เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 53
Sign in Buddha’s palm 53 การแปรสภาพกำลังภายใน, ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์!
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเหลือบมองไปยังแต่ละคนที่ยืนอยู่ เขารู้ถึงความสงสัยในใจของเหล่าหัวหน้าตำหนัก
“ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ข้าก็คิดคล้ายๆ กับที่พวกเจ้าคิดนั่นแหละ ทว่าตอนนี้…” เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเว้นไปครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าวต่อ
“จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลบซ่อนอยู่ภายในวัดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อเอาตัวเองไปเทียบกับท่านแล้วข้าไม่อาจจะนับเป็นกบที่อยู่ก้นบ่อได้เสียด้วยซ้ำ…”
ใบหน้าที่ขมขื่นของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินผสมผสานไปด้วยความหวาดกลัวแฝงเร้นอยู่
ไม่ต้องคิดถึงการลงมือครั้งอื่นๆ ของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ช่วงปีก่อนหน้า ในจุดความเป็นตายของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ก็ได้อีกฝ่ายออกมือช่วยเหลือเอาไว้ วิธีการที่อีกฝ่ายใช้ในการช่วยเหลือเขานั้นเจ้าอาวาสจะต้องจดจำไปชั่วชีวิต
ถ้าจะให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวตรงๆ คงจะบอกได้ว่าเขานั้นเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเช่นเดียวกัน แต่หากเขาต้องช่วยผู้ฝึกยุทธที่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรกในรูปแบบเดียวกัน ทางเดียวที่ทำได้คือต้องแลกฐานพลังชีวิตของตนเองเพื่อช่วยชีวิต
วิธีอื่นที่ดีกว่านี้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่สามารถกระทำได้
ร่างกายของมนุษย์นั้นซับซ้อนมาก และหลังจากมีอาการธาตุไฟเข้าแทรก กล้ามเนื้อและเส้นเลือดของผู้ฝึกยุทธจะตกอยู่ในความวุ่นวายสับสน ความแข็งแกร่งของกำลังภายในจะปะทุอย่างรุนแรง แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งเองหากประมาทไปเพียงเล็กน้อยแทนที่จะช่วยชีวิตได้ อาจเร่งอาการธาตุไฟเข้าแทรกให้เร็วขึ้นไปอีก
แต่กับบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ล่ะ?
ไม่เพียงช่วยชีวิตเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไว้ได้ แต่ยังฟื้นฟูพลังของเขากลับมาได้อย่างสมบูรณ์ ความสามารถชนิดกลับตายคืนเป็นระดับนี้นั้นมีอยู่จริงๆ
เมื่อหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้จากปากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน คลื่นลมขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นในใจของพวกเขา
พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะประเมินบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์สูงส่งขนาดนี้
โดยเฉพาะหัวหน้าฝ่ายวินัย ตอนแรกเขาคิดไปว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินแค่ถ่อมตน แต่หลังจากฟังอยู่พักใหญ่ก็เหมือนว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกำลังพูดเรื่องจริง
“ทำหน้าเศร้าแบบนั้นไปเพื่ออะไรกัน?”
“มันน่าจะเป็นเรื่องดีมิใช่หรือที่วัดเส้าหลินมีผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้?!”
หัวหน้าลานโพธิ์ตะคอกอย่างเย็นชาเมื่อเห็นสีหน้าของเหล่าหัวหน้าตำหนัก
ทันใดนั้น
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ตาสว่างในทันที
ถูกต้อง
แม้ว่าสิ่งที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวจะเป็นความจริง ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่อาจคาดเดา แต่สำหรับวัดเส้าหลินแล้วนั้น มันก็เป็นเรื่องที่เยี่ยมยอดมิใช่หรอกหรือ?”
เมื่อนึกได้ดังนั้นใบหน้าของเหล่าหัวหน้าตำหนักก็สว่างไสวไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง
และสิ่งที่หัวหน้าตำหนักทุกคนรวมถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่อาจรู้ก็คือ บทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นล่วงรู้มาถึงหูของซูฉินที่กำลังกวาดลานอยู่ไม่ไกล
“บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์?”
ซูฉินจะหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก
ถึงแม้เขาจะได้ยินศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนพูดถึง ‘บรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์‘ อยู่บ่อยๆ แต่ขณะนี้แม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังให้ความเคารพเขาประดุจ ‘ผู้อาวุโส‘ มันทำให้ซูฉินรู้สึกขบขันไม่น้อยทีเดียว
เวลาต่อมา
หลังจากสนทนากันต่ออีกนิดหน่อย เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักก็พากันแยกย้ายกลับไปที่ตำหนักของตนเพื่อทำธุระส่วนตัว
เรื่องที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกลายเป็นสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับชั้นที่หนึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ธุระอื่นๆ ก็ไม่สามารถละเลยได้
ทันทีที่กลับมาถึงลานจิปาถะ ซูฉินก็เห็นศิษย์วัดบางคนรวมกลุ่มกันอีกครั้งพร้อมกับกระซิบกระซาบบางสิ่ง
“เจ้าได้ข่าวมาหรือไม่? เรื่องฐานที่มั่นพรรคมารในยงโจวน่ะ ว่ากันว่ามันถูกกวาดล้างโดยพระนิรนามรูปหนึ่ง”
“ผู้อาวุโสในสามระดับบนของพรรคมารและแม้แต่ประมุขพรรคตายเรียบ”
“พรรคมารที่ยิ่งใหญ่ล่มสลายลงในชั่วข้ามคืน สาวกจำนวนนับไม่ถ้วนของพรรคมารต่างกระเสือกกระสนหนีตายเอาชีวิตรอด”
สามเณรวัยรุ่นพูดอย่างฉับไว น้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ
ซูฉินผงะไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินการสนทนาเหล่านั้น
เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่านั่นเป็นฝีมือเขาเอง แต่ก็ผ่านมาตั้งหนึ่งปีแล้วไม่ใช่หรือ?
ทำไมยังมีคนพูดถึงเรื่องนี้ในตอนนี้อีก?
ไม่นานซูฉินก็คิดได้
เขาจะเทียบโลกนี้กับโลกเก่าไม่ได้ โลกนี้ไม่ได้มีเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร ความเร็วในการกระจายข่าวจึงลดลงอย่างมากเป็นธรรมดา
โดยเฉพาะยงโจวที่อยู่ห่างไกลวัดเส้าหลินหลายพันลี้เช่นนี้
บางทีเหล่าหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอาจจะมี ‘ช่องทาง‘ ข่าวสารลับพิเศษ และรู้เรื่องทั้งหมดนี้อยู่นานแล้ว
แต่พระเณรเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าคงจะไม่มีบางสิ่งที่สูงค่าเช่นนั้น
ตอนที่ซูฉินคิดเรื่องนั้น
เหล่าศิษย์ก็พูดคุยกันต่อ
“เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ พรรคมารมียอดฝีมือตั้งมากมาย ถ้าถูกกวาดล้างได้ง่ายดายปานนี้ พรรคมารจะอยู่รอดมาได้อย่างไรตั้งหลายปี?”
“แน่นอนว่านี่คือเรื่องจริง แหล่งข้อมูลนี้เชื่อถือได้ ลูกพี่ลูกน้องของข้าที่อยู่ที่ยงโจวเป็นคนเล่าให้ฟังเอง!”
เณรน้อยที่เล่าข่าวในตอนแรก ตบอกตนเองเพื่อยืนยัน
“ข้าไม่รู้หรอกว่าตัวตนของทั้งพระนิรนามและบรรพบุรุษสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ของวัดเส้าหลินเป็นใคร…แต่การแสดงความแข็งแกร่งในการกวาดล้างพรรคมารจนสิ้นครั้งนี้ถือเป็นตำนาน!”
ศิษย์หลายคนมีร่องรอยความชื่นชมอยู่ในดวงตาแล้วก็กระซิบกระซาบกัน
“ใช่ ข้าหวังว่าวันหนึ่งตัวข้าเองจะมีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามรูปนั้น มิรู้จะเป็นไปได้หรือไม่?”
สามเณรตั้งหน้าต้องตารอคอยวันนั้น
“อย่าได้ฝันเฟื่อง ต่อให้เจ้าฝึกไปอีกพันปีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปถึงระดับเดียวกันกับสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามหรอก”
ศิษย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ กลอกตาแล้วกล่าวคำ
“ใช่ ถ้าเจ้ามีเวลาว่างขนาดฝันเฟื่องละก็ เอาเวลามาตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขันแข็งดีกว่า บางทีเจ้าอาจจะร้องขอหัวหน้าลานให้ย้ายเจ้าไปอยู่ตำหนักยุทธสงฆ์หรือไม่ก็ลานอรหันต์ได้ก็ได้…”
“ได้ พวกเจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้า!!!”
เณรหนุ่มเกิดน้อยใจขึ้นมาในทันที
ในตอนนั้นเอง
เมื่อเห็นว่าซูฉินกำลังเดินมา เหล่าศิษย์จึงไม่กล้าจับกลุ่มพูดคุยอีกต่อไป กระจัดกระจายกันไปทีละคน
สำหรับศิษย์เหล่านี้ ‘คุณวุฒิ‘ ของซูฉินนั้นสูงมาก เขาถึงขนาดสามารถพูดคุยกับหัวหน้าตำหนักได้ประกอบกับอายุที่ห่างกันด้วย โดยปกติซูฉินก็มักจะไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ เป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกกลัวเมื่อเห็นซูฉิน
ซูฉินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
สำหรับซูฉินที่มักจะได้ยิน ‘เรื่องซุบซิบนินทา‘ จากเหล่าศิษย์อยู่แล้ว และเขาก็ไม่ได้เก็บเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจเท่าใดนัก
เวลาค่อยๆ ผ่านไป
อีกสามปีก็ผ่านเลย
ในช่วงสามปีที่ผ่านมาซูฉินชำระล้างกำลังภายในของตนเองจนรู้สึกว่าการแปรสภาพกำลังภายในใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
“เกือบแล้ว”
“น่าจะเป็นวันนี้แหละ”
ความคิดของซูฉินแปรผัน พอตกดึกเขาก็พุ่งตรงไปยังพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเพื่อเตรียมการแปรสภาพกำลังภายในที่นั่น
ภูเขาด้านหลังเป็นพื้นที่หวงห้ามของวัดเส้าหลิน ยังคงมีตราประทับที่ถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่เก้าร้อยปีก่อนจึงกล่าวได้ว่านี่คือสถานที่ที่แสนจะปลอดภัยและหลบซ่อนจากสายตาผู้คนได้อย่างแน่นอน
ฟู่!
ฮ่า!
ซูฉินนั่งไขว้ขาขัดสมาธิ กำลังภายในปะทุอยู่ภายในร่างกาย
ฮึบ!!
กลุ่มก้อนเปลวไฟที่ไร้รูปร่างกำลังเผาไหม้อย่างช้าๆ ชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กาลเวลาไม่รู้ว่าผ่านเลยไปนานแค่ไหน
ในช่วงเวลาหนึ่ง
กำลังภายในในร่างของซูฉินเหมือนจะบริสุทธิ์จนถึงจุดเปลี่ยนแปลงคุณภาพไปอย่างสิ้นเชิง และกำลังภายในทั้งหมดก็หดตัวลงไปในตันเถียนปรากฏเป็นของเหลวหนึ่งหยดซึ่งบีบอัดมาจากกำลังภายใน
เมื่อเทียบกับกำลังภายในรูปแบบของไอหมอกก่อนหน้านี้จะเห็นได้ว่ากำลังภายในที่เป็นของเหลวนั้นแข็งแกร่งมากและมีแรงดันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
หยดของเหลวนี้เหมือนจะสร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ หลังจากหยดแรกนั้นกำลังภายในก็ถูกบีบอัดเป็นหยดของเหลว หยดแล้วหยดเล่า แล้วค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว โคจรผ่านเส้นลมปราณอย่างต่อเนื่อง
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่ชั่วโมง
ซูฉินลืมตาขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน ในส่วนลึกของม่านตาเหมือนจะกลับตาลปัตรหมุนวนไปมา
ในเวลานี้ทั้งกำลังภายใน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และร่างกายล้วนสำเร็จการแปรสภาพทั้งหมดแล้ว
เมื่อรวมทั้งสามองค์ประกอบเข้าด้วยกัน จึงเกิดเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์!
ฟู่ว!
สายลมอ่อนๆ พัดออกมาจากซูฉินที่เป็นจุดศูนย์กลาง แผ่กระจายไปทั่วบริเวณโดยรอบ