เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 86
Sign in Buddha’s palm 86 ตื่นรู้
ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์
ซูฉินใคร่ครวญถึงค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา
“อย่างไรก็ตาม หากต้องการจะสร้างค่ายกลขนาดใหญ่อันนี้ จำเป็นต้องใช้หยกถึงเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น…”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลฟ้าดินรูปแบบไหนหรือขนาดเท่าไร ก็จำต้องมี‘สื่อกลาง‘ ในการสร้างและ ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘ก็ไม่มีข้อยกเว้น
“หยกเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น…”
ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และคิดจะให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเป็นผู้รวบรวมวัสดุเหล่านี้
วัดเส้าหลินเป็นสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพมีลูกศิษย์หลายพันคนจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหาหยกทั้งเก้าร้อยเก้าสิบเก้าชิ้นตามที่ซูฉินต้องการ
เวลาค่อยๆ ผ่านเลยไป
คำร้องขอของซูฉินดึงดูดความสนใจของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างๆ ในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูฉินขอให้พวกเขาทำบางสิ่งให้ เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและคนอื่นๆ จะกล้าเอ้อระเหยได้อย่างไร?
และแล้ววันนี้เองในที่สุด ‘เฉียนขู่‘ ก็กลับมาที่วัดเส้าหลิน
การกลับมาของเฉียนขู่สร้างความตกใจให้กับทั้งวัดเส้าหลิน หลังจากที่เข้าพบกลุ่มหัวหน้าตำหนักและเจ้าอาวาสแล้ว เฉียนขู่ได้รับคำสั่งจากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินให้เข้าไปหาซูฉินที่พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังเสียหน่อย
ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
“คารวะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”
เฉียนขู่กล่าวคำ แสดงถึงความเคารพที่มีต่อซูฉิน
หากไม่ได้ดาบไม้ที่ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ มอบให้ไว้ เฉียนขู่จะต้องตกตายด้วยน้ำมือของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งไปแล้ว
กล่าวได้ว่าซูฉินไม่เพียงถูกยกไว้บนหิ้งโดยตัวของเฉียนขู่เองเพราะคำสอนสั่ง แต่ยังถูกยกไว้เหนือหัวเพราะช่วยชีวิตตนไว้อีก
“เจ้ามีข้อสงสัยใดหรือไม่?”
ซูฉินเพียงมองไปที่เฉียนขู่แล้วพูดเข้าประเด็น
บางทีเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักอาจจะมองไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่ภายใต้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินเขาสามารถสังเกตรายละเอียดได้แม้เป็นจุดที่เล็กที่สุด ถึงจะไม่ดีเท่าทิพยอำนาจทางพุทธอย่าง ‘รู้วาระจิต‘ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เฉียนขู่จะปิดบังเขาได้
“ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”
เฉียนขู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงก้มศีรษะแล้วกล่าวว่า “ศิษย์มีข้อสงสัย”
ในช่วงเวลาที่ลงเขาไปนั้น เฉียนขู่ก็ได้เห็นโลกกว้าง และในเวลาที่เกิดความรู้สึกบางอย่างที่ลึกซึ้งมันก็มาพร้อมกับความสงสัยในใจที่เติบโตขึ้น
“เล่ามาให้ข้าฟังสิ”
ซูฉินพูดอย่างช้าๆ แทบไม่ได้มองไปที่เฉียนขู่
“ขอรับ”
เฉียนขู่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจึงพูดต่อ “ท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ศิษย์ผู้นี้ได้ท่องไปทั่วยุทธภพ และค้นพบว่าสรรพสิ่งล้วนโลภโมโทสัน ยิ่งกว่านั้นยังใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเอง ทำได้แม้กระทั่งสังหารกันอย่างเลือดเย็น”
“ศิษย์ไม่ทราบจริงๆ ว่าพฤติกรรมเหล่านี้ถูกหรือผิด หากเป็นเรื่องผิดจริง เหตุผลใดจึงไม่มีใครเปลี่ยนแปลงมันเลย”
เฉียนขู่เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูฉิน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ถูกหรือผิด?”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของซูฉินและกล่าวขึ้นว่า “ไม่ว่าสิ่งใดในโลกก็ล้วนเป็นไปตามกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าผิด สิ่งใดที่เรียกว่าถูก ก็เหมือนกับที่หมาป่ากินแกะ และแกะก็กินหญ้า”
“เจ้าไม่ได้มีส่วนร่วมใดกับหมู่คนเหล่านั้น เจ้าไม่ใช่ทั้งหมาป่าหรือแม้แต่แกะ การที่จะบอกว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิดมันก็เป็นเพียงความคิดของเจ้า”
คำพูดของซูฉินเป็นเหมือนระฆังทองสัมฤทธิ์ใบใหญ่ ทุกๆ คำลั่นดังเข้าไปในใจของเฉียนขู่ เหมือนลากดึงเขาออกมาจากความคิดสงสัย
“ไม่มีถูก ไม่มีผิด”
“มีเพียงใจเราเท่านั้นที่คิดกำหนดมันเอง…”
ดวงตาของเฉียนขู่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขามองเห็นบางสิ่ง ทุกอย่างเบาสบาย
“ขอบคุณผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ที่ชี้ทางให้ศิษย์อย่างข้า”
เฉียนขู่คำนับอย่างสุดซึ้งต่อซูฉินอีกครั้งแล้วกล่าวคำด้วยความเคารพ
“ไปได้แล้วล่ะ”
ซูฉินโบกมือพร้อมกล่าวคำ
“ขอรับ”
เฉียนขู่โค้งคำนับและกลับออกไป
“เฮ้อ…”
“อายุยังไม่เท่าไหร่ก็เริ่มคิดเรื่องราวปรัชญาเสียแล้วหรือ?”
ซูฉินส่ายศีรษะ
ถ้าเป็นคนธรรมดาหรือแม้แต่สงฆ์บางรูปถูกเฉียนขู่ถามคำถามเหล่านี้ ก็คงจะไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เฉียนขู่ได้มากนัก
แต่ซูฉินเป็นใคร?
ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีชีวิตมาทั้งสองโลก มีความรู้ก็มากทั้งในชีวิตนี้และชีวิตก่อน จะให้มานิ่งงันต่อหน้าเฉียนขู่ได้อย่างไร?
“อย่างไรก็ตามหลังจากนี้เขาก็คงไม่มีปมติดขัดใดภายในใจแล้ว คาดว่าคงเข้าสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งได้ก่อนอายุสี่สิบปี”
ความคิดของซูฉินแปรผันและคิดตัดสินใจ
แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งในวัยสี่สิบปีจะยังห่างไกลจากความสามารถของซูฉิน แต่เมื่อมองดูทั่วยุทธภพ นี่ก็นับว่าเป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ แล้ว หากมีโอกาสมากพอคงจะไปถึงคอขวดของระดับอรหันต์ได้
แน่นอนว่าแม้ทุกอย่างจะราบรื่น แต่ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองร้อยปี เฉียนขู่จึงจะเข้าใกล้ขอบเขตอรหันต์
ด้วยความเร็วในการบ่มเพาะในตอนนี้ของซูฉิน หนึ่งถึงสองร้อยปีต่อจากนี้อาจจะไม่สามารถก้าวข้ามระดับอรหันต์ได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างน้อยก็ต้องไปถึงขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่เก้าที่ทรงพลังไร้พ่าย
“หวังว่าข้าจะพัฒนาไปให้ได้มากที่สุดก่อนที่เต๋าสะสมในศาลาพระคัมภีร์และลานโพธิ์จะหมดลง”
ซูฉินคิดภายในใจตนอย่างเงียบๆ
“เจ้าเด็กสาวตัวน้อยน่าจะมีชีวิตที่ดีอยู่ที่ฉางอันสินะ?”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองไปยังทิศที่มุ่งตรงไปยังเมืองฉางอันในทันทีที่คิดได้
นับตั้งแต่เข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ ซูฉินเคยแอบกลับไปเมืองเยี่ยนที่คังโจวอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อซูฉินไปถึงที่นั่น เขาก็ได้รู้ว่าตระกูลซูย้ายไปฉางอันแล้ว
หลังจากทราบเรื่อง ซูฉินก็ไม่ได้กังวลมากมายอะไรเกี่ยวกับความปลอดภัยของตระกูลซูอีก
เมืองฉางอันเป็นที่ประทับขององค์จักรพรรดิและองค์ชายหลี่เชิง จะมีปัญหาเกิดขึ้นกับตระกูลซูได้อย่างไร?
นอกจากนี้หลี่เชิงยังครองตำแหน่งองค์รัชทายาทที่แต่งตั้งโดยองค์จักรพรรดิ ตราบใดที่องค์จักรพรรดิถังยังไม่สิ้นพระชนม์ เรื่องของตระกูลซูก็ย่อมสบายใจได้
นอกจากนี้จี้หยกที่มอบให้เจ้าเด็กสาวตัวน้อยนั้นมีจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินอยู่
ด้วยจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้ แม้ว่าซูฉินจะไม่สามารถรู้ได้ว่านางพบเจออะไรอยู่ แต่เขาก็ยังสามารถประเมินสภาพของน้องเล็กได้อย่างคร่าวๆ
รู้หรือไม่ว่าจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างจากเจตจำนงแห่งดาบ
เจตจำนงแห่งดาบเป็นเพียงร่องรอยความแข็งแกร่งของซูฉิน แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากตัวซูฉินเอง
กล่าวให้ง่ายเข้าก็คือ หากเจตจำนงแห่งดาบในดาบไม้ที่ซูฉินมอบให้เฉียนขู่ปะทุออก ซูฉินก็รู้ได้แค่ว่าเจตจำนงดาบปะทุออก แต่ทำไมเจตจำนงดาบถึงปะทุและเฉียนขู่เผชิญหน้าศัตรูแบบไหน ซูฉินไม่อาจรู้ได้แน่ชัด
แต่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างกัน
หากจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ภายในชิ้นหยกที่ซูฉินมอบให้ซูเยว่หยุนปะทุออกมา แม้จะอยู่ห่างไกลไปจนสุดฟ้า เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงสถานการณ์ในฝั่งของซูเยว่หยุน
และในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยสัมผัสที่รู้สึกได้จากจี้หยก ซูฉินมั่นใจว่าซูเยว่หยุนปลอดภัยดี ทั้งทางกายและทางใจ
“ข้ายังต้องฝึกฝนเพิ่มอีก”
“นอกทวีปนี้ นอกมหาสมุทรอันไกลโพ้น ยังมีตำนานยุทธที่ข้าไม่รู้จักอยู่ แม้ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้จะไปถึงนภาชั้นที่สาม แต่มันก็ไร้เทียมทานเพียงแค่ในดินแดนนี้ สำหรับโลกทั้งใบข้าก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพันอะไร ยังมีคนที่อยู่ในระดับเดียวกับข้าอีกมาก!”
ซูฉินนั่งลงกลืนโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ หลับตาลงช้าๆ และจมอยู่กับการบ่มเพาะ
…
ในเวลาเดียวกัน
ภายในเมืองฉางอัน
ณ พระราชวังอันหรูหรา
มีการร้องเล่นเต้นรำสร้างความผ่อนคลาย นักดนตรีก็บรรเลงเพลงไป
ที่ด้านบนของวังมีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมทำจากผ้าไหมทองปักดอก
ในขณะนี้ชายคนนั้นมีบรรยากาศมืดมนอยู่รอบตัว เห็นได้ชัดว่ากำลังระงับความโกรธเอาไว้อยู่
หลังจากนั้นไม่นาน
“เสด็จพ่อทรงหมายความว่าเยี่ยงไร”
“ทำแม้กระทั่งยกย่องลูกนอกคอกตัวนั้นเป็นองค์รัชทายาท?!”
ชายที่ใส่เครื่องแต่งกายหรูหราตบมือลงบนโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธ