เงินอุดหนุนหมื่นล้านเป็นของฉันคนเดียว - บทที่ 206 เดือนละหกชุด
บทที่ 206 เดือนละหกชุด
ขณะที่กำลังเถียงกัน อวี๋หงพูดอย่างเสียงดังเพื่อเรียกรปภ. เข้ามา อวี๋หงร้องเอะเอะให้รปภ.เอาตัวเฉินห้าวไปสถานีตำรวจ
แต่รปภ.สองคนนี้รู้จักเฉินห้าว และเป็นคนของประธานโจวซีถง พวกเขาจึงไม่กล้าทำอะไร
สำหรับพนักงานชั้นผู้น้อย คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชา ล่วงเกินใครไปล้วนไม่เป็นผลดี ดังนั้นจึงทำเป็นชักช้าเพื่อยื้อเวลา
“ทำไมพวกแกไม่ทำอะไรล่ะ เอาเงินเดือนแต่ไม่ทำงาน ถ้าแกยังไม่ทำฉันจะไล่พวกแกออก” อวี๋หงตวาดใส่รปภ.
เฉินห้าวปรายตามองอวี๋หงเหมือนมองคนปัญญาอ่อน จากนั้นจึงพูดว่า “พวกเขาจะลงมือกับผู้ถือหุ้นในบริษัทได้ยังไง คุณอวี๋กินยาผิดมาหรือเปล่าครับ”
“ว่าไงนะ แกคือผู้ถือหุ้น ตลกแล้ว!” อวี๋หงแสยะยิ้ม เธอรู้โครงสร้างของผู้ถือหุ้นดี ไม่มีชื่อของเฉินห้าวอยู่ในนั้น และในช่วงนี้ก็ไม่มีการทำธุรกรรมของสิทธิ์ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ดังนั้นเธอจึงคิดว่าเฉินห้าวกำลังพูดโม้
“ถ้าไม่เชื่อ คุณก็ลองไปค้นหาดูสิ” เฉินห้าวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างสบายใจ ในเวลาเดียวกันเขาตบหลังเก้าอี้เพื่อส่งสัญญาณให้โจวซีถงนั่งกับเขา และไม่ต้องรีบร้อน
ท่าทางมั่นใจของเขา ทำให้ทุกคนอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาพูดจริง
“ไปพรินต์รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดออกมา”
โจวซีถงต้องสนับสนุนเฉินห้าวอย่างแน่นอน เธอสั่งให้ผู้ช่วยไปพรินต์รายชื่อออกมา
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเฉินห้าวซื้อหุ้นของบริษัทเมื่อไร แต่เธอรู้ว่าเฉินห้าวต้องมีเซอร์ไพรส์แน่นอน เอาหุ้นของบริษัทโจวซื่อออกมาเล็กน้อย คงจะไม่มีอะไรผิด
“ได้ เธอไปหามา อีกไม่กี่นาที ฉันจะรอดูว่าแกยังจะอยู่ที่นี่อีกไหม” อวี๋หงทำเหมือนตัวเองเป็นผู้ชนะ เธอกลอกตามองบน ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเกลียดโจวซีถงกับเฉินห้าวมากขนาดนี้
เฉินห้าวพยักหน้าให้โจวซีถง เพื่อบอกว่าเขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้
ไม่นาน ผู้ช่วยก็เข้ามาพร้อมกับข้อมมูลที่เพิ่งพรินต์ออกมา จากนั้นจึงยื่นให้โจวซีถง จากนั้นจึงพูดเสียงดังออกมาว่า “แบบฟอร์มการลงทะเบียนผู้ถือหุ้นที่ได้รับตอนนี้แสดงให้เห็นว่าคุณเฉินห้าว เลขบัตรประชาชน xxxx ถือหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ในบริษัทโจวซื่อ และเขาอยู่ในฐานะผู้ถือหุ้น”
“อะไรนะ”
“เขาซื้อหุ้นตอนไหน ทำไมไม่มีข่าวอะไรเลย”
ผู้ถือหุ้นที่อยู่ในห้องประชุมต่างมองหน้ากันไปมา
“เป็นไปไม่ได้”
อวี๋หงไม่เชื่อ เธอแย่งเอกสารมา พบว่าในนั้นเขียนว่าเฉินห้าวถือหุ้นสองเปอร์เซ็นต์ แถมยังมีตราประทับอย่างเป็นทางการของบริษัทเพื่อยืนยันว่าเป็นเอกสารจริง
“เป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อหุ้นสองเปอร์เซ็นต์โดยไม่มีข่าวอะไรเลย โจวซีถงต้องเป็นคนโอนให้เขาอย่างแน่นอน”
อวี๋หงพูดเหมือนถือไพ่เหนือกว่า เธอไปค้นสิทธิ์การถือหุ้นของโจวซีถง แต่กลับไม่พบความเคลื่อนไหวใด นั่นก็หมายความว่าเฉินห้าวซื้อหุ้นมาจากช่องทางอื่น ตอนนี้เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในห้องประชุมนี้
ตอนนี้สายตาที่มองไปยังเฉินห้าวแตกต่างออกไป หุ้นสองเปอร์เซ็นต์มีมูลค่าเกือบพันล้าน คนที่จะทำแบบนี้ได้ต้องเป็นเจ้าสัว ไม่มีใครกล้าดูถูก
เฉินห้าวกลายเป็นบุคคลลึกลับและยิ่งใหญ่ในสายตาพวกเขา
“ว่าไง ตอนนี้ผมสามารถพูดได้แล้วสินะ เพราะผมเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทแล้ว”
เฉินห้าวกระแอมออกมา แล้วพูดว่า “ผลกระทบของการแบนไม่มีอะไรมากไปกว่าราคาหุ้นและกลยุทธ์การขายอุปกรณ์สื่อสารของบริษัทไฮเทคโจวซื่อ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ผมสามารถแก้ไขได้”
“พูดน่ะง่าย แต่พวกเราหลายคนยังไม่มีใครคิดวิธีที่ดีได้เลย นายคิดนิดหน่อยก็คิดออกแล้วหรือไง” อวี๋หงยังคงทำตัวเป็นปรปักษ์
“คุณอวี๋ กรุณาเงียบก่อน อย่าทำให้ทุกคนต้องเสียเวลา การที่คุณมาขัดจังหวะ จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ไหมคะ” โจวซีถงอดไม่ได้ที่จะตำหนิออกมา
อวี๋หงโมโหจนจะตอบโต้ออกมา ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีผมหงอกทั้งหัวกระแอมขึ้นมา เพื่อบอกให้ทุกคนเงียบและฟังเฉินห้าว
เฉินห้าวหัวเราะแล้วพูดว่า “จริงๆ สองปัญหานี้สามารถรวมเป็นปัญหาเดียวได้ นั่นก็คือปริมาณการขายอุปกรณ์สื่อสาร ถ้าเราขายดี ถึงจะโดนแบนจากต่างประเทศ แต่ถ้าคนอื่นเห็นถึงศักยภาพของบริษัทโจวซื่อจะต้องเกิดความเชื่อใจอย่างแน่นอน ราคาหุ้นและธุรกิจของเราจะต้องกลับมา”
“พูดได้ไม่เลว แต่จะรับประกันปริมาณการขายอย่างไรล่ะท้ายที่สุดเนื่องจากเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ออกมาล่วงหน้าสามปี ปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารควอนตัมมีราคาแพง ค่าบำรุงรักษาแพง ผู้ประกอบการธุรกิจสื่อสารในประเทศไม่มีความเต็มใจที่จะเปลี่ยนระบบพื้นฐาน และฐานกำลังการซื้อขนาดใหญ่ในต่างประเทศถูกคว่ำบาตรซึ่งเท่ากับตัดขาดเส้นทางการพัฒนาทั้งหมด”
ผู้ถือหุ้นรายย่อยท่านหนึ่งอธิบายส่วนยากของปัญหาที่กำลังเจอ
“ถ้าผมบอกว่า ผมสามารถรับประกันได้ว่าอุปกรณ์สื่อสารจะขายได้ตามปกติ เราก็จะสามารถเอาชนะส่วนที่ยากไปได้แล้วใช่ไหมครับ” จู่ๆ เฉินห้าวก็ถามกลับอย่างคาดไม่ถึง
“นายจะรับประกันยังไง คนหนุ่มอย่างนายเนี่ยนะ” อวี๋หงพูดเยาะเย้ย เธอกำลังประชดว่าเฉินห้าวใช้ใบหน้าเพื่อเกาะผู้หญิงกิน
“ก็ยังดีกว่าพวกบอนไซเหี่ยวๆ เยอะ”
เฉินห้าวพูดประชดกลับ เขาพูดเป็นนัยถึงอวี๋หงที่เป็นหญิงแก่มาหลายปี
“นาย!” อวี๋หงโกรธเป็นอย่างมาก แต่ทว่าไม่มีใครเป็นฝ่ายเดียวกับเธอ เธอเอาแต่หงุดหงิดอยู่ฝ่ายเดียว
เฉินห้าวไม่สนใจเธออีก เขาถามโจวซีถงว่า “ประมาณการตัวเลขการขายอุปกรณ์การสื่อสารอยู่ที่เท่าไร”
“ยอดขายเฉลี่ยอุปกรณ์ครบชุดต่อเดือนอยู่ที่ 5 ชุด ส่วนอุปกรณ์พ่วงอื่นๆ เช่นพวกเร้าเตอร์ จะต้องขายได้ 10,000 เครื่องถึงจะทำกำไรได้และมีส่วนแบ่งทางการตลาด” โจวซีถงเอ่ยขึ้น
สำหรับสถานีฐานของอุปกรณ์สื่อสารแบบนี้ค่าก่อสร้างของสถานีฐานแต่ละสถานีจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งล้าน หากค่าวัสดุก่อสร้างในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ต้นทุนก็จะแพงขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือทุกเดือนจะต้องขายอุปกรณ์สถานีฐานครบชุดอย่างน้อย 5 ชุด ถึงจะรับประกันว่าบริษัทสำคัญอย่างไฮเทคโจวซื่อที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทโจวซื่อจะอยู่ในสภาพคล่องตามปกติ
ส่วนพวกเร้าเตอร์อื่นๆ ต้องทำโฆษณาการขายทางออนไลน์
เฉินห้าวพูดขึ้นมาว่า “สินค้าจำพวกเร้าเตอร์ โฆษณากับการขายออนไลน์สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เรื่องนี้มันง่ายมาก ผมจึงไม่กังวล ผมจะรับผิดชอบเรื่องสถานีฐานสื่อสาร ผมรับประกันว่าจะขายได้เดือนละอย่างน้อย 6 ชุด ถ้าขาดไปแม้แต่ชุดเดียวถือว่าผมแพ้”
เมื่อเขาพูดออกมาก็มีเสียงฮือฮาขึ้นในห้องประชุม นี่ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ เลยนะ ขนาดผู้ถือหุ้นที่สนับสนุนปริมาณการขายอุปกรณ์สื่อสารในตอนแรก ยังไม่สามารถทำให้มีปริมาณการขายได้มากขนาดนี้เลย นี่ไม่ใช่ธุรกิจแบบเด็กๆ ต้องแข่งขันกันด้วยความรู้ รวมถึงมีองค์ประกอบด้านการเมืองอยู่ในนั้นด้วย ถ้าสามารถรับประกันปริมาณการขายนี้ได้ ถ้าอย่างนั้นบริษัทโจวซื่อมีชื่อเสียงภายในประเทศอย่างแน่นอน และเป็นการปูทางไปถึงเทคโนโลยีการสื่อสารในอนาคต