เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 259 ลูกประคำ
เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 259 ลูกประคำ
“นั่นคือผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลินงั้นหรือ?”
บรรพชนเก้าเคร่งขรึมขึ้น กลิ่นอายที่เขาจับได้นั้นเหมือนกับกลิ่นอายที่ออกมาจากดาบไม้เมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนคนเดียวกัน
“ช่างเถอะ ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าอรหันต์ในแผ่นดินแห่งพลังยุทธ มีความพิเศษอย่างไร?”
ดวงตาของบรรพชนเก้ามีความสั่นไหวเล็กน้อย
ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าของวิหารหมื่นพุทธจากดินแดนโพ้นทะเล แม้จะหลับใหลมาตลอด แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยกำราบทั่วหล้ามาแล้ว ไม่คิดว่าจะพ่ายแพ้ให้กับขอบเขตตำนานยุทธขั้นสูงสุดคนใด
“เอ๋?”
“ทำไมคนผู้นี้ไม่เคลื่อนไหวต่อแล้ว?”
หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินและเจ้าอาวาสชุ่ยเหวินเห็นบรรพชนเก้ายืนอยู่เงียบๆ พวกเขาก็งุนงงเล็กน้อย
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะบอกว่าไอพลังที่บรรพชนเก้าแสดงออกมานั้นช่างน่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินขนาดใหญ่บริเวณภูเขาด้านหลังหรือดาบไม้ขนาดเท่าฝ่ามือที่ห้อยอยู่รอบคอเฉียนอู่ซึ่งผู้ทรงสมณศักดิ์ทิ้งเอาไว้ล้วนถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว ตัวตนไร้พ่ายเช่นนี้ ไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะต้องลังเลใจ เหตุใดจึงหยุดลงกะทันหัน
ในขณะที่ศิษย์วัดเส้าหลินเต็มไปด้วยความสงสัย เฉียนก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นกระตุก รู้สึกได้ถึงบางอย่าง จากนั้นจึงหันมองไปยังทิศทางที่บรรพชนเก้ามอง
เขาเป็นเพียงยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ดังนั้นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่มีทางจะครอบคลุมระยะทางหลายร้อยลี้ได้เหมือนบรรพชนเก้า แต่เขาตรวจสอบกลิ่นอายของซูฉินล่วงหน้าได้
เฉียนขู่มีดวงใจพุทธะ และการรับสัมผัสต่อสิ่งภายนอกได้อย่างเฉียบคม สามารถคาดเดาได้คร่าวๆ ว่าบรรพชนเก้ากำลังรอคอยใครบางคนอยู่
“ใครคนนั้นอาจจะเป็น…”
ดวงตาของเฉียนขู่เป็นประกาย
ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของบรรพชนเก้า ที่ทำให้วัดเส้าหลินตกอยู่ในวิกฤตด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว การที่ทำให้เขารอคอยเช่นนี้ เกรงว่าจะมีแต่ซูฉินเพียงคนเดียวที่ทำได้
ตามที่คาดการณ์
หลังจากนั้นเพียงครู่หนึ่ง
ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่แรงกดดันราวกับกรงขังก็แผ่พุ่งมาจากที่ไกลๆ เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างเงยหน้ามองไปทางที่ไอพลังนี้แผ่ขยายออกมา ทันใดนั้นสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป
“นั่นคือ?!”
เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ เป็นผู้ทรงสมณศักดิ์”
หัวหน้าตำหนักวัดเส้าหลินก็เห็นเช่นเดียวกัน ก่อเกิดกำลังใจขึ้นมาในทันใด
ซูฉินเป็นผู้ทรงสมณศักดิ์แห่งวัดเส้าหลิน ถ้าไม่ใช่เพราะซุฉิน วัดเส้าหลินคงถูกทำลายไปโดยทายาทมารพุทธะตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้ว
ในเวลานี้ ก่อนที่บรรพชนเก้าจะปราบปรามวัดเส้าหลินทั้งหมดซูฉินก็เข้ามาเป็นผู้กอบกู้ ความปิติยินดีของเหล่าหัวหน้าตำหนักนั้นไม่สามารถจะจินตนาการได้
“ผู้ทรงสมณศักดิ์กลับมาแล้ว!”
“วัดเส้าหลินของพวกเรารอดแล้ว!”
ท่าทีของศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนต่างตะลึง บรรพชนเก้ามีพลังมากก็จริง แต่ในสายตาของศิษย์วัดเหล่านี้ ซูฉินอยู่ยงคงกระพันแท้จริงบนโลกนี้ ต่อหน้าซูฉินแม้แต่บรรพชนเก้าก็ไม่มีหน้ามาสู้ได้
“เลือดเนื้อพลังชีวิตแข็งแกร่งมาก”
“ควบแน่นอาณาเขตแล้วด้วย”
มีแสงเรื่อๆ ส่องสว่างออกมาจากดวงตาของบรรพชนเก้า เมื่อซูฉินเข้ามาใกล้ เขายิ่งรับรู้ข้อมูลมากขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่าซูฉินขี้เกียจเกินกว่าจะปกปิด และแสดงความผันผวนของเลือดเนื้อและพลังชีวิตออกมาอย่างเปิดเผย
ไม่เช่นนั้น หากซูฉันต้องการปกปิดพลัง นับประสาอะไรกับบรรพชนเก้า แม้จะอยู่ในอาณาเขตของขอบเขตเซียนเทพปฐพี่ถ้าหากไม่ได้สังเกตจริงๆ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะตรวจพบ
“ด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อระดับนี้ จะต้องมีอายุขัยเหลืออย่างน้อยก็หนึ่งร้อยปี…” บรรพชนเก้าไม่สามารถระบุอายุขัยของซูฉินได้อย่างแม่นยำ แต่จากเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งของซูฉิน เขาก็ตระหนักว่าอีกฝ่ายควรจะมีอายุขัยเหลือเยอะพอสมควร
เมื่อถึงขอบเขตตำนานขั้นสูงสุดแล้ว แม้จะต้องเผชิญกับขีดจำกัดของอายุขัย ก็ยังคงรักษาสภาพความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ จะไม่มีทางที่จะเห็นสภาพเดินเหินไม่ไหวเหมือนคนทั่วไปเด็ดขาด
แต่กระนั้นการสลายไปของเลือดเนื้อและพลังชีวิตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะหลีกเลี่ยง
ยิ่งใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต ปราณชีวิตและเลือดเนื้อยิ่งสูญสลายเร็วมากขึ้นเท่านั้น และความผันผวนของพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่ซูฉันแสดงออกมา อย่างน้อยก็มากกว่าร้อยปีกว่าจะถึงจุดสิ้นสุดของชีวิต
บรรพชนเก้าคาดเดาอยู่ในใจ เค้าลางความอิจฉาปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด
บรรพชนเก่าไม่ทราบว่าอายุขัยที่เหลืออยู่ของซูฉินหาใช่แค่ร้อยปีไม่ แต่มากกว่าเก้าร้อยสี่สิบปี และหากเพิ่มผลของลูกท้อบ้านเข้าไปอีก อายุขัยของซูฉินก็จะเพิ่มขึ้นอีกเป็นหนึ่งพันเก้าร้อยสี่สิบปี
หนึ่ง!
ซูฉินก้าวเข้ามาปรากฏตัวที่หน้าพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
นักพรตเฒ่ารู้ว่าด้วยระยะทางหลายหมื่นลี้ แม้แต่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดยังต้องใช้เวลาไปกว่าครึ่งก้านธูป
แต่ซูฉินไม่ใช่ตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดา การเดินทางในระยะหมื่นลี้ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งก้านธูปมากนัก
นับตั้งแต่ซูฉินเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ซูฉินไม่เพียงรักษาฐานของระดับชั้นให้มั่นคงเท่านั้น แต่ยังกลืนโอสถศักดิ์สิทธิ์ธาตุไฟและโอสถวิเศษส่วนใหญ่ที่เขาลงชื่อเข้าใช้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาลงไป ใช้มันเพื่อบ่มเพาะภาพดวงตะวันขนาดมหึมาจากภาพสิบสองสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
ในวันนี้ แม้ภาพดวงตะวันขนาดมหึมาของซูฉินจะยังไม่ถึงความสำเร็จระดับเล็ก แต่ก็มาไกลกว่าระดับเริ่มต้นไปมากแล้ว
ด้วยภาพดวงตะวันฯ นี้ ซูฉินสามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถส่วนหนึ่งของอีกาทองคำสามขา
ตัวอย่างเช่นความเร็ว?
แม้ว่าอีกาทองคำสามขาจะเป็นที่รู้จักในด้านความแข็งแกร่งในเรื่องเปลวเพลิง มันเพียงพอที่จะแผดเผาท้องฟ้าและผืนปฐพีแต่เปลวเพลิงก็เป็นเพียงวิธีการที่แข็งแกร่งที่สุดของอีกาทองคำสามขาเท่านั้น
นอกจากเปลวเพลิงแล้ว ความเร็วของอีกาทองคำสามขายังเร็วมากอีกด้วย
ในฐานะของสัตว์ปีก แม้ว่าอีกาทองคำจะไม่รวดเร็วเท่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่เด่นด้านความเร็ว แต่ความเร็วของมันก็อยู่ไกลเกินกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
แม้ซูฉินจะใช้ความช่วยเหลือจากมันเพียงเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะระเบิดพลังของตนเองพุ่งออกไปได้หลายต่อหลายครั้ง และมันเกือบจะเท่ากับที่เซียนเทพปฐพี่ทำได้
“ในที่สุดข้าก็ได้กลับมาอีกครั้ง…” ซูฉินไม่สนใจบรรพชนเก้าสายตาของเขากวาดไปทั่วทุกมุมของวัดเส้าหลิน
วัดเส้าหลินที่ซูฉินเคยอยู่อาศัยมามากกว่ายี่สิบปี เขานั้นคุ้นเคยกับทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”
เจ้าอาวาสขี่ยเหวินเดินเข้าไปหาซูฉินด้วยความเคารพ
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”
“น้อมคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”
“ข้าขอคารวะ ผู้ทรงสมณศักดิ์”
ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนจ้องมาไปยังซูฉินด้วยแววตาสดใส คุกเข่าลงคารวะซูฉินกันที่ละคน
ฉับพลันซูฉินก็กลายเป็นศูนย์กลาง ศิษย์นับหมื่นของวัดเส้าหลินคุกเข่าลง ผู้คนนับไม่ถ้วนร้องห่มร้องไห้ด้วยความดีใจ หลายคนเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มาตั้งแต่ซูฉินเป็นพระภิกษุ พวกเขามีความทรงจำร่วมกับซูฉินเป็นการส่วนตัว ซูฉินช่วยเหลือวัดเส้าหลินจากการถูกทำลายครั้งแล้วครั้งเล่า
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”
เฉียนขู่ก็โค้งตัวลงคารวะซูฉินเช่นกัน
ซูฉินไม่ได้กล่าวอะไร แต่ค่อยๆ เพ่งมองไปยังบรรพชนเก้า แล้วพูดด้วยที่ท่าสนใจว่า “เจ้าเป็นบรรพชนคนใดในวิหารหมื่นพุทธ?”
“ข้าคือบรรพชนลำดับที่เก้า”
ใบหน้าของบรรพชนเก้าแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดหวังว่าซูฉินจะรู้ตัวตนของเขา
จนถึงตอนนี้ บรรพชนเก้าก็ยังไม่ได้ตั้งใจจะล่าถอยไปเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าซูฉินจะแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่ ในฐานะที่เป็นบรรพชนลำดับที่เก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ ไม่เพียงแต่จะฝึกฝนบ่มเพาะวิชาสายพุทธเท่านั้น ยังถือครองสมบัติพุทธคุณจากวิหารหมื่นพุทธอีกหลายชิ้นด้วย
สำหรับจอมยุทธ เลือดเนื้อพลังชีวิตเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างแน่นอน ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเข้มข้นกว่าย่อมได้เปรียบ ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายที่มีเลือดเนื้อพลังชีวิตเสื่อมถอยจะกังวลมาก เพราะกลัวว่าเลือดเนื้อและพลังชีวิตตนจะหมดสิ้นเสียก่อนและตกตายลงที่จุดนั้น
แต่นอกเหนือจากปราณชีวิตและเลือดเนื้อแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อผลลัพธ์ของการต่อสู้ เช่น เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนความแข็งแกร่งของอาวุธวิเศษ
โดยเฉพาะอย่างหลัง อาวุธวิเศษที่ทรงพลังสามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ได้หลายระดับอย่างแน่นอน
“เพราะเจ้าไม่ได้ทำร้ายใครในวัดเส้าหลิน ข้าจะให้โอกาสเจ้าลงมือก่อน”
การแสดงออกของซูฉินไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งเศร้า กล่าวออกอย่างใจเย็น
“ยอมให้ข้าชนะแล้ว”
เมื่อบรรพชนเก้าได้ยินสิ่งนี้ ก็ไม่คิดจะอ่อนน้อมถ่อมตนอีกต่อไปสำหรับจอมยุทธทุกสิ่งแก้ไขได้ด้วยการต่อสู้ เนื่องจากซูฉินต้องการให้เขาลงมือก่อน บรรพชนเก้าจึงไม่ลังเลใจ
ครืน!!
บรรพชนเก้าใช้เคล็ดวิชาของตนอย่างสุดกำลัง และรัศมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวก็ได้ปกคลุมไปทั่ววัดเส้าหลินอย่างรวดเร็ว มันแพร่กระจายไปทุกทิศทาง
ต่อหน้าอรหันต์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณชีวิตและเลือดเนื้ออย่างซูฉิน แม้ว่าบรรพชนเก้าจะมีสมบัติพุทธคุณอยู่ถึงสองสามชิ้นที่นำติดตัวมาจากวิหารหมื่นพุทธ แต่เขาก็ไม่กล้านำของชิ้นใหญ่เกินไปมาดังนั้นจึงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในคราแรก
พระพิโรธองค์นี้มีรัศมีที่ด้อยกว่าองค์ยูไลทองคำที่มือหนึ่งชี้ขึ้นฟ้าอีกมือลงพื้นพสุธาของซูฉิน แต่ตอนนี้บรรพชนเก้าก็พยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว มันก็นับว่ามีพลังอำนาจเกินกว่าตำนานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษชีหยวน
“เป็นไปได้ไหมว่าบุคคลผู้นี้คือองค์ยูไล?”
เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ต่างตื่นตกใจ
ในเวลานี้หลังจากที่ได้สัมผัสพลังที่แท้จริงของบรรพชนเก้า พวกเขาก็ตระหนักว่าบรรพชนเก้าได้ออมมือไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นหากแสดงความสามารถที่แท้จริง วัดเส้าหลินคงพินาศไปเสียนานแล้ว จะรอดปลอดภัยจนถึงตอนที่ซูฉินมาได้อย่างไร?
“วิหารหมื่นพุทธ?”
“บรรพชนลำดับที่เก้า?”
เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินกลืนน้ำลาย
พวกเขาได้ยินการสนทนาระหว่างซูฉินและบรรพชนเก้าก่อนหน้านี้
จากการเสวนาเพียงไม่กี่ครั้งเมื่อครู่ ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจว่าบรรพชนเก้านั้นมาจากขุมอำนาจที่เรียกว่าวิหารหมื่นพุทธ และในขุมอำนาจนี้บรรพชนเก้าเพียงอยู่ในลำดับที่เก้าเท่านั้น
ขนาดบรรพชนลำดับที่เก้ายังมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้ แล้วบรรพชนลำดับที่ห้าลำดับที่หกเล่า?
เจ้าอาวาสชุ่ยเหวินไม่สามารถจินตนาการได้
เพียงเท่านั้น
ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าสงครามใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ซูฉินที่ยืนอยู่เงียบๆ ก็ส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่เพียงพอ”
“อาศัยเพียงแค่เท่านั้นยังไม่เพียงพอ”
คำที่กล่าวออกมา
ใบหน้าของบรรพชนเก้าก็บิดเบี้ยวน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย
ในตอนนี้เขาได้รวบรวมพลังอย่างเต็มที่ด้วยเคล็ดวิชาที่มี ยกเว้นก็แต่สมบัติพุทธคุณสองสามชิ้น เขาแทบจะเรียกได้ว่าลงมือเต็มที่ที่สุดแล้ว แต่คำพูดจากปากซูฉินกลับบอกว่ามันยังไม่เพียงพอ
บรรพชนเก้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขวาขึ้นเห็นสายลูกประคำปรากฏออกมา
สายลูกประคำเส้นนี้มีสีออกจางๆ และดูทรุดโทรมมาก แต่เมื่อมันโผล่ออกมากลับเผยกลิ่นอายที่โอบล้อมทุกผู้ทุกคนให้ต้องใจสั่น
“สายลูกประคำเส้นนี้ ยอดอรหันต์เป็นผู้ทิ้งเอาไว้ เป็นหนึ่งในสมบัติของวิหารหมื่นพุทธของข้า มันแข็งแกร่งพอที่จะทำให้เซียนเทพปฐพี่ต้องมีสั่นสะเทือนกันบ้างไม่มากก็น้อย”
บรรพชนเก้ามองลูกประคำในมือ ร่องรอยความน่าเกรงขามแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา
ที่เขากล่าวมาคือเรื่องจริง ลูกประคำสายนี้เป็นสมบัติที่ยอดอรหันต์ได้ทิ้งเอาไว้ แต่หากต้องการจะใช้ลูกประคำนี้ในการสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี ก่อนอื่นตัวผู้ใช้จะต้องแข็งแกร่งเพียงพอ
แม้ว่าบรรพชนเก้าจะเป็นอรหันต์ขั้นสูงสุด แต่ก็ยังห่างไกลจากขอบเขตยอดอรหันต์ และห่างไกลจากความสามารถในการใช้ลูกประคำได้อย่างเต็มที่
แม้บรรพชนเก้าจะไม่สามารถสร้างความสั่นสะเทือนให้แก่เซียนเทพปฐพี่ได้ แต่ก็ไม่มีปัญหาในการจัดการกับตำนานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ
เมื่อลูกประคำโผล่ออกมา ท้องฟ้าและผืนดินก็เหมือนจะถูกแช่แข็ง ลูกประคำหมุนวนไปเรื่อยๆ ในท้ายที่สุดมันก็พุ่งลงเข้าหาซูฉิน
ลูกประคำขนาดใหญ่กดทับอากาศเบื้องล่าง ค่อยๆ กดลงไปยังซูฉิน ด้วยพลังอันรุนแรงนี้ แม้ว่าบรรพบุรุษซีหยวนจะมาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องหันหน้าหนี หมุนตัวจากไปแน่นอน ไม่คิดเข้าขวางทางลูกประลัก
เจ้าอาวาสอุ่ยเหวินและคนอื่นๆ ในวัดเส้าหลินต่างมือเท้าชาเมื่อได้เห็นลูกประคำเส้นนี้
แม้ว่าพวกเขาจะมั่นใจในตัวซูฉิน แต่ลูกประคำนั้นน่ากลัวเกินไปแม้ว่าจะมองดูจากระยะไกลเพียงไม่นาน จิตใจของพวกเขาก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจของลูกประคำแล้ว แล้วซูฉินที่ต้องเผชิญหน้ากับพลังทั้งหมดของลูกประคำเล่า?
ท่ามกลางสายตาที่ตื่นกลัวของทุกคน
ซูฉินก้าวเท้าเดินช้าๆ ยกมือขึ้นอย่างเบาสบาย หดนิ้วเข้าหากันจนเป็นกำปั้น แล้วโจมตีไปทางลูกประคำ
ช่วงเวลาต่อมา
หมัดนี้ก็ปะทะเข้ากับลูกประคำ
ทันใดนั้นลูกประคำก็สั่นไหว และแรงกดดันที่กดทับลงมาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
“นี่คือ?”
บรรพชนเก้าซึ่งแต่เดิมมีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม บัดนี้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปทันที มองไปที่ซูฉินอย่างเหลือเชื่อ