เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 33
Sign in Buddha’s palm 33 ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต
“หรือข้าควรจะเรียกเจ้าว่า‘มารพุทธะ‘เล่า……”
ซูฉินกล่าวออกไปเช่นนี้
การแสดงออกของภิกษุจีวรสีทองเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก มองไปที่ซูฉินด้วยอาการไม่อยากจะเชื่อ
เขาไม่คาดหวังว่าซูฉินจะเห็นตัวตนของเขาได้ตั้งแต่แวบแรก
รู้หรือไม่ว่าเป็นเวลากว่าเก้าร้อยปีแล้วที่เขาถูกผนึกเอาไว้ทั้งยามกลางวันและค่ำคืน ความแข็งแกร่งเขาถูกหลอมรวมกับผนึกตราประทับไปเสียแล้ว
ดังนั้นเขาจึงสามารถสลับวิถีพลังได้อย่างอิสระระหว่าง ‘วิถีแห่งพุทธะ‘ และ ‘วิถีแห่งมาร‘ เว้นแต่อรหันต์ถัวกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บุคคลอื่นใดก็ไม่สามารถจะรู้ได้ว่าภิกษุจีวรสีทองรูปนี้เป็นใคร
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
รังสีมารแผ่ออกมาจากดวงตาของภิกษุจีวรสีทอง
“ข้ารู้ได้อย่างไรน่ะหรือ?”
ซูฉินไม่ได้ตอบคำ
เมื่อสังเกตด้วยดวงตาแห่งสัจจะ ซูฉินได้ค้นพบมาตั้งแต่แรกแล้วว่ากลิ่นอายของพระภิกษุที่สวมจีวรสีทองนั้นคล้ายคลึงกับพลังมารที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน แปลว่ามีจุดกำเนิดเดียวกัน
ดวงตาแห่งสัจจะเป็นอาคมมหัศจรรย์ที่ซูฉินลงชื่อรับมา ไม่ว่ามารร้ายตนนี้จะซ่อนมันไว้ดีมากแค่ไหนก็ไม่รอดพ้นไปจากดวงตาแห่งสัจจะ
“ข้าล่ะอยากรู้เสียจริง ผ่านมาตั้งเก้าร้อยปีแล้ว ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่?”
เมื่อซูฉินกล่าวเช่นนั้นตาก็มองไปที่ภิกษุจีวรทองอีกครั้งพร้อมกับส่ายหัว “ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะละทิ้งกายหยาบไปสิ้น แล้วคงอยู่ในรูปของจิตมารจนรอดชีวิตมาถึงบัดนี้”
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งสามารถหล่อเลี้ยง ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ได้ และในขณะที่จุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งสามารถควบแน่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อม ตรวจจับสิ่งแปลกปลอม และถึงขนาดสังหารผู้คนผ่านอากาศ
ส่วนระดับ‘อรหันต์‘ ซึ่งเป็นผู้ที่เหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งอย่างสิ้นเชิง มีจิตวิญญาณแรกกำเนิดเป็นของตนเอง มีฤทธิ์เทียบเท่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของทางลัทธิเต๋า
แม้ร่างกายจะสูญสลายแต่อาศัยที่ว่ามีจิตวิญญาณแรกกำเนิด ตัวตนระดับอรหันต์จะไม่ตายในทันที แต่ว่าในเมื่อร่างกายไม่เหลือแล้ว จิตวิญญาณแรกกำเนิดย่อมไม่มีที่ยึดเกาะและจะค่อยๆ สลายไปในที่สุด
มารพุทธะได้ฝังจิตวิญญาณแรกกำเนิดไว้ที่ภูเขาด้านหลัง ดังนั้นเขาจึงมีชีวิตอยู่รอดได้มาจนถึงตอนนี้ ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่จิตวิญญาณแรกกำเนิดก็เหมือนกับร่างกายนั่นแหละที่จะร่วงโรยลงไป มันสามารถโรยราลงได้เหมือนกันเพียงแต่ช้ากว่าร่างกายก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่มีร่างกาย มารพุทธะย่อมจะไม่สามารถแสดงพลังในระดับ ‘อรหันต์‘ ได้อีกต่อไป
“เจ้าหลอกข้าเข้ามานี่เพราะอยากจะยึดเอาร่างข้าหลบหนีออกไปงั้นหรือ”
ซูฉินมองไปที่จีวรสีทองของภิกษุรูปนั้นแล้วค่อยๆ พูดขึ้นว่า “นี่เป็นโอกาสเดียวของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าต้องการจะปลดตราประทับ ก็คงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้น”
พระจีวรสีทองฟังคำพูดของซูฉินแต่ไม่ตอบคำกลับไป
โดยไม่รู้ตัวก็พบว่าจีวรสีทองที่ภิกษุผู้นี้ห่มคลุมอยู่ค่อยๆ ถูกย้อมไปด้วยสีดำสนิท และความมืดมิดก็แผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณด้วยอัตราเร็วที่น่ากลัว
บูม!
ในพริบตา
ถ้ำพระพุทธซึ่งเต็มไปด้วยไอธรรมกลับกลายไปเป็นอาณาเขตรังของมารร้าย เสียงปีศาจคำรามก้อง
พลังมารสีดำท่วมไปทั่วถ้ำ ควบแน่นกลายเป็นสัตว์ประหลาดมายา แต่ละตนแสยะยิ้มมาทางซูฉิน
“ไม่เลวนี่”
“ความคิดที่แกบอกมานั้นยอดเยี่ยมทีเดียว!”
มารพุทธะฉีกโฉมหน้าตัวตนปลอมทิ้งไปแล้วมองมาที่ซูฉินเหมือนหมาป่าหิวโหย “ร่างกายของเจ้ามีการปรับปรุงจนถึงขีดสุดแล้ว และไม่ใช่ทั้งเส้นทางของกายาหยินสุดขีดหรือร่างกายหยางอันร้อนแรง แต่เป็นกายเนื้อที่มีทั้งหยินและหยางร่วมกัน”
“ร่างกายแบบนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งในรอบหลายพันปี ศักยภาพของมันไร้สิ้นสุด หากข้าได้รับมันมาล่ะก็ ข้าจะสามารถกลับไปยืนอยู่จุดสูงสุดที่เคยจากมาได้ภายในหนึ่งร้อยปี!”
มารพุทธะไม่ได้สนใจซูฉินมากนัก แม้ตอนนี้มันจะไม่มีกายเนื้อ แต่มันก็สามารถจัดการปัญหาได้ด้วยจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพียงเท่านั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะรับมือได้
แม้ว่ายอดปรมาจารย์ผู้นั้นจะกลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของตนเองได้แล้ว รวมถึงปรับปรุงร่างกายจนขีดสุดแล้วก็ยังห่างไกลจากคำว่าเพียงพอ
สาเหตุที่มารพุทธะไม่ก่อเหตุที่ภายนอกเป็นเพราะผนึกนั้นยับยั้งอำนาจของมัน พลังอำนาจของมันไม่สามารถใช้ออกไกลเกินภูเขาต้องห้ามหลังวัด
แต่เมื่อซูฉินเข้ามาที่ภูเขาด้านหลัง ชีวิตและความตายของซูฉินก็อยู่ในเงื้อมมือของมันเป็นที่เรียบร้อย
“ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าในการยินยอมมอบกายเนื้อของเจ้ามาเสีย หากเจ้าเชื่อฟัง ข้าจะทำให้ความตายของเจ้ามันเป็นเรื่องง่าย และสะดวกสบาย”
“หาไม่แล้ว ข้าจะแผดเผาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าด้วยเปลวเพลิงวิญญาณไปนานนับร้อยปี!”
มารพุทธะมองซูฉินอย่างเย้ยหยัน
เหตุผลที่มันกล่าวเช่นนี้ก็เพราะกังวลว่าซูฉินจะเสียชีวิตหรือไปทำให้กายเนื้อ‘ได้รับบาดเจ็บ‘ โดยไม่ตั้งใจ
“ใช่หรือ?”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเอาชนะข้าได้?”
ซูฉินกล่าวเสียงเบา
“ชนะเจ้าน่ะหรือ?”
มารพุทธะยิ้มหยามหยัน “แม้ว่าข้าจะไม่สามารถทำลายผนึกได้อย่างสมบูรณ์ แต่เวลากว่าเก้าร้อยปีข้าก็ได้ฉีกทำลายทิ้งริ้วรอยไว้บนตราประทับมากมาย”
“ถึงแม้จะเป็นแค่รอยรั่วเล็กๆ ไม่สามารถปลดปล่อยตัวข้าออกไป แต่พลังที่ข้ามียามนี้ก็เกินพอจะสังหารเจ้าให้สิ้น!”
สิ่งที่มารพุทธะกล่าวล้วนเป็นความจริง
แม้ว่ามันจะละทิ้งกายหยาบไป ไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ของระดับ ‘อรหันต์‘ ที่แท้จริงได้ แต่มันก็ยังเหนือกว่าระดับชั้นที่หนึ่งอยู่มาก
“เนื่องจากเจ้าไม่จำนนส่งมอบร่างกายของเจ้ามา”
“ข้าก็ทำได้เพียงแย่งชิงมาจากเจ้าด้วยตัวเอง”
มารพุทธะหมดความอดทน สีหน้าของมันเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นแล้วลดมือลงไปในทิศทางที่ซูฉินยืนอยู่ห่างออกไป
ทันใดนั้น
ถ้ำปีศาจสั่นสะเทือน พลังมารมหาศาลรวมตัวกันเป็นมือขนาดใหญ่ค่อยๆ กดลงไปหาซูฉิน
ภายใต้ฝ่ามือทรงพลังระดับนี้ ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไม่สามารถขยับตัวได้แน่ แม้ว่าจะเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นก็ตาม พวกเขาจะทำได้แค่หมดหวัง หลับตาลงรอคอยความตาย
มารพุทธะมองซูฉินอย่างเย็นชา ราวกับมองคนที่ตายไปแล้ว
เขาเชื่อมั่นว่าด้วยการโจมตีครั้งนี้ ต่อให้พลังของซูฉินมีมากกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่าก็ไร้ประโยชน์
ในขณะที่มารพุทธะกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้สามารถใช้ร่างกายของซูฉินได้เร็วที่สุด
ซูฉินก็ก้าวเดินออกไปแล้วมองไปที่ใบหน้าของมารพุทธะ “เจ้าไม่อยากรู้หรือ ว่าทำไมตัวข้าที่มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้าตั้งแต่แรก แต่ก็ยังเข้ามาพร้อมกับเจ้า ให้เวลาเจ้าเตรียมการมากถึงเพียงนี้?”
“ฮะ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นใบหน้าของมารพุทธะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ใช่แล้ว!
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเล่า?
เนื่องจากซูฉินก็รู้ว่าตัวมันไม่ใช่อรหันต์‘ถัว‘ แต่เป็นมารพุทธะที่ถูกสะกดเอาไว้ เหตุใดจึงยังคิดที่จะกระโดดลงมาในกับดักโดยตรงแบบนี้อีก?
เป็นไปได้หรือไม่ที่ซูฉินเป็นคนโง่?
มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร?
แม้แต่ตัวมารพุทธะเองก็ไม่คิดว่ายอดฝีมือระดับชั้นที่หนึ่งจะเป็นคนโง่
ตอนนั้นเอง
ซูฉินพลันก้าวเดินหน้าขึ้นไปอีกหนึ่งก้าว
“เป็นเพราะข้าเองก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกัน!”
ตูม!
เนินเขาทั้งห้าสั่นสะเทือนส่งเสียงคำรามก้อง
โดยมีซูฉินเป็นจุดศูนย์กลาง ห่อหุ้มไปด้วยฝ่ามือยูไลสีทองเข้ม
มีดอกสาละสีทองบานสะพรั่งไปทั่วทิศ ดอกเดียวแทนโลก กลีบใบแทนจักรวาล แตกช่อเป็นชั้นออกไปราวกับผืนดินแสนบริสุทธิ์ไม่มีที่สิ้นสุด
ที่แกนกลางของดินแดนอันพิสุทธิ์มีองค์ยูไลทองคำนั่งตัวตั้งตรง เหมือนพระองค์ได้ทรงมองเห็นสรรพชีวิตทั้งมวล ไม่มีเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีความเกลียด ไม่มีรัก ไม่มีเมตตา เป็นการวางเฉยที่ทรงพลัง กว้างใหญ่จรดชั้นฟ้า
แกร็ก
แกร็ก
ฝ่ามือขนาดยักษ์ที่กอปรด้วยพลังมารพังทลายลงในทันที อาณาเขตรังมารก็ถูกทำลายสิ้น แทนที่ด้วยรัศมีผุดผ่องสว่างไสวไปทั่วจากองค์พุทธะ
“นี่นี่..นี่…..”
มารพุทธะที่คิดว่าตนกำชัยชนะเอาไว้ในมือแน่แล้ว ราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ จ้องมองไปที่ดินแดนอันบริสุทธิ์งดงามแผ่กระจายออกไปอย่างไร้ขอบเขต ที่ใจกลางมีองค์ยูไลยกมือชี้จรดฟ้า อีกมือทิ่มลงพื้นพสุธา ตัวมันได้แต่ส่งเสียงกระซิบที่สิ้นหวังอย่างยิ่งออกมา
“ความหมายจริงแท้แห่งตถาคต!”
“นี่มันคือความหมายจริงแท้แห่งตถาคต!!!”