เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 3
Sign in Buddha’s palm 3 สมบัติของซูฉิน
“คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น วิชาที่วัดเส้าหลินสร้างขึ้นมานี้ ใครต่างก็รู้กันว่ามันช่วยเสริมสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง ตราบใดที่ฉันฝึกมันไปทีละขั้นก็เป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นแล้วว่าฉันจะได้เข้าสู่สามระดับบนเมื่อไหร่”
“พระรูปอื่นๆ ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าตำหนักก็เถอะ เวลาฝึกฝนวิชาเปลี่ยนเส้นเอ็นก็จำต้องระวังอย่างยิ่งยวด เพราะความเข้าใจถึงหลักคำอันลึกซึ้งแท้จริงในตัวคัมภีร์อาจคลาดเคลื่อนไปได้”
“แต่ฉันนั้นแตกต่าง ด้วยการส่งผ่านข้อมูลของระบบมันก็เหมือนกับสร้างตึกสูงที่ตั้งตระหง่านแบบที่ในปกติแล้วจะไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้เลย แต่ด้วยพลังของระบบฉันสามารถเดินทางไปที่ตึกตระหง่านนั่นได้ง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องมัวแต่เดินไปตามทางแยกหรือหลงทาง”
ซูฉินระงับพลังปราณในกายเอาไว้ ไม่เร่งรีบที่จะทะลวงผ่านขั้น เพียงรักษาจุดสูงสุดของขอบเขตชั้นที่เก้าให้เสถียรเท่านั้น
พลังภายในจุดสูงสุดของชั้นที่เก้าค่อยๆ เคลื่อนที่ช้าลงภายใน ทำให้หูและดวงตาของซูฉินรับภาพเสียงได้แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น สามารถมองเห็นรากไม้ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบเมตรได้ชัดเจน
“แก่นแท้ของการฝึกยุทธควรจะเป็นการวิวัฒนาร่างกายของมนุษย์ขึ้นไปนี่เองสินะ”
“ในคัมภีร์ระบุไว้ว่าผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสามอันดับบนคือการก้าวเท้าเข้าสู่การพัฒนายกศักยภาพของตนขึ้นไปอีกขั้น พวกเขาเหล่านั้นจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะไม่เหมือนใคร”
“ถึงแม้จะเป็นวัดเส้าหลินก็เถอะ ผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในสามอันดับบนก็เพียงพอที่จะสามารถนั่งตำแหน่งหัวหน้าตำหนักได้เลย”
“มันได้กล่าวเอาไว้อีกว่า เหนือไปว่าสามอันดับบนของชาวยุทธยังมีขั้นปฐพีสวรรค์ที่กว้างใหญ่ไพศาล…”
ความปรารถนาแอบก่อตัวในใจของซูฉิน
“ไม่ว่ายังไงก็ตามเรื่องที่ฉันเข้าสู่ชั้นที่เก้าจะต้องให้ใครรู้ไม่ได้”
ซูฉินรู้สึกกดดันในใจ
ปุถุชนคนใดเดิมแล้วไร้ซึ่งความผิด หากแต่ถือครองหยกล้ำค่าไว้กับตัวยามนั้นเล่าจึงมีความผิด
ในฐานะคนที่เดินทางข้ามมิติอย่างซูฉิน เขาจะไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง?
แม้ว่าวัดเส้าหลินจะมีเกียรติ รักษาความถูกต้อง แต่ซูฉินจะไม่เอาชีวิตของตนไปขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของวัดเส้าหลินหรอก
คิดถึงเรื่องนี้ซูฉินก็ระแวงขึ้นมาในใจแล้วตัดสินใจว่าอนาคตในวัดเส้าหลินแห่งนี้เขาจะต้องระมัดระวังและหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น
…
เวลาผ่านเลยไป
รวดเร็วราวกะพริบตา ห้าปีก็ล่วงเลย
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมาซูฉินยังคงทำหน้าที่กวาดลานวัดอย่างขยันขันแข็ง ไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
ถึงจะไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับเขา ซูฉินก็แอบได้ยินมาเหมือนกันว่าเณรจากลานจิปาถะบางคนถูกจับได้ว่าลักลอบเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างลับๆ แต่เมื่อเรื่องนี้แดงขึ้นมาหัวหน้าตำหนักถึงกับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟไล่เณรเหล่านั้นออกจากวัดไปเลย
ขับไล่ออกจากวัดเส้าหลินเยี่ยงนั้นหรือ?
หากเป็นก่อนหน้าที่จะเข้ามาสู่วัดเส้าหลิน ซูฉินจะต้องตื่นเต้นดีใจเป็นแน่ถ้าได้ค้นพบว่าเขาสามารถที่จะ‘กลับไปเป็นฆราวาส‘ ได้ด้วยวิธีแบบนี้
เพราะชีวิตวันๆ ทั้งหมดในวัดเส้าหลินแห่งนี้มันสุดแสนจะน่าเบื่อ มองไปก็เห็นแต่พระพุทธรูปกับโคมไฟสีเขียว เขาที่เคยเป็นนายน้อยสามแห่งตระกูลซูจะพึงพอใจได้อย่างไร
เพียงแต่ว่าตอนนี้นั้น….
แม้จะเป็นหัวหน้าตำหนักใด หรือแม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมาคุกเข่าขอร้องให้เขาออกไปจากวัดเส้าหลิน ก็ไม่มีทางเสียหรอกที่เขาจะออก เขาจะขอปฏิเสธที่จะออกจากวัดเส้าหลิน
สำหรับคนอื่น วัดเส้าหลินอาจจะเป็นสถานที่คุมขัง เป็นดั่งพันธนาการ
แต่ในสายตาของซูฉินเส้าหลินคือแหล่งขุมทรัพย์อันหาได้ยากยิ่ง
สิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่กวาดลานวัดแล้วก็ลงชื่อเข้าใช้ทุกๆ วัน แค่นี้ก็ได้ลับเคล็ดวิชาอันหลากหลาย โอสถจิตวิญญาณ โอสถอันน่ามหัศจรรย์ และความแข็งแกร่งที่ตัดผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า
จะมีที่อื่นไหนดีเท่าที่นี่ได้อีกเล่า?
ในเวลาห้าปีมานี้ ซูฉินเที่ยวท่องไปทั่ววัดเส้าหลินในนามของเณรกวาดลาน
ยกเว้นสถานที่ต้องห้ามบางแห่ง เหนือจรดใต้ซูฉินนั้นไปลงชื่อมาทั่วทั้งวัดแล้ว
ที่ด้านนอกของลานธรรมซูฉินไปลงชื่อแล้วได้รับ [หมัดอรหันต์] [พลังระฆังทอง] และเคล็ดวิชาบ่มเพาะอื่นๆ อีกมากมาย
ที่ด้านนอกของตำหนักยุทธสงฆ์ซูฉินไปลงชื่อแล้วได้รับ [หมัดอรหันต์] [หมัดสะกดมาร] และวิชายุทธ์อื่นๆ
ส่วนที่ด้านนอกลานอรหันต์ซูฉินก็ไปลงชื่อแล้วได้ [วิชากายาวัชระคงกระพัน] มา
แล้วตอนที่ไปลงชื่อใต้ต้นไม้อายุร่วมพันปีก็ยังได้รับ [ดัชนีบุปผาร่วงโรย]
ตอนที่ลงชื่อเข้าใช้ที่นอกหอคอยสะกดมารก็ยังได้รับ [มนต์อเวจี] [สะกดกลืนดารา] แล้วยังได้รับอาคมอื่นๆ มาอีก
…
ลงชื่อเข้าใช้มานานกว่าห้าปี ซูฉินก็พบว่าหลายสถานที่ในวัดเส้าหลินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงครั้งเดียวหรือบางที่ก็หลายครั้งหน่อย
อย่างเช่นโถงประชุมใหญ่ หลังจากที่ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ในตอนนั้นแล้วได้รับ [ฝ่ามือยูไล] มา เขาก็ไม่สามารถจะลงชื่อเข้าใช้ได้อีกเป็นครั้งที่สอง
แต่กับบางที่ก็ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้เรื่อยๆ
เช่น ศาลาคัมภีร์ ผู่ถีย่วน (ลานโพธิ์) และหอคอยสะกดมาร
ในศาลาพระคัมภีร์เขาลงชื่อเข้าใช้และได้รับเคล็ดวิชาบ่มเพาะหลากหลายแขนง อย่างเช่น กระบวนท่าเส้าหลิน 72 กระบวน ที่ซูฉินก็ลงชื่อเข้ารับไว้แต่นานแล้วและโดนส่งผ่านข้อมูลเข้ามาโดยระบบ มันช่วยอย่างมากในการฝึกฝนการบ่มเพาะพลังให้อยู่ในจุดสมบูรณ์แบบ
สำหรับตำหนักผู่ถี (ลานโพธิ์) ซูฉินก็ลงชื่อเข้าใช้เสียจนจำไม่ได้แล้วว่าเก็บโอสถมาทั้งหมดกี่เม็ด พวกโอสถเสริมศักยภาพทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็ก โอสถชำระไขกระดูก ไหนจะยังยาตื่นรู้…
ในหมู่ผลของโอสถ โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ให้ผลมากเป็นสิบเท่าของโอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็ก โอสถชำระไขกระดูกช่วยชำระล้างกล้ามเนื้อตัดผ่านกระดูกและปรับเปลี่ยนกายเนื้อซึ่งมันช่วยในการฝึกวิชากายาวัชระคงกระพันอย่างมาก
นอกนั้นก็คงเป็นหอคอยสะกดมาร
หอคอยสะกดมารเป็นสถานที่ที่เหล่าพระอาจารย์ปราบปรามและคุมขังเหล่ามารร้ายแห่งยุทธภพไว้ ซูฉินก็มักจะมาลงชื่อที่นี่เป็นประจำเพื่อรับอาคมประเภทต่างๆ
เวลาที่ผ่านไปซูฉินไม่กังวลนักเวลาจะไปไหนมาไหน
อย่างไรเสีย แม้บางคาถาจะมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมัน ในวัดเส้าหลินนี้ หากมันถูกค้นพบเข้าโดยเจ้าอาวาสก็คงจะเป็นเรื่องไม่น้อย
นอกจากนี้เหล่ามารร้ายที่จะถูกนำมาขังในหอคอยสะกดมารก็มักจะอยู่ในระดับชั้นใกล้เคียงกันไปเสียหมด แทบจะไม่มีพวกที่อยู่ในสามระดับบนของวิทยายุทธเลยด้วยซ้ำ
ถึงให้ซูฉินมาลงชื่อที่นี่ทุกวัน สิ่งที่คว้าได้ไปก็คงไม่ได้อะไรมาก
จะดีกว่าถ้าใช้โอกาสที่มีไปลงชื่อที่ศาลาพระคัมภีร์และผู่ถีย่วน
ห้าปีมานี้นอกจากการที่ได้รับของรางวัลจากการลงชื่อจำนวนมากแล้วนั้น ฐานการฝึกฝนของซูฉินได้ขึ้นไปถึงชั้นที่สี่
ระดับชั้นที่สี่!
นั้นคือขั้นสูงสุดของสามระดับกลาง เพียงก้าวออกไปก็จะเข้าถึงสามระดับบนอยู่แล้ว
แม้แต่สุดยอดพรรคในยุทธภพอย่างวัดเส้าหลิน ตัวตนผู้บ่มเพาะระดับชั้นที่สี่ถือว่าเป็นฐานะอันสูงส่ง เป็นรองก็เพียงแต่เจ้าตำหนักและเจ้าอาวาสเท่านั้น
ชาวยุทธทั่วๆ ไป ต่อให้มีพรสวรรค์โดดเด่นเพียงใด อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาเป็นยี่สิบปี ฝึกฝนอย่างหนักไปตามขั้นตอนการฝึกฝนปกติถึงจะมาถึงชั้นที่สี่ได้
นี่คือกล่าวถึงชาวยุทธเหล่านี้ได้รับทรัพยากรที่เหมาะสมระหว่างฝึกอย่างต่อเนื่องมาด้วย
แต่กระนั้นซูฉินทำมันได้ภายในห้าปี ถ้าจะให้พูดให้ชัดกว่านั้นก็ต้องบอกว่าต่ำกว่าห้าปี
ซูฉินน่ะเข้าสู่ระดับชั้นที่สี่มาตั้งแต่ปีที่แล้ว
“ผ่านมาก็ห้าปีแล้ว ข้าได้แต่คาดเดาไปว่าป่านนี้ตระกูลซูคงจะเริ่มฟื้นฟูกลับมาได้แล้วกระมัง” ซูฉินเดินไปทางลานโพธิ์และพูดกับตนเองในใจ “ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
[ขอแสดงความยินดีกับโฮสต์ ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับโอสถ ‘โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่‘]
“โอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่งั้นรึ?”
ซูฉินพยักหน้าน้อยๆ
หลังจากขึ้นสู่ระดับชั้นที่สี่ โอสถเสริมศักยภาพขนาดเล็กก็ไร้ประโยชน์สำหรับเขา มีเพียงโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่เท่านั้นที่จะช่วยเพิ่มพลังบ่มเพาะของเขาได้
กริ๊ง
กริ๊ง
ซูฉินเทยาในขวดโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ลงไปในปากด้วยท่าทีสบายๆ เคี้ยวกลืนตัวยาราวกับมันเป็นเยลลี่
ถ้าเกิดว่าใครมาเห็นโอสถนี้เข้าล่ะก็ โอสถที่ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินแม้แต่ลานโพธิ์ก็ยังปรุงโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่ออกมาได้ไม่มากนักในปีหนึ่ง เอามาให้เณรกวาดลานวัดกินแบบนี้ ใครเห็นเข้าเป็นใครก็ต้องหัวใจแตกสลาย
“ท่านพ่อท่านแม่น่าจะจัดการทุกอย่างไปได้ด้วยดี ไหนจะมีพี่ใหญ่กับพี่รองอีก เขาไม่จำเป็นต้องให้ฉันไปช่วยหรอก”
ในช่วงปีแรกที่อาศัยอยู่ในวัด ซูฉินได้รับจดหมายจากครอบครัวและรู้ว่าตระกูลซูขับไล่ศัตรูออกไปแล้ว ถ้านับโดยพื้นฐานก็คงปลอดภัยดี
เพราะแบบนั้นเองซูฉินเลยสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่วัดได้มาตลอดห้าปี
ในช่วงเวลานี้ตระกูลซูจึงมีพยายามมากกว่าหนึ่งครั้งหาวิธีการพาซูฉินออกจากวัดโดยไม่เลือกวิธี
แต่ทุกครั้งซูฉินก็ปฏิเสธออกไป
ไม่ต้องกล่าวถึงตระกูลซูเลย แม้แต่วัดเส้าหลินเป็นผู้อนุญาตด้วยตัวเองซูฉินก็จะไม่ยอมจากไป
เวลาเที่ยง ซูฉินกำลังไปตระเตรียมอาหารอย่างง่ายๆ
ตอนที่เขาเดินผ่านลานอรหันต์ เขาเห็นพระเณรมารวมตัวกันอยู่มากมาย กระซิบกระซาบบางสิ่ง
พอซูฉินเดินมาถึง เขาก็พอจะตระหนักได้ว่ามีพระรูปหนึ่งต้องการจะบุกฝ่าค่ายกลทองแดงของตำหนักลานอรหันต์
ค่ายกลทองแดงสร้างขึ้นไว้เป็นพิเศษเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเหล่าศิษย์มันแบ่งเป็น ค่ายกลทองแดง 18 แถว ค่ายกลทองแดง 36 แถว ค่ายกลทองแดง 72 แถว และค่ายกลทองแดงร้อยแปดแถว