เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 54
Sign in Buddha’s palm 54 ดินแดนปีศาจทะเลทรายตะวันตก, จอมมารครองผืนฟ้า
“ในที่สุดก็มาถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์เสียที…”
ซูฉินค่อยๆ ลุกขึ้น สายตาสงบนิ่ง เอ่ยกล่าวกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา
ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หลังจากแปรสภาพสามชนิด คือ พลังศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย และกำลังภายใน ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์
อะไรคือขั้นสมบูรณ์?
หมายความว่าได้บ่มเพาะจนถึงขีดสุดของระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว และเพื่อที่จะก้าวไปได้ไกลกว่านี้มีเพียงแต่จะต้องเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ หรือก็คือตำนานยุทธ
นั่นแหละคือระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์
แน่นอนว่าหากต้องการจะบรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ ก็ต้องเข้าใจพลังงานฉีฟ้าดินด้วย
เพียงแต่ว่าพลังงานฉีนี้ไม่ได้ส่งผลต่อความแข็งแกร่งของระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่เข้าใจพลังงานฉีฟ้าดินกับระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ที่ยังไม่เข้าใจพลังงานฉี ความแข็งแกร่งของทั้งคู่นั้นไม่ต่างกัน
“การแปรสภาพสามสิ่งคือร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน ทำให้ข้อบกพร่องของข้าหายไปจนหมด ในเวลานี้ข้าสามารถนับว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากระดับ ‘อรหันต์‘ จริงๆ แล้ว!”
ดูเหมือนว่าจะมีพลังงานหมุนวนที่แสนจะลึกลับด้านในดวงตาของซูฉิน
ปราณชีวิตและเลือดเนื้อของเขาไปถึงจุดที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มีเข้มข้นมากจนเกือบจะส่งผลกระทบต่อโลกความเป็นจริง กำลังภายในก็ควบแน่นจนเป็นของเหลว ทุกหยดมีน้ำหนักและความสำคัญ มันไหลเวียนไปมาระหว่างเส้นลมปราณอยู่ตลอดเวลา
ในเวลานี้ซูฉินสามารถทลายคอขวดเพื่อเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ได้ในทันที ก้าวเข้าสู่ระดับที่ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายในยุทธภพทำได้เพียงแหงนหน้ามองไปชั่วชีวิต
แต่ซูฉินก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
บทเรียนจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินในอดีตได้สอนให้เขารู้ ด้วยการบ่มเพาะของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินนั้นไม่มีปัญหาใดในการก้าวเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่เพราะความกระตือรือร้นที่อยากจะประสบความสำเร็จมากเกินพอดี ในที่สุดก็ธาตุไฟเข้าแทรกจนเกือบตาย
นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างซูฉินกับเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคือ…
ตอนที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเจอปัญหานั้นมีซูฉินคอยช่วย แต่ถ้าเป็นซูฉินเองตกที่นั่งลำบาก ก็คงจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครในยุทธภพที่จะมาช่วยชีวิตของเขาเอาไว้
แม้ว่าอรหันต์ ‘ถัวอา‘ จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็คงไม่สามารถช่วยเหลือซูฉินได้อยู่ดี
“ไม่ต้องเร่งรีบ”
“ค่อยเป็นค่อยไป”
“รอสักสองสามเดือน ปรับสภาพจิตใจให้มีสภาพดีที่สุดก่อน จากนั้นจึงค่อยเตรียมตัวสำหรับการตัดผ่าน”
ความคิดของซูฉินกลิ้งไปหลายตลบ
ในตอนนี้เขาสมบูรณ์พร้อมทั้งสามด้าน คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายใน แต่เขาไม่สามารถรีบร้อนก้าวหน้าได้ มีเพียงแต่ต้องปรับสภาพจิตใจ ปรับความคิดเสียก่อนเท่านั้น
ในช่วงเวลาที่เหลือ
ซูฉินได้ละเว้นการบ่มเพาะอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นไว้แต่การลงชื่อเข้าใช้ที่ต้องทำทุกวัน เขาก็ดูเหมือนกับพระกวาดลานทั่วไปที่ทำงานยามเมื่อแสงแดดส่อง พักผ่อนยามตะวันลาลับขอบฟ้า
ท่องพระคัมภีร์ร่วมกับศิษย์ร่วมสำนัก
ตั้งใจฟังคำสั่งสอนจากเจ้าอาวาสและหัวหน้าตำหนัก
…
ในช่วงเวลาเดียวกัน
ที่ส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก
ทะเลทรายตะวันตกอยู่สุดขอบทางทิศตะวันตกของแผ่นดินใหญ่ เป็นพรมแดนขั้นก่อนจะถึงมหาสมุทร
ถ้าเปรียบว่าเมืองท่ามหาสมุทรมีประชากรอยู่จำนวนมากแล้วล่ะก็ ทะเลทรายตะวันตกคงจะเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเหล่าสิ่งมีชีวิตเป็นแน่
ทะเลทรายนั้นมีพื้นที่โดยรอบเป็นรัศมียาวกว่าล้านลี้
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ ถ้าเข้าไปในทะเลทรายตะวันตกแล้วหลงทาง จะต้องขาดน้ำและอาหารจนตาย
และในตอนนี้
คุนคงสาวกของพรรคมารก็กำลังเดินเข้ามาในส่วนลึกของทะเลทรายตะวันตก
แสงแดดแผดเผาแผ่ความร้อนลงมาอย่างน่าหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะคุนคงนั้นเป็นจอมยุทธในระดับชั้นที่สี่ สามารถใช้กำลังภายในฝืนกระบวนการการสูญเสียน้ำของร่างกาย เขาคงแห้งตายกลายเป็นศพไปแล้ว
“ท่านจอมมาร หากท่านไม่ปรากฏตัวขึ้น ข้าคงต้องตายลงจริงๆ เสียแล้ว…”
ริมฝีปากของคุนคงแห้งแตก ลมหายใจของเขาแผ่วเบามาก
กว่าสี่ปีแล้ว ตั้งแต่ยอดยุทธสามระดับบนทั้งหมดของพรรคมารถูกกวาดล้างโดยภิกษุนิรนามภายในชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นคุณคงจึงได้นึกถึงประมุขพรรคมารคนก่อนที่เดินทางมาทะเลทรายตะวันตกเพื่อปิดด่านฝึกตน
เพื่อที่จะฟื้นฟูพรรคมารกลับมา คุนคงจึงไม่ลังเลที่จะมุ่งหน้ามาที่ทะเลทรายตะวันตก ตามหาประมุขพรรคมารคนก่อน และร้องขอให้เขาออกจากด่านฝึกตนเพื่อปกป้องสาวกนิกาย
แต่ช่างน่าเสียดาย
ตลอดเวลาสี่ปีที่ผ่านมาคุนคงเดินทางอยู่ในทะเลทรายตะวันตกเป็นเวลาสี่ปี ไม่ต้องพูดถึงประมุขพรรคมารคนก่อน แม้แต่มนุษย์สักคนหนึ่งเขาก็ยังไม่พบตัว
“หรือว่าพรรคมารของพวกเราจะถูกลิขิตให้เสื่อมถอยลง และตัวข้าเองก็ต้องมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ด้วยเช่นกัน?”
คุนคงกระแทกเข่าลงบนพื้นเสียงดัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
หลังจากอยู่ในสถานที่บัดซบเยี่ยงนี้มาตลอดสี่ปี คุนคงไม่เพียงแต่โดนทรมานทางร่างกายเท่านั้น จิตใจเขาก็ถูกทำลายลงไปด้วย
หากไม่ใช่เพราะความปรารถนาอันแรงกล้าในใจ คุนคงก็คงจะยอมแพ้พ่ายไปเสียนานแล้ว
ทันใดนั้น
วินาทีนั้น
มีเสียงดังกึกก้อง
เป็นเสียงคำรามอย่างใหญ่โต
คุนคงมองขึ้นไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ เห็นเป็นพายุทรายที่ราวกับจะเชื่อมผืนดินและผืนฟ้าเข้าด้วยกัน
ในทะเลทรายตะวันตกสิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การขาดน้ำหรืออาหาร แต่เป็นภัยธรรมชาติเช่นนี้นี่แล
แม้แต่ยอดฝีมือในสามระดับบน เมื่อเจอเข้ากับพายุทรายขนาดนี้ก็ต้องถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ดี”
“แม้จะตาย ข้าก็ขอมิตายอย่างอดอยากหรือหิวกระหาย”
คุนคงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้ ลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่ ไม่เพียงแต่ไม่หลบหนี แต่ยังเดินเข้าหาพายุทราย
เพียงเท่านั้น
ขณะที่คุนคงเข้าใกล้พายุทรายมากขึ้นเรื่อยๆ หางตาก็กระหวัดไปเห็นบางสิ่งบางอย่างเข้า
“นั่นคือ?”
ใบหน้าของคุนคงเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับเห็นบางสิ่งที่น่าทึ่ง
เขาเห็นจุดสีดำค่อยๆ เข้าไปใกล้ใจกลางของพายุทราย
ไม่ว่าจุดสีดำนี้จะเคลื่อนย้ายไปทางไหน ฝุ่นพายุทรายที่รุนแรงนั้นก็จะหลีกทางให้กับมัน
จุดสีดำเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว และเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นชายในชุดคลุมสีดำ
ต่อหน้าสายตาสุดตื่นตะลึงของคุนคง ชายในชุดคลุมสีดำก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“พลังแปลงโลหิต นี่เจ้าเป็นสาวกพรรคมารของข้าใช่หรือไม่?”
ชายชุดดำมองไปที่คุนคงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
เสียงของเขาขาดช่วงและแหบพร่าเล็กน้อย ราวกับไม่ได้ใช้พูดมาเนิ่นนาน
“จอมมาร”
“ท่านคือจอมมาร!!”
คุนคงปลดเปลื้องภาระอันยิ่งใหญ่ในใจ เขาคุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้ง พร้อมกับส่งเสียงดังออกมาโดยไม่มีความลังเลใจแม้แต่น้อย เขาตะโกนว่า “ข้าคุนคง สาวกพรรคมาร ขอเข้าพบท่านจอมมาร!”
“จอมมาร?”
รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายในชุดคลุมสีดำ “นานมาแล้วที่ไม่มีใครเรียกข้าเช่นนั้น”
“ว่ามาสิ”
“มีธุระอะไรกับข้างั้นรึ?”
ชายชุดดำมองไปที่คุนคง กล่าวคำอย่างเชื่องช้า
เขาใช้เวลาห้าสิบปีในทะเลทรายตะวันตกแห่งนี้ กักตัวอยู่ในสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายทั้งยามกลางวันและยามกลางคืน เวลาผ่านไปนานจนแทบจะลืมไปเสียแล้วด้วยซ้ำว่ามีพรรคมารอยู่ที่ด้านนอก
“ท่านจอมมาร พรรคมารของพวกเราถูกทำลายลงแล้วขอรับ”
คุนคงเงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาเคร่งขรึม
“ทำลาย?”
ชายในชุดดำหรี่ตา
แม้ว่าชายในชุดคลุมสีดำจะไม่สนใจพรรคมารนัก แต่เขาก็เป็นประมุขพรรคมารอยู่ดี
สำหรับชายชุดดำ พรรคมารเปรียบเสมือนทรัพย์สินส่วนตัวของเขา จะดูถูกกันก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากมีใครมาทำลายมันทิ้งแบบนี้ก็เหมือนเป็นการยั่วยุชายชุดดำ
“ท่านจอมมาร เมื่อสี่ปีก่อนมีสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์จากวัดเส้าหลินได้มาเยือนพรรคมาร และด้วยตัวของมันเพียงคนเดียวก็ได้กำจัดผู้อาวุโสและเหล่ายอดฝีมือของพรรคไป ในเวลานั้นทุกคนล้วนอยู่ในสามระดับบน…”
คุนคงไม่กล้าใส่สีตีไข่ พูดทุกอย่างตามความเป็นจริง
“ความแข็งแกร่งของประมุขพรรคมารในยุคนี้คือระดับไหน?” ชายชุดดำถามเบาๆ
คุนคงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออก “ประมุขพรรคน่าจะเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเวลานั้น”
“น่าสนใจ”
“ช่างน่าสนใจจริงๆ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ชายชุดดำก็พูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “วิชาของพรรคมารนั้นเป็นเลิศ แม้จะเพิ่งเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง ต่อให้ต้องสละชีวิตตนเองอย่างน้อยก็ยังสามารถแสดงพลังที่ทัดเทียมกับระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุดได้”
“ด้วยการสังหารประมุขพรรคมารระดับชั้นที่หนึ่งได้อย่างง่ายดายและกวาดล้างผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในคราวเดียว สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามผู้นี้จะต้องเป็นยอดปรมาจารย์ที่แปรสภาพพลังมาแล้วอย่างแน่นอน”
ชายชุดดำไม่เพียงไม่แสดงความหวาดกลัวออกมาทางสีหน้า กลับมีใบหน้าที่มีแต่ความสุขเข้ามาแทน
“ข้าเข้ามาในทะเลทรายตะวันตก ใช้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรงเพื่อขัดเกลาตัวข้าเองทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่เคยย่อท้อแม้สักครั้ง”
เสียงของชายชุดดำดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เป็นเสียงคำรามก้องกระจายไปทั่วทุกหนแห่ง
“ในช่วงห้าสิบปีมานี้ข้าสำเร็จทั้งการแปรสภาพร่างกาย แปรสภาพกำลังภายใน เหลือเพียงแค่พลังศักดิ์สิทธิ์ของข้าเท่านั้น หากมันได้รับการแปรสภาพข้าก็จะได้เข้าสู่ขั้นสมบูรณ์เสียที”
ราวกับดวงตาของชายชุดดำมีกระแสไฟฟ้าวาบผ่าน “อย่างไรก็ตามการแปรสภาพพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นยากเย็นนัก สำหรับข้า มีเพียงการต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งกับผู้ที่แข็งแกร่งระดับเดียวกันเท่านั้นจึงจะมีหวังได้เห็นความสำเร็จ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ไอพลังของชายชุดคลุมสีดำก็เพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น
“ข้าอยากจะรู้นักว่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามของวัดเส้าหลินจะสามารถสร้างความกดดันถึงชีวิตให้กับข้าได้หรือไม่”
ชายชุดดำมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัว ราวกับทวยเทพที่มีพลังในการบงการทุกสิ่งอย่าง