เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 70
Sign in Buddha’s palm 70 ฝ่ามือยูไลเก้ากระบวน ประเสริฐสุดมีเพียงข้า
“องค์ยูไล…”
เด็กชายพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจเท่าไรนัก แต่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากถามต่อ
เด็กชายก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเขาถึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าอาวาสจึงสั่นคลอนต่อหน้าการดำรงอยู่ของอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เขากำลังจะได้ประจักษ์
“หลังจากที่เข้าไปแล้ว อย่าได้ส่งเสียงดัง จงนอบน้อมและสงบเสงี่ยมเข้าไว้…”
เจ้าอาวาสกล่าวเตือนเด็กชาย
ในสายตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน เด็กคนนี้ก็เป็นเพียงเด็กสิบขวบคนหนึ่ง หากไม่สำรวมต่อหน้าผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งแล้วท่านกล่าวโทษตน ใครจะรับผิดชอบ?
เด็กคนนี้ฉลาดมาก และจดจำคำกล่าวของเจ้าอาวาสไว้ในใจ
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็มาถึงพื้นที่ต้องห้ามภูเขาด้านหลัง
“ศิษย์ฮุ่ยเหวินขอเข้าพบผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่ง”
เจ้าอาวาสโค้งคำนับ กล่าวคำเสียงดัง
หลังจากนั้นไม่นาน
เสียงอันนิ่งสงบดังขึ้นในหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน
“เข้ามา”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินสะดุ้งไปนิดหน่อย ก่อนจะรีบพาเด็กชายตามหลังเขาเดินเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
ซูฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ลืมตาขึ้น มองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน
“เจ้าต้องการให้ข้ารับเขาเป็นศิษย์หรือ?”
สายตาของซูฉินเบนไปเล็กน้อย มองไปยังศีรษะของเด็กน้อยที่ยื่นออกมาจากด้านข้างของเจ้าอาวาสไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามอง
ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวคำไปมากกว่านี้ ซูฉินก็ทราบถึงจุดประสงค์ของเจ้าอาวาส
“ถูกต้อง”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินกล่าวต่อในทันที “เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในรอบร้อยปี เขามีความเชื่อมโยงกับกระแสแห่งพุทธ หากให้เขาอยู่กับข้าและเหล่าหัวหน้าตำหนักเกรงว่าพรสวรรค์ของเขาคงจะต้องสูญเปล่า…”
“อืม มีพรสวรรค์ที่ดีจริงๆ”
“เกิดมาโดยมีดวงใจพุทธะ”
ส่วนลึกในดวงตาของซูฉินมีวังวนประหลาดผันแปรไปมาราวกับสามารถเห็นถึงกระแสพลังฟ้าดินทั้งหมด
ไม่น่าเชื่อว่านี่ก็คือ ดวงตาแห่งสัจจะ
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ระดับ‘อรหันต์‘ ดวงตาแห่งสัจจะก็เหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ความเข้าใจในกลไกพลังฉีก็มีความละเอียดอ่อนมากยิ่งขึ้น
ด้วยพลังในการตรวจสอบที่เหนือธรรมชาตินี้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเด็กตรงหน้าก็เหมือนกับซูฉินส่องดูเส้นลายมือของตนเอง
“ดวงใจพุทธะ?”
นัยน์ตาของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินหดตัวลง
ในทางพุทธนั้น ดวงใจพุทธะเหมือนดั่งเมฆหมอกมายา แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง
พุทธสาวกที่มีดวงใจพุทธะ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติ หรือความเข้าใจในพระไตรปิฎก พวกเขาเหมือนได้รับการช่วยเหลือจากสวรรค์ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้มากมาย
วัดเส้าหลินก่อตั้งมาหลายพันปี แต่มีเพียงสิบคนเท่านั้นที่พบว่ามีดวงใจพุทธะอยู่กับตัว
ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตของเหล่าศิษย์ที่มีดวงใจพุทธะอย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสูงสุด และมีถึงสามคนที่ขึ้นไปถึงระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเดิมก็คิดว่าพรสวรรค์ของเด็กคนนี้น่ากลัว แต่เขาไม่คาดคิดว่าอีกฝ่ายถึงกับมีดวงใจพุทธะ
อย่างน้อยผู้ครอบครองดวงใจพุทธะก็ต้องเป็นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุด ไม่ได้เป็นเพียงแค่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างที่หัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคาดเดากันไว้ก่อนหน้า
แม้ว่ายอดปรมาจารย์ธรรมดากับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดจะอยู่ในขอบเขตเดียวกัน แต่ความต่างของพลังนั้นห่างกันอยู่หนึ่งช่วงใหญ่
“พื้นเพของเขาเป็นเช่นไร”
ซูฉินกล่าวถามด้วยอาการสบาย
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินได้ฟังคำ ก็รีบระงับความตกใจแล้วกล่าวว่า “เด็กคนนี้ไร้บิดามารดร ชีวิตที่ผ่านมาช่างน่าสังเวช ดังนั้นข้าจึงตั้งชื่อให้เขาว่า ‘เฉียนขู่‘”
“เฉียนขู่[1]?”
ซูฉินยิ้ม
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้าขอคิดเรื่องนี้สักพัก”
ซูฉินค่อยๆ หลับตาลงกล่าวคำออกมาเบาๆ
“ขอรับ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโค้งคำนับอีกหนึ่งครั้งและพาเฉียนขู่ออกจากพื้นที่ต้องห้ามด้านหลังภูเขาอย่างพินอบพิเทา
หลังจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจากไปเรียบร้อย
ซูฉินถอนหายใจออกมา
“น่าเสียดายจริงๆ”
“มันคือดวงใจพุทธะที่เสียหาย”
ซูฉินส่ายหัวเล็กน้อยแล้วกล่าวคำช้าๆ
ตั้งแต่แรกซูฉินก็ทราบแล้วว่าดวงใจพุทธะของเฉียนขู่ไม่สมบูรณ์
หากเป็นดวงใจพุทธะที่สมบูรณ์ กายาจักปกปิดมันไว้ได้ทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ จะสังเกตเห็นความผิดปกติ
เป็นไปไม่ได้ที่จะค้นพบผู้ครอบครองดวงใจพุทธะที่แท้จริงได้ หากไม่ใช่ยอดปรมาจารย์ที่กลั่นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาได้แล้ว ก็ต้องเป็นอรหันต์หรือไม่ก็เหล่าตำนานยุทธเท่านั้น
ผู้ครอบครองดวงใจพุทธะจึงทำได้เพียงค่อยๆ บำเพ็ญตบะแล้วทะยานสู่ฟากฟ้า กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วยุทธภพเท่านั้น
แต่แน่นอน
ซูฉินไม่ได้สนใจเรื่องของดวงใจพุทธะมากเท่าไรนัก
ไม่ต้องกล่าวถึงความไม่สมบูรณ์ของดวงใจพุทธะที่เฉียนขู่ครอบครอง แม้ว่าจะเป็นดวงใจพุทธะที่สมบูรณ์มันจะนับเป็นอะไรได้?
กว่าสิบผู้ครอบครองดวงใจพุทธะที่กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลินตลอดเวลานานนับพันปี ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์
บางทีในช่วงแรกของการบ่มเพาะ หรือแม้แต่ในช่วงขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่ง ผู้ครอบครองดวงใจพุทธะจะสามารถบ่มเพาะได้อย่างรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
แต่หากจะไปสู่ขั้นตอนสุดท้ายและบรรลุระดับ ‘อรหันต์‘ มันไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยเพียงดวงใจพุทธะเพียงอย่างเดียวได้
แม้จะเป็นระดับชั้นที่หนึ่งขั้นสมบูรณ์ เมื่อยามที่จะต้องเข้าถึงพลังฉีแห่งฟ้าดิน ดวงใจพุทธะจะลากถ่วงผู้ครอบครองมิให้ไปไหน
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้ครอบครองดวงใจพุทธะทั้งสิบรูปในอดีตจึงไม่สามารถบรรลุถึงระดับ ‘อรหันต์‘
ยามรุ่งโรจน์ก็มาจากดวงใจพุทธะ
ยามล้มเหลวก็เพราะดวงใจพุทธะ
จากนั้นซูฉินก็กลับมาคร่ำเคร่งกับการฝึกฝนอีกครั้ง
“คัมภีร์เก้าสุริยันที่เพิ่งได้รับมาจากการลงชื่อเข้าใช้ครั้งก่อน ได้ฝึกฝนไปจนถึงขีดสุดแล้ว สามารถก่อกำเนิดดวงสุริยันได้ครบทั้งเก้าดวง”
ซูฉินยกมือขวาของเขาขึ้น ดวงอาทิตย์ทั้งเก้าดวงก็ถูกปลดปล่อยออกมาด้วยวิชาเก้าสุริยัน หมุนวนพัวพันระหว่างนิ้วของเขาและพุ่งเข้าชนกันอย่างต่อเนื่อง
หากซูฉินเลินเล่อแล้วปล่อยปราณสุริยันทั้งเก้าดวงนี้ออกไป เกรงว่าทั่วทั้งวัดเส้าหลินจะถูกเผาราบเป็นหน้ากลอง
“หากข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้แล้วได้รับวิชายุทธที่มีลักษณะเดียวกันกับคัมภีร์เก้าสุริยันแต่เป็นธาตุหยินมาละก็”
“จากนั้นก็หลอมรวมคัมภีร์เก้าสุริยันเข้ากับวิชาหยินที่มีลักษณะเดียวกันนั้น”
“หยินและหยางเมื่ออยู่ร่วมกัน กายเนื้อของข้าคงจะพัฒนาขึ้นไปอีกครั้งใช่หรือไม่?”
ความคิดของซูฉินผันแปรเปลี่ยนผัน
เกือบสิบปีก่อน ซูฉินได้ลิ้มรสความหอมหวานหลังจากหลอมรวมวิชากายาวัชระคงกระพันเข้ากับวิชาขัดเกลากายาจันทรา
ในเวลานั้นทั้งสองวิชาที่ต่างธาตุกันได้ผสานรวมกันทำให้ร่างกายของซูฉินพัฒนาขึ้นไปอีกระดับ
นอกจากนี้
อายุขัยของซูฉินยังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าอีกด้วย
มันน่าทึ่งมาก
ในตอนนี้ซูฉินรู้สึกได้ว่าพลังของคัมภีร์เก้าสุริยันนั้นเหนือกว่าของกายาวัชระคงกระพันมาก เขาคิดคำนวณในใจอย่างเร็วจี๋
ซูฉินรู้ดีว่าการเสริมแกร่งร่างกายด้วยหยินและหยางนั้นมีความเสี่ยงสูง แน่นอนว่าหยินและหยางส่งเสริมซึ่งกันและกัน แต่ขณะเดียวกันพวกมันก็ยับยั้งซึ่งกันและกันด้วย
หากไม่มีดวงตาแห่งสัจจะในการสังเกตและเข้าใจขีดจำกัดสูงสุดที่สามารถกระทำได้ ความเป็นไปได้ที่ร่างกายของซูฉินอาจจะปริแตกยังมีสูงยิ่งกว่าการเสริมแกร่งให้ร่างกายเสียอีก
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมยอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจึงเลือกเพียงหนึ่งจากสองเส้นทาง ระหว่างธาตุหยินและธาตุหยางเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการแปรสภาพร่างกาย
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการผสมหยินผสานหยาง เพียงแต่พวกเขาไม่กล้า
“คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง[2]…”
ความคิดของซูฉินแปรปรวนรวนเร ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา
คัมภีร์เก้าอิมจินเก็งไม่ใช่วิชาของเส้าหลินและตอนนี้หอคอยสะกดมารก็หมดสิ้นเต๋าสะสมไปแล้ว เขาไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้อีกต่อไป และซูฉินก็ไม่คิดว่าสามารถหาคัมภีร์วิชาใดที่มีชื่อเสียงเทียบเท่าคัมภีร์เก้าอิมได้ในวัดเส้าหลินนี้”
“ใช่แล้ว”
“สักพักใหญ่แล้วที่ข้าเข้าสู่ระดับอรหันต์ ขอบเขตพลังก็มั่นคงดี ตอนนี้ข้าคงสามารถเข้าใจถึงฝ่ามือยูไลได้แล้วกระมัง”
หัวใจของซูฉินสั่นไหว เขารู้สึกได้ถึงองค์ยูไลสีทองที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว ทรงพลานุภาพเหนือปฐพี จรดฟากฟ้า
—————————————————
[1] 苦 kǔ ความยากลำบากขมขื่น
[2] 九阴真经 Jiǔ Yīn Zhēn Jīng คัมภีร์เก้าอิมจินเก็ง (แต้จิ๋ว) หรือ จิ่วหยินเจินจิง (จีนกลาง) เป็นคัมภีร์วิชาที่มีชื่อเสียงและหลากหลายในการใช้งาน มีที่มาจากนิยายเรื่องมังกรหยกของกิมย้ง