอบเขตตํานานยุทธเพียงครึ่งก้าว แม้จะเป็นจอมมารเมื่อยี่สิบปีก่อนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิมารร้ายในตอนนี้
แต่ต่อหน้าซูฉิน จักรพรรดิมารร้ายเปรียบประหนึ่งมด ไม่ต้องพูดถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์อย่างจักรพรรดิมารร้าย แม้แต่ตํานานยุทธเหล่านั้นก็ไร้ค่าไร้ความหมายต่อซูฉิน
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่”
เมื่อจักรพรรดิมารร้ายได้ยินคําถามจากปากซูฉิน เขาก็พยายามต้านความตกใจภายใน และกล่าวตอบด้วยความเคารพว่า “ข้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับสี่คนนั้น”
จักรพรรดิมารร้ายไม่เคยกลัวอะไรเท่าตอนนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิดมาเขาก็เข้าสู่วิถีอธรรมไปแล้ว แม้แต่จักรพรรดิในอาณาจักรต่างๆก็ยังต้องยําเกรงเขา
แต่ตอนนี้จักรพรรดิมารร้ายคุกเข่าลงต่อหน้าซูฉิน ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตนอ่อนแอเพียงใด
จักรพรรดิมารร้ายไม่รู้ชื่อของซูฉิน ไม่รู้ความแข็งแกร่งของซูฉิน ไม่รู้อะไรสักอย่างเกี่ยวกับซูฉิน แต่จากการคาดเดาเล็กๆน้อยๆ ดูเหมือนซูฉินจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับเฉียนขู่แห่งวัดเส้าหลิน
เพราะก่อนที่เขาจะมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงนี้ สิ่งสุดท้ายที่เขาจะทํา คือเตรียมตัวสังหารเฉียนขู่
ดังนั้นเมื่อจักรพรรดิมารร้ายได้ยินว่ายอดปรมาจารย์ฝ่ายอธรรมทั้งสี่กําลังขอร้องซ้ําแล้วซ้ําเล่าให้เขาลงมือ
เขาก็แทบอยากจะเข้าไปตบจอมยุทธฝ่ายอธรรมทั้งสนั่นให้เป็นผุยผงเสียจริงๆ
จะตะโกนหาอะไร?
ไม่เห็นหรือว่าข้าคุกเข่าอยู่?
“ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง?”
ซูฉินส่ายหัว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจักรพรรดิมารร้ายกําลังคิดการณ์ใดอยู่?
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงแก้ปัญหาด้วยตัวเจ้าเถอะ” ซูฉินพูดออกมาด้วยเสียงที่ไม่เนิบช้าแต่ก็ไม่เร่งรีบ
เขาเห็นตอนที่เฉียนขู่ต่อสู้แล้ว และพอจะทราบคร่าวๆ ถึงการเติบโตของเฉียนขู่ในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่สนใจรับชมต่อไป
“แก้ปัญหา?”
จักรพรรดิมารร้ายผงะไปชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็พลันรู้สึกว่าภูเขาขนาดใหญ่หลายพันจ้างบนบ่าของเขาได้คลายออก และทั่วทั้งร่างก็กลับมาเคลื่อนไหวได้ดังเดิม
“ข้าจะไม่ทําให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ต้องผิดหวังแน่นอน!”
จักรพรรดิมารร้ายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ สงบใจแล้วเดินออกไปนอกโรงเตี้ยม