เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 256 .1เข้าสู่ระบบที่เบื้องลึกปล่องภูเขาไฟ
- Home
- เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm]
- ตอนที่ 256 .1เข้าสู่ระบบที่เบื้องลึกปล่องภูเขาไฟ
เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 256 (1)
Sign in Buddha’s palm 256 (1) เข้าสู่ระบบที่เบื้องลึกปล่องภูเขาไฟ
ในส่วนลึกของทะเลทรายทิศตะวันตก
ที่หน้าวิหารหมื่นพุทธ
สงฆ์ชราตกใจอย่างมาก
เขาไม่คาดหวังว่าบรรพชนเก้าจะค้นพบรัศมีแห่งองค์ยูไล” ที่แท้จริงในทวีปแห่งนี้
แม้ว่าวิหารหมื่นพุทธจะสืบทอดมรดกต่อมาจากช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู และส่วนลึกของวิหารหมื่นพุทธก็ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุ แต่พวกเขาล้วนรู้เรื่องราว ภายในดีสงฆ์ชรารู้ดีว่าสิ่งที่คนกล่าวขานกันว่าเป็นศาสนสถานทาง พุทธที่ยิ่งใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านิกายใหญ่แห่งหนึ่งที่มีขอบ เขตเหนือกว่าอรหันต์กําเนิดขึ้นมาเพียงเท่านั้น
เมื่อเทียบกับ “องค์ยูไล” ที่แท้จริง มันมีความแตกต่างอย่างใหญ่
หลวง
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
บรรพชนเก้าที่ดูเหมือนคนวัยแรกรุ่นส่ายศีรษะและกล่าวด้วยเสียงต่ําว่า “นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าต้องเข้าไปยังอาณาจักรถังเพื่อค้นหา”องค์ยูไลที่แท้จริง”
บรรพชนเก้ามองไปยังอาณาจักรถังแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “และที่นี่คือรากฐานวิหารหมื่นพุทธของเรา พวกเราไม่สามารถกระทําการสิ่งใดได้หากปราศจากอรหันต์ขั้นสูงสุด ข้าจึงได้ติดต่อบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดเรียบร้อยแล้ว”
“เมื่อข้าจากที่นี่ไป พวกเขาจะมาที่นี่แทนข้าในอีกไม่กี่วัน”
บรรพชนเก้ากล่าวออกมาเบาๆ
“บรรพชนหกและบรรพชนเจ็ด?” สงฆ์ชราตกใจ
วิหารหมื่นพุทธนั้นแตกต่างจากนิกายใหญ่ในต่างแดนแห่งอื่นๆ
สําหรับนิกายใหญ่แห่งอื่นๆ ตราบใดที่บรรพชนเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดบรรลุถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุด ก็สามารถใช้วิธีลับเพื่อปดผนึกตนเองให้หลับใหลไปนับพันปีได้ แม้แต่นิกายใหญ่ที่ค่อนข้าง อ่อนแอยังมีบรรพชนนับสิบคนและนิกายใหญ่ที่แข็งแกร่งหน่อยก็อาจจะมีบรรพชนถึงยี่สิบคนเลยก็เป็นได้
แต่วิหารหมื่นพุทธนั้นแตกต่างออกไป
อรหันต์ทั่วไปในวิหารหมื่นพุทธนั้นไม่จําเป็นต้องใช้วิธีลับ เพราะภิกษุที่มรณภาพไปสามารถกลั่นฐานการบ่มเพาะของตนฝากไว้กับพระบรมสารีริกธาตุซึ่งช่วยปกป้องคุ้มครองวิหารหมื่นพุทธได้
ด้วย
มีเพียงอรหันต์ที่ควบแน่นอาณาเขตได้เท่านั้นจึงจะพิจารณาว่าควรจะหลับใหลหรือไม่
ดังนั้นในช่วงเวลาหมื่นปีมานี้ ถึงแม้จะมีบรรพชนหลับใหลอยู่ไม่ มากนักภายในวิหารหมื่นพุทธ นับรวมทั้งหมดก็มีเพียงเก้ารูป เรีย งกันไปตามลําดับการหลับใหล มีตั้งแต่บรรพชนที่หนึ่งถึงบรรพชนที่
เก้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนที่เก่าแก่ที่สุดหรือบรรพชนเก้าที่อายุน้อยที่สุดอย่างน้อยก็ต้องเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว
ในหมู่บรรพชน บรรพชนที่หนึ่ง บรรพชนที่สอง และบรรพชนที่สามนั้นแข็งแกร่งที่สุด แม้ว่าพวกท่านจะไม่ได้เป็นยอดอรหันต์ แต่ก็เริ่มสัมผัสถึงขอบเขตนั้นได้อย่างแผ่วเบา อาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกําเนิดล้วนก่อตัวขึ้นมาจนเสร็จสมบูรณ์บรรพชนที่ เก่าแก่ลึกลับที่สุดแต่ละท่านนี้ เกรงว่าจะไปถึงครึ่งก้าวสู่ขอบเขตยอดอรหันต์กันหมดแล้ว
สําหรับบรรพชนที่สี่ บรรพชนที่ห้า จนไปถึงบรรพชนที่เก้านั้นอาจจะแข็งแกร่งน้อยกว่า แต่ไม่ว่าจะอ่อนแอเพียงใดก็ยังเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ความแข็งแกร่งของพวกท่านนั้นน่ากลัวถึงขีดสุด
บรรพบุรุษชีหยวนจากนิกายเฮยหยวนก็แข็งแกร่งเช่นกันแต่มันก็ยังอยู่ห่างไกลจากบรรพชนทั้งเก้าของวิหารหมื่นพุทธ
แม้ว่าจะควบแน่นอาณาเขตได้เหมือนกัน แต่ก็มีความสูงต่ําแตกต่างกันเนื่องจากความต่างด้านวิชาบ่มเพาะและเคล็ดวิชาที่ใช้
หากบรรพชนเก้าได้ติดต่อกับบรรพชนหกและบรรพชนเจ็ดแห่งวิหารหมื่นพุทธ เมื่อมีอรหันต์ขั้นสูงสุดถึงสองรูป รวมถึงบรรพชนเก้าด้วยเกรงว่าคงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับวิหารหมื่นพุทธภายในทวีปนี้ได้แน่
“เอาล่ะ”
“ขอฝากเรื่องของที่นี่ไว้ให้แก่เจ้าแล้ว”
บรรพชนเก้าเหลือบมองสงฆ์ชรา ก่อนจะก้าวเท้าออกและหายตัวไป
“น้อมส่งบรรพชนเก้า………..”
เมื่อเห็นฉากนี้ สงฆ์ชราก็โค้งคํานับทันที และยังโค้งคารวะส่งไปทางอาณาจักรถัง
ในเวลาเดียวกัน
ณ โลกถ้ําปิศาจใต้พิภพ
ซูฉินเดินออกมาจากโถงใหญ่ภายในเมือง และยืนอยู่บนกําแพงเมืองอินจี้โม่จียืนเคียงข้างด้วยความเคารพเช่นเดียวกับราชาปีศาจอีกนับโหลภายในเมืองอินจี่
หลังจากลงชื่อเข้าใช้มาหลายปี ซูฉันรู้สึกได้ว่ากิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณภายในเมืองอินจี้แทบจะไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ต่อไปได้แล้ว
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูฉินได้ลงชื่อเข้าใช้ที่เมืองอินจี้ ได้รับโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟมาจํานวนมากแม้แต่หยดโลหิตของเทพเจ้าปีศาจที่มีไอพลังธาตุไฟระอุออกมาจางๆ ก็ยังได้รับมาถึงสองสาม หยด
“น่าเสียดาย
“ถ้าต้องการจะบ่มเพาะวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาให้บรรลุถึงความสําเร็จระดับเล็ก โอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟจํานวนเท่านี้ไม่เพียงพอ”
ท่าทีของซูฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในก็แอบทอดถอนใจ
อยู่บ้าง
แม้ว่าหลังจากฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจนสําเร็จซูฉินจะสามารถให้กําเนิดอีกาทองคําสามขา ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดด้านเปลวไฟมันสามารถท่องเที่ยวไปทั่วผืนฟ้าและผืนดินเผาผลาญได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่ปัญหาที่ซูฉันกําลังเผชิญอยู่ตอนนี้ นับประสาอะไรกับการสําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แม้แต่สําเร็จขั้นตอนเล็กๆ ในวิ ชาภาพดวงตะวันๆก็ยากมากๆแล้ว
ในความเป็นจริง หากซูฉินสามารถกลืนโลหิตเทพเจ้าปีศาจธาตุ ไฟได้อาจได้รับผลประโยชน์ที่ไม่คาดฝั อาจจะไม่ถึงขั้นทําให้สําเร็จวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมา แต่ความสําเร็จเพียงขั้นเล็กๆก็น่าจะไม่มีปัญหา
แต่ตอนนี้สําหรับซูฉิน ไม่ต้องพูดถึงการกลืนมันลงไปแม้แต่การสัมผัสโลหิตเทพเจ้าธาตุไฟสองสามหยดนี้ ก็ไม่สามารถกระทําได้
ไม่ว่าจะเป็นโลหิตเทพเจ้าที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าใช้ในเมืองเมฆาปีศาจ หรือโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่ได้จากการลงชื่อเข้าใช้ในเมืองอินจี้ก็ราวกับพวกมันไม่ได้มีอยู่จริงในที่แห่งนี้ ซูฉินมองเห็นได้ด้วย ตาเปล่าเท่านั้นแต่เมื่อเขาต้องการสัมผัสโอบล้อมด้วยจิตสัม ผัสศักดิ์สิทธิ์หรืออาณาเขตก็ไม่สามารถทําอะไรกับมันได้เลย
“ได้เวลาเตรียมหาสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ครั้งใหม่แล้ว”
ความคิดของซูฉินผันผวน มองดูภูเขาไฟที่อยู่ใต้เมืองอินจี้ ขบคิดในใจอย่างรวดเร็ว
ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ซูฉินเองนั้นไม่ได้อยู่เฉยได้ขอให้โม่จไปสอบ ถาม ค้นหาสถานที่ภายในดินแดนโมฮวามาคร่าวๆ
ข้อกําหนดคือภายในบริเวณดินแดนโมฮวาทั้งหมด ที่ไหนก็ได้ที่เต็มไปด้วยพลังงานปีศาจธาตุไฟเหมือนกับเมืองอินจี้ และต้องเป็นสถานที่ที่มี “เต๋สะสม” จํานวนมาก ซึ่งก็มีอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่ล้วนมีปีศาจที่ทรงพลังอํานาจยึดครองเอาไว้แทบทั้งหมด
ปีศาจผู้ทรงพลังเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นราชาปีศาจขั้นสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกขานกันว่า “หุบเขาเทพแห่งไฟ” นั้นมีแนวโน้มว่าจะมีตัวตนที่อยู่เหนือกว่าราชาปีศาจอาศัยอยู่อย่างสันโดษ
ขณะที่ซูฉันค่อยๆ คิดใคร่ครวญไตร่ตรองตามเป้าหมายอยู่นั้นทันใดนั้นเขาก็จ้องมองไปที่ภูเขาไฟใต้เมืองอินจี่
“ภูเขาไฟนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อใด?” ซูฉินเอ่ยถาม สายตาหรี่เล็กลง
“นายท่าน…” โม่จีกะพริบตาปริบๆ นางไม่คิดว่าซูฉินจะสนใจภูเขาไฟใต้เมืองอินจี่แห่งนี้ “นายท่าน ไม่มีใครรู้เวลาที่แน่ชัดว่าภูเขาไฟแห่งนี้ก่อตัวขึ้นเมื่อใด แต่อย่างน้อยก็ยาวนานกว่าเมืองอินจี้แน่นอน”
“โอ้ว”
ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวของซูฉิน ทันใดนั้นเขาก็พบว่าตนเองละเลยสิ่งที่สุดแสนสําคัญไป
ภูเขาไฟใต้เมืองอินจี้นั้นอาจจะมี เต้าสะสม”อยู่เช่นกัน
รู้หรือไม่ ตั้งแต่ซูฉินย้ายเข้ามายังเมืองอินจี้ ก็มักจะลงชื่อเข้าใช้อยู่ใต้กิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณภายในโถงใหญ่ประจําเมือง
ซูฉันรู้สึกว่า เต่าสะสม” จากกิ่งก้านของต้นไม้ปีศาจโบราณเป็น“เต๋าสะสม” ที่ได้มาจากภูเขาไฟรวมเข้ากับของเมืองอินจี
แต่ในความเป็นจริง การมีอยู่ของภูเขาไฟใต้ฝ่าเท้านี้ยาวนานยิ่งกว่าเมืองอินจอย่างสิ้นเชิง และทั้งสองสิ่งอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างที่ซูฉันคิด
“ข้าจะออกไปดูที่นั่นสักหน่อย”
ดวงตาของซูฉินสว่างวาบ ก้าวเท้าออกไปด้านหน้าก่อนจะหายตัวไปจากเมืองอินจี้ภายในพริบตา
“นี่ ” โม้จีและราชาปีศาจอีกนับสิบตนต่างมองหน้ากันใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
ตั้งแต่ซูฉินมาถึงเมืองอินจี้ เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปิดด่านฝึกตนอยู่ภายในห้องโถงประจําเมืองอินจี้ ไม่ต้องกล่าวถึงการออกจากเมืองอินจี้แม้แต่จํานวนครั้งที่ออกมานอกห้องโถ งยังนับครั้งได้
ขณะที่โม่จีและเหล่าราชาปีศาจกําลังงงงวยซูฉินก็เข้ามาในส่วนลึกของภูเขาไฟใต้พิภพแล้ว
ความร้อนแผดเผาน่าสะพรึงกลัวโรมเร้าอยู่ทั่วทุกตารางนิ้วแม้ว่าจะเป็นราชาปีศาจ ถ้าหากมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้เป็นเวลานานก็เกรงว่าไม่ช้าก็เร็วคงถูกความร้อนแผดเผาได้เช่นกัน
แต่ซูฉินนั้นแตกต่างออกไป ร่างกายของเขาแข็งแกร่ง มีทิพยอํานาจกายเนื้อกําเนิดใหม่ ควบคู่ไปกับการมีอาณาเขตคอยป้องกันแทบจะเดินอยู่ภายในนี้ได้อย่างสบายๆ
“ภายในนี้มีโอสถจิตวิญญาณธาตุไฟอยู่กี่ประเภทกันนะ?”
หลังจากกวาดตาดูสองสามครั้ง ซูฉินก็พบว่าบางมุมของแผ่นหินภายในภูเขาไฟ ลึกลงไปใต้หินหนืดหลอมเหลว มันมีความผันผวนที่อธิบายได้ยากอยู่เมื่อใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจดู ทันใดนั้นก็ทราบว่ามันเป็นโอสถจิตวิญญาณธาตุไฟที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาที่นี่
“หากแม้ว่าข้าเดาผิดพลาดไป มันก็ไม่ใช่การเดินทางที่เสียเปล่าไปซะทีเดียว”
เพียงความคิดวูบเดียว ซูฉินก็นําโอสถจิตวิญญาณเหล่านั้นขึ้นมาใบหน้าของเขาดูค่อนข้างพึงพอใจ
โอสถจิตวิญญาณธาตุไฟเหล่านี้ไม่รู้ว่าก่อร่างสร้างตนมานานกี่ปีมันมีพลังงานธาตุไฟเป็นจํานวนมาก และเป็นทรัพยากรที่ดีอย่างยิ่งสําหรับการฝึกฝนวิชาภาพดวงตะวัน”
“เอาล่ะ”
“ต่อจากนี้ ข้าก็แค่ต้องรอจนกว่าจะถึงวันถัดไป เพื่อยืนยันการคาดเดาของข้า” ใบหน้าของซูฉินดูเคร่งขรึมเขาเลือกที่จะรออยู่ที่นี่