เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 94
Sign in Buddha’s palm 94 จากไป
“ไม่เลวไม่เลว”
“โอสถหมุนวนเก้าโคจรทั้งร้อยชุดนี่ แม้ข้าจะใช้มันวันละครั้งก็คงเพียงพอสำหรับการบริโภคเป็นเวลาครึ่งปี”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย
ฤทธิ์ยาของโอสถหมุนวนเก้าโคจรนั้นแรงยิ่งกว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำ แม้แต่ตัวซูฉินในตอนนี้ก็ยังต้องใช้เวลากว่าสิบวันถึงหนึ่งเดือนในการย่อยโอสถหมุนวนเก้าโคจรจนหมด ฉะนั้นในความเป็นจริงแล้วจำนวนร้อยชุดที่ได้มาใหม่นี้ก็เพียงพอให้ซูฉินใช้ไปหลายปี
“ดูเหมือนว่าสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น ศาลาพระคัมภีร์ ลานโพธิ์ และหอคอยสะกดมาร พวกสถานที่ที่ลงชื่อเข้าใช้ซ้ำได้ทั้งหลาย เมื่อลงชื่อเป็นครั้งสุดท้ายจะมีโอกาสที่จะได้รับสิ่งดีๆ กลับมา…”
ดวงตาของซูฉินดูมีแววขบคิด
เช่นเดียวกับการลงชื่อเข้าใช้ครั้งสุดท้ายที่หอคอยสะกดมาร ซูฉินได้รับตราประทับสะกดมารซึ่งสามารถปราบเหล่าจอมยุทธวิถีมารทั้งหลายได้ และแม้แต่การดำรงอยู่ของมารพุทธะก็ยังถูกปราบเมื่อเจอกับตราประทับสะกดมารอันนี้
ถึงแม้ว่ามารพุทธะจะถูกสะกดมานานกว่าเก้าร้อยปีจนความแข็งแกร่งถดถอยลงไปมาก แต่พลังในการปราบปรามของตราประทับสะกดมารก็มิสามารถดูแคลนได้
นอกจากนี้ที่ศาลาพระคัมภีร์ ซูฉินยังได้รับเคล็ดวิชาชั้นสูงอย่าง ‘เคล็ดวิชาลูกปัดวิเศษพิชิตมาร‘ ในการลงชื่อเข้าใช้เป็นครั้งสุดท้าย
เคล็ดวิชานี้เป็นทักษะสำหรับการโจมตี สามารถควบแน่นแก่นแท้แห่งพลังให้กลายเป็นลูกปัดยี่สิบสี่เม็ดเพื่อใช้จัดการศัตรู พลังของมันมากพอที่จะจัดอันดับให้อยู่ในสองร้อยอันดับแรกในหมู่วิชาที่ซูฉินมี
“ได้เวลาออกเดินทางแล้ว”
ซูฉินยังคงอยู่ในลานโพธิ์ครู่หนึ่งจากนั้นจึงกลับไปพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
…
ลานธรรม
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังสนทนาเรื่องพระไตรปิฎกและเรื่องวิทยายุทธ
นี่เป็นนิสัยส่วนตัวของพวกเขา แต่ละคนไม่เคยหยุดนิ่งที่จะใฝ่รู้
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กำลังอยู่ในอารมณ์ยินดี เมื่อวานเขาเพิ่งตัดผ่านคอขวดและเข้าสู่การเป็นปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเป็นทางการ
“ตอนนี้วัดเส้าหลินของพวกเรามีระดับชั้นที่สองถึงสามคนและระดับชั้นที่หนึ่งอีกหนึ่งคน แม้จะนำไปเปรียบเทียบกับสุดยอดพรรคในยุทธภพก็ไม่ได้อ่อนแออีกต่อไป…”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กล่าว
เมื่อเทียบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากของวัดเส้าหลินเมื่อหลายสิบปีก่อน หัวหน้าตำหนักต่างรู้สึกเหมือนว่าตนกำลังล่องลอยในความฝัน
“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ…”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินถอนหายใจและกล่าวคำช้าๆ
“จริงดังท่านว่า”
“ถ้าไม่ใช่เพราะท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ วัดเส้าหลินคงจะถูกทำลายไปนานแล้ว…”
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ พยักหน้าเห็นด้วย
บางทีเหล่าศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาในวัดเส้าหลินอาจไม่รู้ แต่ในฐานะ‘ผู้อาวุโส‘ ที่อยู่ทันเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อหลายสิบปีก่อนจวบจนถึงปัจจุบัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ว่าผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ช่วยเหลือวัดเส้าหลินมามากเพียงใด
เมื่อยามที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกำลังจะพูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย
ทันใดนั้นเสียงสงบเย็น ฟังดูสบาย ก็ลอยเข้ามาในหูของพวกเขา
“พวกเจ้าจงเข้ามาที่ภูเขาด้านหลังกันให้หมดเถิด”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินรู้สึกประหลาดใจ
“นั่นคือท่านผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ นี่”
“ผู้ทรงสมณศักดิ์เรียกพวกเราให้ไปที่ภูเขาด้านหลัง”
หัวหน้าตำหนักต่างแสดงอาการมึนงงสงสัย
ผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ขอให้พวกเขาทั้งหมดไปที่ภูเขาด้านหลังพร้อมกัน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน…
ในอดีตผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ จะแจ้งใครสักคนเพียงคนเดียว แม้จะมีสิ่งที่ต้องการ…
ถึงตอนนี้ แม้แต่หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ที่อารมณ์ร้อนก็ยังตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
“อย่าคิดให้มากความ”
“ในเมื่อผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ บอกให้พวกเราไป พวกเราก็จะไป”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายศีรษะ ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปทางภูเขาด้านหลัง
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็มองหน้ากันแล้วจึงติดตามเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไป
ในไม่ช้า
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหลายก็มาหาซูฉิน
“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินโค้งคำนับเล็กน้อย เปล่งเสียงกล่าวคำด้วยความเคารพ
“น้อมพบผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ”
หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน
“ทุกคนเงยหน้าขึ้นเถิด” ซูฉินโบกมือและพูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก
“ข้าให้พวกเจ้ามาหาในวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกกล่าว”
ซูฉินพูดอย่างใจเย็น “วันนี้ข้าจะออกจากวัดเส้าหลิน ไปท่องยุทธภพ”
คำกล่าวนั้น
ท่าทีของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักกลายเป็นแข็งค้าง
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรทั้งนั้น ข้าได้ตัดสินใจในเรื่องนี้ไปแล้ว”
ซูฉินมองไปยังทุกคนแล้วจึงพูดออกมา
“ขอรับ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมีอาการหมองหม่น ถ้อยคำที่กล่าวตอบเบาราวกระซิบ
วัดเส้าหลินตั้งอยู่มาหลายพันปีแล้ว และเหล่าอรหันต์ในอดีตก็มักจะเดินทางออกจากวัดไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นถึงเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักจะไม่อยากยอมรับมัน แต่พวกเขาก็เข้าใจได้
สุดท้ายแล้วการออกธุดงค์ไปทั่วแดนดินของอรหันต์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พึงปฏิบัติ
หากพวกเขาขัดขวางมันก็เหมือนเป็นการทำลายการบ่มเพาะของผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ไม่มีใครกล้าที่จะแบกรับความผิดอันนี้ไว้
“หลังจากที่ข้าจากไป ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาที่นี่”
ซูฉินที่หยุดไปชั่วขณะก็พูดต่อ
เขาก่อตั้งค่ายกลขนาดใหญ่อย่าง ‘ค่ายกลสวรรค์เขตแดนพิสุทธิ์‘เอาไว้ในพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง และไม่ได้ตั้งใจจะเอามันไปด้วยเมื่อเขาจากไป
อย่างไรก็ตาม การก่อตั้งค่ายกลเช่นนี้ตราบใดที่ซูฉินมีหยกเพียงพอ เขาก็สามารถก่อตั้งอันใหม่ได้ตามต้องการ
สาเหตุที่ซูฉินไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาที่นี่เป็นเพราะความเข้มข้นของพลังงานด้านในนี้สูงเกินไป
จอมยุทธที่มีระดับต่ำกว่าขอบเขตอรหันต์เมื่อมาฝึกฝนที่นี่อาจจะร่างระเบิดด้วยพลังฟ้าดินในทันที
ซูฉินไม่ต้องการจะเห็นเลือดนองอยู่ที่นี่ยามเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง
“ขอรับ”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพยักหน้าไปพร้อมๆ กับเหล่าหัวหน้าตำหนัก
ภูเขาด้านหลังเป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ทรงสมณศักดิ์ แม้ว่าซูฉินจะไม่ได้กล่าวบอกเรื่องนี้ พวกเขาก็จะระบุให้ทุกคนทราบว่าสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้าม
“ท่านจะกลับมาเมื่อไหร่หรือ…”
ในตอนนั้น หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์อดไม่ได้ที่จะถามออกไป
เขาถามคำถามนี้ด้วยใจจริง ไม่ได้มีความนัยแอบแฝงแต่อย่างใด
“เมื่อไรข้าจึงจะกลับมา?”
ซูฉินยิ้มแต่ไม่ได้ตอบกลับไป
สำหรับซูฉินนั้น แม้ว่าเขาจะกลับมาที่วัดเส้าหลินอีกครั้งในอนาคต เขาก็จะกลับมาแบบเงียบๆ ไม่รบกวนใคร
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปได้แล้วหละ” หลังจากซูฉินพูดจบ เขาก็ค่อยๆ หลับตาลง
คราวนี้ซูฉินขอให้เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักมาที่นี่เพื่อที่จะแจ้งข่าวให้ทุกคนทราบ จะอย่างไรเขาก็อยู่ที่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้ว ถ้าเขาจะจากไปจริงๆ เขาก็ควรจะแจ้งอะไรสักอย่างก่อนไป ไม่ใช่จากไปอย่างเงียบๆ
“ขอรับ”
ในที่สุดเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมดต่างก็โค้งคารวะต่อหน้าซูฉินอย่างสุดซึ้ง และออกจากพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังไป
“ทิ้งทุกอย่างที่ควรทิ้ง ทำทุกอย่างที่สมควรทำเรียบร้อย ข้าควรจะจากไปได้เสียที”
ซูฉินเลิกคิ้วขึ้นพลางคิดในใจตนอย่างเงียบๆ
สำหรับวัดเส้าหลินหรือสุดยอดพรรคใดๆ ในยุทธภพ สิ่งที่สำคัญเสมอคือผู้คน หาใช่เคล็ดวิชาไม่
ตัวอย่างเช่นในวัดเส้าหลิน แม้ว่าศาลาพระคัมภีร์จะมีเคล็ดวิชามากมายนับไม่ถ้วน แต่หากไม่ใช่เพราะซูฉิน คนในรุ่นนี้ก็อาจจะไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งด้วยซ้ำ
ครึ่งวันต่อมา
ซูฉินออกจากวัดเส้าหลินไปอย่างเงียบๆ
ที่ด้านนอกวัดเส้าหลิน
ฟ้าสูงแผ่นดินกว้าง
ซูฉินก้าวเท้าออกไปเป็นระยะหลายร้อยเมตรในคราวเดียว เคลื่อนที่ไปยังทิศทางหนึ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“อยู่ในกรงมานานเกินไปแล้ว ในที่สุดข้าก็กลับสู่ธรรมชาติอันกว้างใหญ่เสียที”
ทุกก้าวที่ก้าวไปจะมีผมสีดำหนาเข้มงอกออกมา จากนั้นเพียงไม่กี่ก้าว ผมสีดำก็กระจายตัวพลิ้วไหวเสมอไหล่ของเขา ดวงตาสดใส ผิวขาวใสราวกับหยก มองไปแล้วดูไม่เหมือนคนมีอายุเลยสักนิด
ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือตำนานยุทธต่างก็สามารถสร้างแขนขาขึ้นมาได้ใหม่หากมันหักไป นับประสาอะไรกับผมบนหัวเล่า
“เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงเก่าแก่ สืบทอดมรดกยาวนานกว่าสิบราชวงศ์ ‘เต๋าสะสม‘จะต้องมีมากกว่าวัดเส้าหลินเป็นแน่ และนี่แหละจะเป็นสถานที่ลงชื่อเข้าใช้ถัดไปของข้า”
“และกลายเป็นว่าตระกูลซูก็ย้ายไปอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้วด้วย”
ซูฉินหยุดคิดสักพักและรีบมุ่งหน้าไปเมืองฉางอัน