เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 260.1ฝนในฤดูใบไม้ผลิ
เข้าสู่ระบบ “ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]
Sign in Buddha’s palm 260 (1)
Sign in Buddha’s palm 260 (1) ฝนในฤดูใบไม้ผลิ
“ไม่ดีแล้ว!”
บรรพชนเก้าดูเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางสิ่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาต้องการเรียกคืนลูกประคํา
น่าเสียดายที่มันสายเกินไป
ภาพตอนนี้คือหมัดที่ดูเบาบางของซูฉินกระทบเข้ากับลูกประคําเรียบร้อยแล้ว ลูกประคําเส้นนี้สืบทอดต่อมาตั้งแต่ช่วงสุดท้ายของยุคกระแสปราณฉีเฟื่องฟู ยอดอรหันต์แห่งวิหารหมื่นพุทธได้ทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง แม้จะผ่านเวลามานับหมื่นปี ก็ยังคงรักษาสภาพพลังอันน่ากลัวเอาไว้ได้ การที่มีบรรพชนเก้าเป็นผู้ครอบครองก็เพียงพอแล้วที่จะขับไล่ตํานานยุทธขั้นสูงสุดอย่างบรรพบุรุษหยวนไปได้อย่างง่ายดาย
จากสิ่งนี้เพียงอย่างเดียว บรรพชนเก้าก็ควรค่าแก่การเป็นบรรพชนแห่งวิหารหมื่นพุทธแล้ว แค่กระบวนท่าเดียวก็เหนือกว่าตํานานยุทธขั้นสูงสุดธรรมดาๆ
นี่คือรากฐานที่แท้จริงของพุทธศาสนาในดินแดนโพ้นทะเล
แต่ในเวลานี้หมัดของซูฉินก็ถูกปล่อยออกไปแล้วเช่นกัน
ปัง!!
วัสดุของลูกประคําเหมือนจะทําจากไม้บางชนิด แต่แท้จริงมันกลับดูคล้ายโลหะ เมื่อกําปั้นของซูฉินเข้ากระทบ เสียงที่คล้ายกับระฆังทองสัมฤทธิ์ก็ดังลั่นกระจายไปทั่วทุกทิศ
ศิษย์วัดเส้าหลินจํานวนนับไม่ถ้วนรู้สึกเพียงว่ามีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นในหูของพวกเขา ทําให้ต่างก็ตื่นตกใจ แม้แต่ยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดอย่างเฉียนข่ยังมีนงง สมองว่างเปล่า จิตใจจมดิ่งลงในทันที
สําหรับศิษย์เส้าหลินคนอื่น มันไม่ได้มีผลกระทบเบาบางเหมือนเช่นเฉียนขู่ มันรุนแรงจนถึงขั้นล้มลงไปกับพื้น บางคนเป็นลมไปเลยก็มี
หลังจากนั้นไม่นาน
ดวงใจพุทธะในกายของเฉียนขู่ก็เต้นถี่ การรับรู้ค่อยๆฟื้นตัว เขาเงยหน้าขึ้นมอง เห็นซูฉินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตาสงบนิ่ง ราวกับว่าเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลย
อย่างไรก็ตาม บรรพชนเก้ากลับถอยห่างออกไปนับพันเมตร เกือบจะหลุดออกจากเขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ลูกประคําทั้งเส้นดูซีดจางลงอย่างเห็นได้ชัด และหยุดลงอยู่หน้าบรรพชนเก้า
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ชนะแล้ว?”
ศิษย์วัดเส้าหลินก็ค่อยๆ มีสติกลับมาเมื่อเห็นฉากนี้ พวกเขาโล่งใจเล็กน้อย การระเบิดพลังของลูกประคํานั้นน่ากลัวเกินไป มันเหมือนกับโลกกลับตาลปัตร
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจากสถานการณ์ภายในสนามต่อสู้แล้ว การโจมตีของบรรพชนเก้าถูกซูฉินสกัดกั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และบรรพชนเก้าเองก็คงต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ถอยห่างออกไปกว่าพันเมตรเช่นนี้แน่
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์แข็งแกร่งเกินไปแล้ว”
ศิษย์วัดเส้าหลินจํานวนนับไม่ถ้วนมีความยินดีภายในใจ แม้แต่ผู้อาวุโสภายในวัดเส้าหลินก็ยังไม่เคยเห็นซูฉินยามลงมือในหลายๆครั้ง นับประสาอะไรกับศิษย์สาวกที่เข้ามายังวัดเส้าหลินในภายหลังเล่า?
บรรพชนเก้ายืนอยู่ห่างออกไปนับพันเมตร จ้องมองซูฉินที่ดูสง่าผ่าเผย โดยเฉพาะเมื่อเขาสังเกตเห็นลูกประคําที่อยู่เบื้องหน้าตนมีรอยหมัดตื้นๆอยู่รอยหนึ่ง แววแห่งความสยดสยองก็ลอยอยู่ในดวงตาของเขา
นี่คือสมบัติพุทธคุณที่ยอดอรหันต์ได้ทิ้งไว้ หลังจากผ่านมาเป็นหมื่นปีพลังอาจจะลดลงบ้าง ไม่ ได้ทรงพลังเท่ากับยุครุ่งเรือง แต่วัสดุทั้งหมดก็เป็นของระดับยอดอรหันต์แท้ๆ
ซูฉินสามารถทิ้งรอยไว้บนสมบัติพุทธคุณและสร้างความเสียหายให้ตัวของสมบัติพุทธคุณได้ แม้ความแข็งแกร่งจะไม่ใช่เซียนเทพปฐพี แต่เกรงว่าคงจะไม่ห่างไกลมากนัก บางทีเขาอาจจะเปลี่ยนพลังเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้และพร้อมทะลวงขอบเขตเซียนเทพปฐพี่แล้วก็เป็นได้
บรรพชนเก้าทั้งกลัวและกระวนกระวายใจ
แม้ว่าเขาจะมีไพ่ในมืออยู่อีก แต่ก็ไม่ต่างจากลูกประคํานี้มากนัก ซูฉินสามารถจัดการลูกประคําได้ด้วยหมัดเดียว สําหรับวิธีการอื่นๆ ก็คงสามารถจัดการได้เพียงแค่ยกมือขึ้นมาเช่นเดียวกัน
ที่สําคัญกว่านั้น บรรพชนเก้าไม่กล้าที่จะลากถ่วงต่อไป ท้ายที่สุดเขาก็ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตแล้ว ถึงแม้ว่าจะสามารถหลับใหลด้วยวิธีลับ แต่ก็เป็นการทําให้เลือดเนื้อและพลังชีวิตลดลง
ในเวลาอันสั้นเขามั่นใจว่าจะสามารถคงสภาพของตนเองไว้ได้ แต่หากผ่านไปนานๆ อันตรายแอบแฝงจากการที่เลือดเนื้อพลังชีวิตลดลงย่อมปรากฏให้เห็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
จนถึงตอนนั้น บางทีเขาอาจจะไม่เหลือเลือดเนื้อพลังชีวิตพอจะกระตุ้นการทํางานของสมบัติพุทธคุณก็เป็นได้ และจะต่อสู้กับซูฉินที่เป็นอรหันต์ผู้เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้ออย่างเต็มภาคภูมิได้อย่างไร?
เมื่อคิดได้ดังนั้น ใจของบรรพชนเก้าก็คิดจะล่าถอยกลับไป
ในฐานะที่เป็นบรรพชนเก้าแห่งวิหารหมื่นพุทธ เขาไม่ได้โง่เขลา ถ้าไม่สามารถสู้ได้ก็แค่ถอย
“ข้าแพ้แล้ว”
บรรพชนเก้าเก็บลูกประคํากลับคืน ประสานมือมาทางซูฉิน เขากระซิบคําออกมาว่า “ความแข็งแกร่งของผู้ทรงสมณศักดิ์นั้นหาได้ยากยิ่งในโลกหล้า”
บรรพชนเก้ายอมรับออกมาโดยตรง
หากเป็นหลายร้อยปีก่อน ก่อนที่เขาจะหลับใหล ด้วยพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่ง เขาอาจจะลงมือได้อย่างไม่ต้องกลัว บางทีอาจจะโจมตีซูฉินได้หลายครั้งด้วยสมบัติพุทธคุณสองสามชิ้นที่พกมา
แต่ยามนี้
ซูฉินไม่จําเป็นต้องทําอะไรมาก ตราบใดที่เขาลากถ่วงเวลาออกไป หลังจากไม่เกินหนึ่งก้านธูป พลังชีวิตและเลือดเนื้อของบรรพชนเก้าจะหมดลงและพละกําลังของเขาก็จะลดลงเช่นเดียวกัน
“ลูกประคําของเจ้าก็ค่อนข้างแข็งเช่นกัน”
ซูฉินส่ายศีรษะพร้อมออกความเห็น
ร่างกายที่แปรสภาพเกือบหกครั้ง ควบคู่ไปกับหมัดที่หลอมรวมเคล็ดวิชานับพันไม่อาจเจาะทลายลูกประคํานั้นได้ กลับมีเพียงรอยหมัดเล็กๆเท่านั้น มันย่อมแข็งมากพอสมควร
“แข็ง….”
มุมปากของบรรพชนเก้ากระตุกขึ้นวูบหนึ่ง
ในฐานะที่มันเป็นสมบัติพุทธคุณที่สืบทอดมานับหมื่นปีภายในวิหารหมื่นพุทธ ไม่รู้ว่าวิหารหมื่นพุทธใช้มันปราบศัตรูมาแล้วกี่คน ด้วยพลังอันมหาศาลของมันนี้ กลับเหลือเพียงคําว่า “แข็ง” เพียงอย่างเดียวจากปากของซูฉิน?
แต่ก็เท่านั้น
แม้ว่าบรรพชนเก้าจะไม่ได้รู้สึกเห็นด้วย แต่เขารู้ดีว่าซูฉินมีคุณสมบัติที่จะกล่าวเช่นนั้น สามารถทําลายผิวของลูกประคําได้ด้วยหมัดเดียว ความแข็งแกร่งนี้หากอยู่ในอดีตก็เพียงพอจะเกรียงไกรไปได้หลายชั่วอายุคน ยกเว้นเพียงแต่ตัวตนขอบเขตเซียนเทพปฐพี นอกนั้นจะมีใครต้านทานเขาได้?
“เมื่อเป็นเช่นนั้น”
“ข้าต้องขอตัวลาไปก่อนแล้ว”
บรรพชนเก้ามองอย่างลึกซึ้งไปยังซูฉิน ร่างของเขาค่อยๆจางลงๆ และหายไป
“นี่?!”
เจ้าอาวาสขุ่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักยุทธตื่นตกใจ
บรรพชนเก้ายังคงยืนอยู่ตรงนั้นเมื่อครู่นี้ พูดคุยกับซูฉิน แล้วจู่ๆวินาทีต่อมาเขากลับหายตัว ไปอย่างเงียบๆ ราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
“เป็นวิธีหลบหนีที่น่าสนใจ”
มีเพียงซูฉินเท่านั้นที่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
ในสายตาของเจ้าอาวาสขี่ยเหวินและคนอื่นๆ บรรพชนเก้าได้หายวับไปในอากาศ ไม่อาจคาดเดาได้ แต่ในมุมมองของซูฉิน นี่เป็นเพียงการสําแดงเดชด้านความเร็วจนถึงขีดสุดของบรรพชนเก้าเท่านั้น
ชั่วครู่ก่อนหน้านี้ บรรพชนเก้าใช้ทักษะลับบางอย่างในการเคลื่อนย้ายหลบหนีไปทางทิศตะวันตกด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
และแม้แต่ร่างของบรรพชนเก้าที่เลือนหายไปในตอนสุดท้าย ก็ไม่มีอะไรมากกว่าภาพติดตาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลังเพราะความเร็วที่สูงอย่างยิ่ง
ซูฉินชําเลืองมองไปทางที่บรรพชนเก้าหลบหนีไปอย่างครุ่นคิด สายศีรษะแล้วกล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าไม่มีทางหนีพ้น”
ไม่ว่าจะเป็นดวงตาแห่งสัจจะหรือวิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ก็สามารถตรวจจับพลังได้ทุกประเภทบนโลก
ตราบใดที่ซูฉินได้เห็นบรรพชนเก้าครั้งหนึ่งแล้ว แม้ว่าอีกฝ่ายจะหนีไปจนสุดขอบโลก เขาก็สามารถจับตําแหน่งเฉพาะได้ในระยะทางไกลแสนไกล
นี่คือเหตุผลที่ฉันยังไม่ได้ไล่ตามไป
เว้นแต่บรรพชนเก้าจะออกจากโลกใบนี้ ซ่อนตัวอยู่ภายในสมบัติพื้นที่มิติที่แยกตัวเป็นอิสระจากโลกนี้อย่างวิหารการสงคราม ไม่เช่นนั้นบรรพชนเก้าจะอยู่ในสายตาของซูฉินตลอด ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือขึ้นดูเท่านั้น
“ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์”
ในเวลานี้ เจ้าอาวาสขี่ยเหวินและหัวหน้าตําหนักต่างก็รวมตัวกันโค้งคารวะมาทางซูฉินด้วยความเคารพ
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
ซูฉินโบกมือ และมองไปยังศิษย์วัดเส้าหลินคนอื่นๆ
แม้ว่าซูฉินและบรรพชนเก้าจะทําเพียงแค่ประมือกันเท่านั้น แต่ก็หลอมรวมเคล็ดวิชาไว้มากมาย สําหรับศิษย์วัดเส้าหลินบางคนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับชั้นที่เก้าก็นับเป็นหายนะไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามที่หมัดขวาของซูฉินปะทะเข้ากับสายประคําของบรรพชนเก้า ผลที่ตามมาคือแรงระเบิด ขนาดยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุดที่มีดวงใจพุทธะยังสิ้นสติไปครู่หนึ่ง ศิษย์ธรรมดาคนอื่นๆจะเป็นเยี่ยงไรเล่า?
ศิษย์วัดเส้าหลินในขอบเขตสามระดับกลางและสามระดับบนนั้นปกติดี แต่ใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเซียว ดูอ่อนระโหยโรยแรง ต้องพักฟื้นสักครู่ใหญ่ แต่ศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตสามระดับล่างนั้นถึงกับหมดสติไป
ถ้าไม่ใส่ใจเรื่องนี้ในภายหลัง ศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตสามระดับล่างเหล่านี้จะก่อเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกขึ้นมาอย่างแน่นอน และเป็นการยากที่จะก้าวหน้าต่อไป บางทีอาจจะทําให้คลุ้มคลั่งได้อีกด้วย
หลังจากที่ซูฉินกวาดตามองไป หัวหน้าตําหนักก็ตอบสนองทันทีและรีบก้าวเข้าไปตรวจสอบศิษย์ที่หมดสติ
หัวหน้าลานโพธิ์นั้นเก่งในเรื่องการปรุงโอสถและมีทักษะทางการแพทย์ ในขณะที่เขาตรวจสอบเหล่าศิษย์วัดเส้าหลินหลายสิบคนที่หมดสติไป คิ้วของเขาก็ยื่นเข้าหากันเล็กน้อย
“เจ้าอาวาส”
หัวหน้าลานโพธิ์เดินไปหาเจ้าอาวาสขี่ยเหวินอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ําเสียงที่หนักแน่นว่า “ศิษย์ที่หมดสติไปอยู่ในสภาวะที่แปลกมาก ดูเหมือนว่าจะเกิดอาการธาตุไฟเข้าแทรกเสียแล้ว”
คําที่กล่าวออกมา
ท่าทีของเจ้าอาวาสขี่ยเหวินก็เปลี่ยนไป
เจ้าอาวาสขี่ยเหวินจะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งนี้ได้อย่างไร กว่าหลายสิบปีที่แล้ว เพราะกระหายที่จะประสบความสําเร็จอย่างรวดเร็ว เขาเกือบจะสร้างปัญหาเข้าแล้ว หากไม่ใช่ว่าซูฉินได้ยื่นมือเข้าช่วยไว้ได้ทันเวลา เกรงว่าจะไม่มีเจ้าอาวาสขุ่ยเหวินอีกต่อไป