เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 245 สมบัติพื้นที่มิติ
เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 245
Sign in Buddha’s palm 245 สมบัติพื้นที่มิติ
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูฉินเดินจนถึงสุดโถงทางเดิน
“ที่นี่คือ?”
ใบหน้าของซูฉินเคร่งขรึม มองไปรอบข้าง บรรยากาศภายในมีกลิ่นอายจางๆ ที่ทําให้ผู้คนต้องใจสั่นขวัญแขวน
“นี่คือส่วนที่ลึกที่สุดของวิหารการสงคราม?”
ซูฉินหยุดแล้วมองตรงไปข้างหน้า
เห็นกําแพงหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล บนกําแพงมีภาพสลักเรียงรายเต็มผนัง
น่าเสียดายที่ภาพสลักส่วนใหญ่ได้รับความเสียหายไปแล้วและแม้แต่ตัวกําแพงเองก็มีรอยร้าวรอยหักไปทั่วทั้งหมด
“หืม?”
ซูฉินขมวดคิ้วมุ่น
เขารู้สึกรางๆ ว่ากําแพงหินขนาดใหญ่นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับมรดกตกทอดบางอย่างที่ทรงพลัง แต่มันได้รับความเสียหายไปมากแล้ว
“เป็นไปได้ไหมว่าการเดินทางมาที่นี่ของข้าจะสูญเปล่า?”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย และเดินเข้าไปใกล้กําแพงหินมากขึ้นอยากจะเข้าไปดูรอยสลักบนกําแพงหินใกล้ๆ
ทันใดนั้น
ในตอนนั้นเอง
สิ่งผิดปกติก็เกิดขึ้น
เห็นดวงดาวในดาราจักรด้านบนของห้องโถงเริ่มหมุนวนช้าๆเปล่งแสงดุจดวงดาราที่แท้จริง เป็นดวงดาวทอแสงสุกสกาวจนบดบังทุกสิ่งอย่าง
ท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับไร้ที่สิ้นสุด ร่างเงาเลือนรางในชุดคลุมตัวใหญ่ก็เผยโฉมออกมา
ร่างนี้ราวกับกระโดดพุ่งออกมาจากความว่างเปล่า มองดูซูฉินด้วยความยิ่งใหญ่โอ่อ่า
ฟูม!!
เมื่อสายตาของร่างเงาเลือนรางสบลงบนร่างของซูฉิน เสียงที่ฟังดูแสนไพเราะก็ดังเข้ามาในหูของซูฉิน
“คุกเข่าลง!!!”
“ยอมรับการถ่ายทอดจากเป็นซุน !”
เสียงที่ราวกับคําต้องมนต์ สะท้อนดังต่อเนื่องไปทั่ววิหารการสงครามไม่หยุดหย่อน
หากเป็นตัวตนทรงพลังทั่วๆ ไป แม้จะเป็นตํานานยุทธในระดับนภาชั้นที่เจ็ด นภาชั้นที่แปด หรือแม้แต่นภาชั้นที่เก้าทุกคนย่อมต้องคุกเข่าลงเมื่ออยู่ภายใต้คลื่นเสียงนี้
ก็เท่านั้น
ร่องรอยความเย็นชาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูฉิน
ส่วนลึกระหว่างคิ้วอันเป็นที่ประทับขององค์ยูไลทองคํามือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือแตะพื้นพสุธา พลันมีเสียงคํารามก้องออกมาอย่างกะ ทันหัน
มิว่าสวรรค์หรือพิภพ ตัวตถาคตเหนือทุกสิ่ง!
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ดวงตาของซูฉินสงบลง ลมหายใจกลับกลายเป็นลึกซึ้ง “คุกเข่า
ลง?”
“อาศัยแค่ตราประทับของเจ้าเพียงอย่างเดียว จะควรแก่การทําให้ข้าคุกเข่าอย่างนั้นหรือ?”
ท่าทีของซูฉินดูไม่แยแส ราวกับว่าเขากําลังฟังเรื่องตลกครั้งยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง
ทันใดนั้นร่างของซูฉินก็เปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา มีอักขระมากมาย คําสอนนับไม่ถ้วน เสียงสวดดังไม่รู้จบ ทุกสิ่งเลือนรางยากจะ มองเห็นได้ชัดแต่สุดท้ายก็กลับคืนสู่องค์ยุไลดังเดิม สัมผัสผืนฟ้า แตะพื้นพสุธาในสามโลกนี้มีเพียงตัวตถาคตประเสริฐที่สุด!
ในวิหารการสงคราม อากาศโดยรอบพลันสั่นสะท้าน แม้แต่พลังแห่งดวงดาวยังถูกองค์ยูไลทองคําองค์ใหญ่บดบังไว้ได้อย่างสมบูรณ์
องค์ยูไลทองคํามีนัยน์ตาลุ่มลึกไม่แยแส วางเฉยต่อทุกสิ่ง เหมีอนอยู่บนท้องนภาเบื้องบน มองลงดูสรรพชีวิต ไอพลังแข็งแกร่งสูงส่งกว้างขวาง และทรงพลังพุ่งตรงขึ้นสู่ฟากฟ้า
ครืน!!
ทันทีที่องค์ยูไลทองคําปรากฏขึ้น ทั่วทั้งวิหารการสงครามก็เริ่มสั่นสะเทือนส่งเสียงคํารามลั่น ราวกับไม่สามารถรองรับตัวตนอันน่าเหลือเชื่อนี้ได้
ใต้แสงทอประกายจากหมู่ดาว ร่างที่ประกอบตัวขึ้นมาจากแสงดาวเมื่อได้เห็นฉากนี้ แววตาที่แต่เดิมดูแข็งที่อ พลันปรากฏร่องรอยแห่งปัญญาขึ้นมา
“องค์ยูไล.”
ร่างแสงดาวผู้นี้ดูเหมือนจะฟื้นคืนสติ และโค้งคํานับมาทางซูฉินเล็กน้อย
“มิได้คาดหวังว่าจะเป็นผู้สืบทอดขององค์ยูไล…”
“วิหารการสงครามแห่งนี้ หากเจ้าต้องการ ข้าก็จะมอบให้แก่เจ้า”
หลังจากร่างแสงดาวกล่าวเช่นนั้นออกมา ร่างคลุมเครือนั้นก็จางหายไป กลายเป็นกระแสแสงรวมตัวกันเป็นภาพเงาหนังสือโบราณลอยมาอยู่ต่อหน้าซูฉิน!
“หม?”
ซูฉินขมวดคิ้ว รู้สึกเพียงว่าองค์ยูไลทองคําที่อยู่ส่วนลึกระหว่างคิ้วค่อยๆ สงบลง
“เมื่อครู่เป็นการกระตุ้นฝ่ามือยไลออกมางั้นหรือ?”
ซูฉันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครู่ตอนที่ร่างประกายแสงดาวปรากฏขึ้น เสียงต้องมนต์ก็ดังก้องเข้าไปในโสตประสาทของเขาและสะเทือนไปถึงส่วนลึกระหว่างคิ้ว ทําให้องค์ยูไลทองคําเกิดปฏิกิริยาขึ้น
ไม่เช่นนั้น ถึงแม้ซูฉินจะสามารถป้องกันพลังเสียงจากร่างแสงดาวได้แต่มันก็คงจะไม่ง่ายดายเหมือนเช่นตอนนี้
“ร่างแสงดาวเมื่อครู่เป็นเพียงตราประทับเท่านั้น ไม่ได้นับว่าเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ํา แต่กลับสามารถสร้างภัยคุกคามต่อข้าได้…….”
ซูฉินเงียบนิ่ง
จนถึงตอนนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ซูฉันเคยเห็นก็คงเป็นจ้าวทะเลบูรพาแห่งเกาะหยิงโจว
จ้าวทะเลบูรพาเป็นเซียนเทพปฐพี่ขั้นสูงสุด แม้จะเป็นในยามที่กระแสปราณเฟื่องฟูก็ยังนับว่าแข็งแกร่ง แต่จ้าวทะเลบูรพานั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับร่างแสงดาวเมื่อครู่เลย
ในบางแง่มุม อย่างเช่นค่ายกลสังหารที่จ้าวทะเลบูรพาทิ้งเอาไว้อาจจะแข็งแกร่งกว่าตราประทับของร่างแสงดาว แต่ถ้านับที่ความแข็งแกร่งส่วนตัวไม่รู้ว่าอย่างหลังนั้นแข็งแกร่งกว่าจ้าวทะเลบูรพามากเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
“ร่างแสงดาวนั้นน่าจะเป็นเจ้าของวิหารการสงคราม
ซูฉินคาดคิดในใจ
“จ้าวทะเลบูรพาเป็นจุดสูงสุดของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วแต่ตราประทับที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งไว้ยังคงมีอํานาจขนาดนั้นความแข็งแกร่งของเขาน่าจะสูงเกินกว่าจ้าวทะเลบูรพาเป็นแน่”
ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย
“นอกจากนี้เจ้าของวิหารการสงครามดูเหมือนจะรู้จักฝามือยูไลเสียด้วย?”
ความคิดของซูฉินผันผวน
ก่อนที่ร่างแสงดาวจะสลายหายไป เขาได้พูดอะไรไว้บางอย่างผู้สืบทอดขององค์ยูไล” และฝ่ามือยไลก็เป็นสิ่งที่กล่าวขานกันว่าเป็นวิชาที่สืบทอดมาจากองค์ยูไลโดยตรง
“เอาล่ะ”
“ตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ที่จะคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้”
สายตาของซูฉินหันกลับมาสนใจภาพเงาหนังสือโบราณที่อยู่เบี้องหน้าเขา
เมื่อแสงดาวทั้งหลายหายไป พวกมันก็ทิ้งหนังสือโบราณเล่มนี้
เอาไว้
ซูฉินสะบัดนิ้ว คลื่นแก่นแท้แห่งพลังพัดผ่านสสารของตัวเล่มของหนังสือโบราณลวงตานี้ไป
“แก่นแท้แห่งพลังไม่สามารถใช้ได้”
“อย่างนั้นก็ควรจะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
ซูฉันค่อยๆ ปลดปล่อยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา
รังสีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนน้อยของจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉิน เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันใดขึ้น เขาสามารถละทิ้งมันไปได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเจ้าของวิหารการสงครามจะบรรจุอะไรเอาไว้ในหนังสือโบราณเล่มนี้ ซูฉินก็จะสามารถ หลีกเลี่ยงได้อย่างทันท่วงที
หวิ่ง!!
แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่ทุกสิ่งในหนังสือโบราณก็ถูกเปิดเผยออกมาในทันที
“ตัวข้ามีนามว่าโหวหยาน…”
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูฉินก็ลืมตาขึ้นมาในทันที
สิ่งที่บันทึกไว้ในเงาหนังสือโบราณนี้คือข้อความที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งเอาไว้
ตามที่กล่าวมานั้น เจ้าของวิหารการสงครามมีนามว่าโหวหยานและจุดประสงค์ในการสร้างวิหารการสงครามขึ้นมาก็เพื่อสืบทอดทายาทส่งต่อมรดกรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนบนกําแพงหิน
สําหรับที่มาของรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนนี้ เจ้าของวิหารการสงครามไม่ได้อธิบายเอาไว้ละเอียดนัก ซูฉินรู้เพียงว่ารอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนนี้เป็นวัตถุประหลาดที่โหวหยานได้รับมาตอนที่เหาะสูงขึ้นไปยังท้องนภาก็พบสิ่งแปลกประหลาดนี้อยู่เหนือฟากฟ้า
อย่างไรเสีย โหวหยานไม่สามารถทําความเข้าใจรอยแกะสลักทั้งสี่สิบเก้าส่วนนี้ได้ด้วยตนเอง
แต่เขารู้ว่าการทําความเข้าใจภาพแกะสลักไม่ใช่เรื่องธรรมดามันอาจจะเป็นตัวแทนของมรดกอันทรงพลัง จากนั้นเขาจึงตั้งใจตั้งภาพแกะสลักนี้เอาไว้ด้านในวิหารการสงคราม และให้มันปรากฏนทุกๆ พันปีเพื่อให้อัจฉริยะรุ่นต่อๆ ไป สามารถเข้ามาศึกษารอยสลักสี่สิบเก้าส่วนแห่งนี้
เมื่อเข้าใจดังนี้ ซูฉินจึงมองไปที่กําแพงหินขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล
เห็นภาพแกะสลักหลายสิบภาพอยู่บนกําแพงหินอย่างไรก็ตามภาพแกะสลักทั้งนูนสูงนูนต่ําเหล่านี้ได้รับความเสียหายไปแล้วไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถเข้าใจมันได้ แค่มองเห็นให้ชัดเจนยังเป็นปัญหาเลย
“น่าเสียดายจริง……”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อย
เจ้าของวิหารการสงครามซ่อนรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนไว้ในวิหารการสงคราม หวังว่าจะส่งมอบต่อไป แต่เกรงว่าตัวเขาเองก็คงจะไม่คาดคิดว่ารอยแกะสลักเหล่านี้จะเสียหายเช่นนี้
“มันเป็นเพราะอะไรกันนะ…”
ซูฉินสัมผัสปลายคาง ครุ่นคิดอยู่ในใจ
รอยสลักสี่สิบเก้าส่วนนั้นซ่อนอยู่ในส่วนลึกของวิหารการสงครามตามหลักเหตุผลแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะเสียหายได้เลย
“เป็นไปได้ไหมว่ากระแสปราณฉีที่เงียบงันจะทําให้วิหารการสงครามได้รับผลกระทบ และส่งผลให้ภาพแกะสลักนี้เสียหายไปด้วย?”
ความคิดของซูฉินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็คิดความเป็นไปได้อย่างอื่นไม่ออก
เพราะหลังจากที่เมื่อครู่เขาได้รับข้อมูลมาจากหนังสือโบราณลวงตาที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งเอาไว้ ซูฉินก็ได้รู้แล้วว่าวิหารการสงครามไม่ได้ถูกซ่อนไว้ยังมิติอื่น แต่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่าบนโลกนี้
โดยพื้นฐานแล้ววิหารการสงครามนั้นก็ยังคงอยู่บนโลก เพียงแต่ไม่มีใครสามารถค้นหาได้พบเท่านั้นเอง
และเนื่องจากมันอยู่บนโลกมนุษย์ มันจึงได้รับผลกระทบจากกระแสปราณฉี หลังจากผ่านช่วงกระแสปราณฉีฟื้นฟูและช่วงเงียบงันมาหลายครั้ง แม้ว่าจะมีสิ่งที่โหวหยานสร้างไว้ป้องกันมากมายภายในวิหารการสงคราม แต่ก็เป็นไปไม่ได้ถ้าจะไม่ให้ได้รับความเสียหายเลย
โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อวิหารการสงครามและในที่สุดก็ส่งผลกระทบต่อไปยังรอยสลักสี่สิบเก้าส่วน…
สายตาของซูฉินกวาดไปทั่วทุกมุมของวิหารการสงครามอย่างต่อเนื่องเหตุผลที่เขาเดาเช่นนี้ไม่ได้มาจากการนึกคิดไปเองแต่นอกเหนือจากรอยสลักสี่สิบเก้าส่วนแล้ว ยังมีรอยร้าวในที่อื่นๆ ภายในวิหารการสงครามอีก โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่ ราวกับมันถูกทุบตีอย่างรุนแรง
“ไม่ว่าภาพสลักจะเสียหายหรือไม่ก็แทบจะไม่ต่างกัน
“สําหรับข้าสิ่งล้ําค่าที่สุดในวิหารการสงครามแห่งนี้
ดวงตาของซูฉินลุกโชน มองไปที่วิหารการสงครามทั้งหมด
บางที่รอยสลักสี่สิบเก้าส่วนอาจจะเป็นตัวแทนของเคล็ดวิชาบางอย่างแต่แล้วอย่างไรเล่า? สิ่งที่ซูฉินมีอย่างไม่ขาดมือมากที่สุดก็คือเหล่าเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็น ฝ่ามือยูไล เคล็ดมารเก่าวิถีหรือแม้แต่ภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งใดบ้างที่ไม่ใช่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์อันน่าทิ้ง?
ส่วนรอยแกะสลักสี่สิบเก้าส่วนจะเป็นตัวแทนของเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเคล็ดวิชาวิเศษเหล่านั้นหรือไม่เล่า?
“วิหารการสงครามแห่งนี้เป็นสมบัติวิเศษที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่มิ
ไม่ว่าจะเป็นจ้าวทะเลบูรพาบนเกาะหยิงโจว หรือเงาหนังสือโบราณที่เจ้าของวิหารการสงครามทิ้งไว้ล้วนกล่าวถึงสมบัติพื้นที่มี ติกันทั้งนั้น
สมบัติพื้นที่มิติใดๆ ก็ตามล้วนมีพื้นที่มิติภายใน สามารถเก็บสิ่งของเข้าไปได้ แม้ว่าคลังระบบของซูฉินจะสามารถเก็บของได้ที่กสิ่งแต่ข้อกําจัดของมันคือเก็บได้เพียงของรางวัลจากการลงชื่อเข้าใช้เท่านั้นซึ่งค่อนข้างไม่สะดวกสําหรับซูฉินเท่าไหร่
แต่สมบัติพื้นที่มิตินั้นต่างออกไปเมื่อซูฉินแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆเขาก็ยิ่งตระหนักได้ถึงความสําคัญของสมบัติพื้นที่มิติมากขึ้น ตัวอย่างเช่น เลือดและเนื้อของมังกรปีศาจด้านนอกวิหารการสงครามก่อนหน้านี้
หากซูฉินมีสมบัติพื้นที่มิติ เขาก็ไม่จําเป็นต้องกลั่นเลือดเนื้อมังกรในทันทีที่ต้องทําก็แค่โยนมันเข้าไปในสมบัติพื้นที่มิติ