เข้าสู่ระบบ ‘ฝ่ามือยูไล’ [Sign in Buddha’s palm] - ตอนที่ 96
Sign in Buddha’s palm 96 หลังจากสามสิบปีให้หลัง เขายังดูหนุ่มแน่น!
โคมไฟในเมืองฉางอันยังคงสว่างไสว
ซูฉินยังยืนอยู่ที่เดิม ไพล่มือไว้ด้านหลัง ดวงตาสงบนิ่ง มุมปากยกยิ้มให้กับซูเยว่หยุนและสมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ
เมื่อเขามาถึงเมืองฉางอันในครั้งนี้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อตามหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับลงชื่อเข้าใช้ จากนั้นจึงค่อยมาพบหน้าตระกูลซู
“เจ้าคือ?!”
เมื่อซูเยว่หยุนเห็นซูฉิน ดวงตาของนางก็เบิกกว้าง รู้สึกว่าชายที่อยู่ตรงหน้านั้นคุ้นมากแต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
ซูเยว่หยุนอายุเพียงสามขวบตอนที่ซูฉินได้เข้าสู่วัดเส้าหลิน ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าสามสิบปี ความทรงจำในวัยเด็กของเธอค่อนข้างรางเลือน
“เจ้าคือ…”
“เจ้าคือฉินเอ๋อใช่หรือเปล่า?”
ซูชื่อหมินกล่าวถามด้วยเสียงสั่นเครือ
แตกต่างจากซูเยว่หยุน ซูชื่อหมินจำซูฉินได้ทันที เขาเห็นซูฉินครั้งสุดท้ายก็เมื่อยามที่ซูฉินไปเข้าร่วมกับวัดเส้าหลินตอนอายุได้สิบขวบ ตอนนี้ขนคิ้วของซูฉินยาวขึ้นมาเล็กน้อย
แม้จะผ่านมาแล้วกว่าสามสิบปี ซูชื่อหมินก็ยังจำภาพของซูฉินในวัยสิบขวบได้จนถึงตอนนี้
“ฉินเอ๋อ?”
“นี่คือน้องสามงั้นหรือ?”
ทั้งสองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันอย่างเหลือเชื่อ
“เป็นข้าเอง” ซูฉินกล่าวตอบเบาๆ
“เป็นน้องสามจริงๆ”
“น้องสาม เจ้ามาถึงฉางอันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
สองพี่น้องตระกูลซูวิ่งเข้าไปหาซูฉินทันที มองขึ้นๆ ลงๆ ความรู้สึกครึ่งหนึ่งก็ประหลาดใจ อีกครึ่งหนึ่งก็มีความสุขยิ่ง
“ฉินเอ๋อเรื่องมันเป็นมาอย่างไร?”
ซูชื่อหมินเดินไปข้างหน้าและมองไปยังซูฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อคำถามนี้กล่าวออก สองพี่น้องทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ต่างก็มองไปที่ซูฉินอย่างสงสัยใคร่รู้
“ข้าอยู่วัดเส้าหลินมาเกือบสามสิบปีแล้วและไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป ดังนั้นจึงออกมาเสียเลย…”
ซูฉินกล่าวอย่างใจเย็น
“ไม่อยากจะอยู่ต่ออีกต่อไป…”
ซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่มองหน้ากันด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ วัดเส้าหลินเป็นหนึ่งในสุดยอดพรรคแห่งยุทธภพและมีข่าวลือเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่า มีอรหันต์กำเนิดขึ้นที่นั่น ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะปล่อยให้ศิษย์วัดออกมาได้ง่ายๆ ได้อย่างไร?
“ฉินเอ๋อ บอกพ่อมาตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้าง เจ้าหนีออกมาหรือไม่?”
ท่าทีของซูชื่อหมินเปลี่ยนไป ในที่สุดเขาก็ถามออกอย่างเคร่งขรึม
นี่คือสิ่งที่ซูชื่อหมินกังวลมากที่สุดเพราะกลัวว่าซูฉินจะเลือกทางผิด ก็รู้อยู่ว่าภูมิหลังในปัจจุบันของวัดเส้าหลินเป็นเช่นไร หากซูฉินทำอะไรพลั้งพลาดในวัดเส้าหลินขึ้นมา ใครจะปกป้องเขาได้?
“ท่านพ่อ ถ้าข้าทำอะไรผิดมาจริงๆ ข้าจะออกจากวัดเส้าหลินมาได้อย่างไรเล่า?”
ซูฉินส่ายหัวและกล่าวคำ
เมื่อซูชื่อหมินได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเขาก็ผ่อนคลายลงทันที
จริงแท้แน่นอน
ตอนนี้เขาจะกังวลอย่างไร้เหตุผลไปไย? หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าอาวาส ซูฉินจะออกมาได้หรือ?
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“คาดไม่ถึงว่าเทศกาลโคมไฟในวันนี้จะเป็นวันที่ครอบครัวของพวกเรากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง…”
ซูชื่อหมินอยู่ในอารมณ์ที่ดียิ่ง
“ฉินน้อย เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าตระกูลซูของเราได้ย้ายมาฉางอันแล้ว?” ซูเฉิงฮ่าวถามด้วยความสงสัย
“นี่…” ซูฉินเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วและพูดว่า “ก่อนหน้านี้ข้ากลับไปที่เยี่ยนเฉิงมา และได้ยินจากคนที่นั่นว่าพวกเจ้าย้ายมาที่นี่แล้ว”
“เป็นเช่นนี้เอง”
ซูชื่อหมินพยักหน้าเล็กน้อย
เรื่องที่ตระกูลซูย้ายออกจากคังโจวไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด ไม่ว่าถามใครก็ย่อมให้คำตอบได้
“ฉินน้อย ครานี้ตระกูลของเราเป็นใหญ่เป็นโตแล้ว เจ้าลองทายสิว่าน้องสาวของเจ้าแต่งงานกับใคร? องค์รัชทายาทเชียวนะ”
“ตระกูลซูของพวกเราตอนนี้ถือเป็นพระญาติขององค์จักรพรรดิแล้ว”
ซูเฉิงยู่กำลังอิ่มเอมใจ จึงเล่าเหตุการณ์ต่างๆ นานาให้ซูฉินฟังทันที
“พี่ชายสาม”
ใบหน้าสะสวยของซูเยว่หยุนเต็มไปด้วยความสุข
พวกเขาคุยกันไปสักพัก ทั้งซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่ผลัดกันถามคำถาม
หลังจากการสนทนานี้ทุกคนก็ไม่สงสัยในตัวตนของซูฉินอีกต่อไป
หากบังเอิญจริงๆ ที่จะมีคนสองคนที่หน้าคล้ายกันบนโลกนี้ คนที่รู้เกี่ยวกับตระกูลซูมากขนาดนี้ย่อมเป็นซูฉินตัวจริงเสียงจริงแน่ๆ
มีบางเรื่องที่ไม่ใช่แค่เฉพาะซูฉิน แม้แต่ซูเฉิงฮ่าวหรือซูเฉิงยู่ก็ลืมเลือนไปแล้ว
“พี่ชาย เวลาก็ผ่านไปตั้งหลายปี ทำมีท่านดูเด็กจังเลย…”
ซูเยว่หยุนมองไปที่ซูฉินด้วยความอิจฉา
ซูฉินถูกส่งตัวไปวัดเส้าหลินตอนอายุสิบขวบ และตอนนี้เวลาผ่านมาเกือบสามสิบปี ช่วงวัยนี้ของซูฉินควรจะเป็นวัยกลางคน ควรจะมีริ้วรอยแห่งวัยบ้าง
แต่ตอนนี้ซูฉินกลับมีดวงตาเปล่งประกายสดใส ผมดำยาว ผิวสวยราวกับหยก ดูกระฉับกระเฉงเสียยิ่งกว่าชายหนุ่มอายุยี่สิบปี
คนอื่นๆ ในตระกูลซูก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน พวกเขาต่างประหลาดใจ
“บางทีการละทางโลกอยู่กับพระพุทธรูปโบราณและโคมไฟสีฟ้าในวัดเส้าหลินอาจจะช่วยชะลอวัยก็เป็นได้?” ซูฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
แม้ว่าระดับอรหันต์จะสามารถคงความเยาว์วัยเอาไว้ได้ แต่คนธรรมดาก็สามารถมีชีวิตยืนยาวได้เช่นกันหากพวกเขาปลีกวิเวกจากความวุ่นวายในโลกหล้า
“สงสัยจะเป็นจริงดังเจ้าว่า…”
ซูชื่อหมินถอนหายใจที่เต็มไปด้วยอารมณ์
สิ่งที่ซูฉินพูดนั้นสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง แต่จะมีสักกี่คนในโลกที่สามารถละทิ้งทุกอย่างและยินดีที่จะอยู่ท่ามกลางโคมไฟสีฟ้า อยู่ใต้พระพุทธรูปโบราณ?
“ฉินน้อย ข้าได้ยินมาว่ามี‘อรหันต์‘กำเนิดขึ้นในวัดเส้าหลิน เจ้าเคยพบท่านบ้างไหม ในเมื่อเจ้าก็อยู่ที่นั่นมาเนิ่นนาน?”
ทันใดนั้นซูเฉิงฮ่าวก็นึกอะไรบางอย่างออก และถามด้วยความสนใจ
สำหรับพวกเขา ตำนานยุทธและระดับอรหันต์เป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม มันไม่ต่างไปจากตำนาน ถ้าไม่ใช่เพราะซูฉิน พวกเขาก็จะไม่ถามขึ้นมา
ดวงตาของซูชื่อหมินพลันสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว “ฉินเอ๋อ เจ้าเคยเห็นผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ หรือไม่?”
“ท่านเป็นคนเช่นไรกัน?”
เมื่อซูชื่หมินเอ่ยปากถาม แม้แต่เขาเองก็ต้องลดเสียงลงราวกับกลัวว่าอรหันต์ที่อยู่ห่างไกลจะได้ยิน
ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “ก็ไม่มีอะไรพิเศษ เกือบจะเหมือนข้าเลย”
เมื่อซูเฉิงฮ่าวได้ยินเช่นนั้นก็หยุดหายใจไปครู่ใหญ่ “ฉินน้อยนี่ช่างล้อเล่นได้เก่งจริงๆ”
สมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ เพราะคิดว่าซูฉินน่าจะไม่เคยพบอรหันต์ในวัดเส้าหลินมาก่อน
“ฉินเอ๋อ อย่าได้พูดเช่นนั้นอีกในอนาคต ระดับอรหันต์นั้นมีอานุภาพมากเสียจนอาจจะรู้ว่าเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับท่านเข้าสักวัน…”
ซูชื่อหมินกล่าวตักเตือนซูฉิน
ไม่นานทุกคนก็กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู
“ว่าแต่ฉินเอ๋อเจ้ามีแผนจะทำอะไรเมื่อเจ้ากลับมาในครั้งนี้?”
ซูชื่อหมินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม
ด้วยสถานะปัจจุบันของตระกูลซู แม้ซูฉินจะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่เขาก็สามารถเลี้ยงดูซูฉินไปได้ตลอดชีวิต
แต่ซูชื่อหมินเกิดมาเพื่อเป็นจอมยุทธ เขาเกลียดเด็กจากตระกูลที่ร่ำรวยที่เอาแต่ดื่มกินสนุกสนาน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่จึงเข้าร่วมกองทัพ
“ฉินน้อยมาที่กองทัพสิ พี่สามารถแนะนำเจ้าให้กับท่านแม่ทัพได้” ซูเฉิงฮ่าวแนะนำในทันที
“นั่นไม่ดีเท่าไหร่ ฉินน้อยไม่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ หากเข้าร่วมกับกองทัพจริงๆ ไม่เพียงยากที่จะเลื่อนขั้น แต่ยังจะถูกเหยียดหยามอีกด้วย”
ซูเฉิงยู่คัดค้าน
กฎในกองทัพนั้นเรียบง่ายและเข้มงวด ใครกำปั้นใหญ่ที่สุดย่อมเหนือกว่า
ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนแอของซูฉิน คงจะมีแต่ผู้อื่นคอยกลั่นแกล้ง
ซูเยว่หยุนลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่ก็อดไม่ได้จึงพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปเรียนถามองค์รัชทายาทว่าจะให้พี่ชายสามเข้าไปในวังได้หรือไม่?”
“ตอนนี้องค์รัชทายาทกำลังขาดแคลนกำลังคน พี่ชายสามสามารถไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออกในฐานะที่ปรึกษาได้ ไม่ต้องกังวลเพียงแค่ลงนามเอาไว้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย”
คำพูดของซูเยว่หยุนทำให้สองพี่น้องอย่างซูเฉิงฮ่าวและซูเฉิงยู่พยักหน้าเห็นด้วยจนคอแทบหลุด
ที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทต้องได้เบี้ยเลี้ยงดีอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ดีกว่าทหารในกองทัพตั้งไม่รู้เท่าไหร่
“ฉินเอ๋อ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?
ซูชื่อหมินก็รู้สึกค่อนข้างพอใจกับข้อเสนอนี้ และถามออกไป
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ต้องดูว่าซูฉินคิดเห็นอย่างไร หากซูฉินไม่เต็มใจ ตระกูลซูก็จะไม่บังคับ
“พระราชวัง…”
ซูฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและมองตรงไปที่วังหลวง