เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 14 พิธีที่ยิ่งใหญ่
อวิ๋นเยี่ยนั่งปอกข้าวโพดที่ถืออยู่ในมืออย่างขยันขันแข็งอยู่ใต้ชายคาเพียงลำพัง เมล็ดข้าวโพดสีเหลืองค่อยๆ ตกลงไปในตะกร้า อวิ๋นน้อยกำลังนั่งอยู่ในรถหัดเดิน วิ่งไปทางทิศตะวันออกทีวิ่งไปทางตะวันตกที ยั่วให้วั่งไฉคอยหลบซ้ายหลบขวาอยู่ตลอด ตอนนี้เด็กคนนี้กำลังฝึกเคี้ยว หยิบจับอะไรได้ก็เอามากัด ต้นขาของวั่งไฉก็เป็นอย่างหนึ่งที่ถูกกัดไปแล้วหลายครั้ง
ตอนนี้วั่งไฉกำลังจะเป็นพ่อม้าแล้ว ม้าอาหรับสี่ตัวตั้งท้องแล้วสองตัว แต่นอกจากหว่านเมล็ดลงไปแล้วมันก็ไม่คิดจะสนใจอะไรทั้งนั้น ม้าตัวเมียที่ตั้งท้องอยากจะเข้าไปกินอาหารในรางของมันสักคำสองคำ ก็ทำได้แค่จินตนาการเท่านั้น พวกมันถูกสามีที่ไร้หัวใจของตัวเองเตะพร้อมกับกัดเพื่อไล่ออกไปจากคอก
ตอนนี้วั่งไฉไม่ค่อยได้ไปที่ตลาดสักเท่าไร มันไม่พอใจกับการจัดหาวัสดุของต้าถังเหมือนกับอวิ๋นเยี่ย มีแต่ของกินเดิมๆ มันกินจนเบื่อหมดทุกอย่างแล้ว
เมื่อสักครู่อวิ๋นเยี่ยแอบป้อนข้าวโพดฝักใหญ่ให้กับวั่งไฉ เขาจึงถูกท่านย่าที่นั่งอยู่ข้างหลังเอาไม้เท้าทุบกระดูกสันหลังไปตั้งหลายที ตั้งแต่ครั้งก่อนที่กินข้าวโพดไป ท่านย่าก็ห้ามไม่ให้ที่ตระกูลกินอีกเด็ดขาด แล้วยังออกคำสั่งให้องครักษ์เฝ้าไร่ข้าวโพดด้วยตัวเอง ไม่อนุญาตให้ใครมาแตะต้องข้าวโพดในไร่อีกเด็ดขาด
ตอนนี้ก้านข้าวโพดกลายเป็นสีเหลืองอร่ามหมดแล้ว หูข้าวโพดใหญ่ๆ ก็ห้อยลงมา ท่านย่าจึงอนุญาตให้พ่อบ้านพาคนไปเก็บข้าวโพดแล้วขนกลับมาที่บ้าน หยิบเมล็ดข้าวโพดจากตะกร้าขึ้นมา ท่านย่ายิ้มราวกับพระโพธิศักดิ์ นางหรี่ตายิ้มแล้วพูดว่า “หลานชายที่รัก เจ้าดูสิ ข้าวโพดที่สวยงามถึงเพียงนี้ เมล็ดข้าวโพดนี้ใหญ่กว่าข้าวสาลี เมล็ดข้าว ข้าวฟ่าง และลูกเดือยตั้งเยอะ เมล็ดพืชที่มีหูใหญ่เช่นนี้ช่างเป็นของดีจริงๆ มีแค่ตระกูลเราที่มีของสิ่งนี้ ถึงตอนนั้นก็ให้พวกชาวบ้านปลูกข้าวโพดกันให้หมด นี่ช่างเป็นความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่จริงๆ เลย”
วั่งไฉเห็นว่าท่านย่าถือข้าวโพดอยู่ในมือ มันคิดว่านางกำลังจะเอามาป้อนมัน มันจึงรีบยื่นหน้าเข้ามาเลียข้าวโพดในมือของท่านย่า สุดท้ายจึงถูกท่านย่าตบที่หน้าผากเข้าให้ทีหนึ่ง มันจึงรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เตรียมที่จะออกไปเอาศักดิ์ศรีของตัวเองกลับคืนมาที่ตลาดแทน
“หลานสะใภ้ของท่านกำลังยุ่งอยู่กับการตากเงิน ทำไมท่านถึงไม่ไปดู คอยดูข้าปอกข้าวโพดอยู่ได้ ของขวัญที่จะเอาไปมอบให้แก่ฮ่องเต้ ให้คนใช้ไปทำก็ได้ ทำไมต้องให้ข้ามาทำอะไรเช่นนี้ด้วยตัวเองเล่า”
“ไอ้หยา หลานรัก หลานสะใภ้ตากเงินจะมีอะไรน่าสนใจ หนาวเย็นเช่นนั้นไม่มีอะไรน่าดู ไม่รู้จริงๆ ว่านางไปเอาความสนใจมาจากไหน สามารถเอาเงินทั้งหมดที่อยู่ในคลังออกมาได้ เชือกที่มัดเหรียญทองแดงก็ขาดหมดแล้ว ตอนนี้ยังต้องเอาออกมามัดทีละเหรียญ แล้วยังบอกให้มัดแค่เก้าร้อยเหรียญ บอกย่าว่าเหรียญเงินสองเหรียญแลกเหรียญทองแดงได้แค่นี้ มัดเยอะเกินไปตระกูลจะเสียเปรียบ ช่างไม่เหมือนกับสะใภ้ของตระกูลอวิ๋นเอาเสียเลย สะใภ้ของตระกูลเราจะเห็นแก่เงินเช่นนี้ได้อย่างไร”
พึ่งจะพูดจบก็เห็นน่ารื่อมู่ออกมาจากลานข้างๆ ท่าทางลับๆ ล่อๆ มีท้องป่องยื่นออกมาราวกับตั้งครรภ์อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าท่านย่ากับท่านพี่อยู่ที่นี่ นางจึงเดินเข้ามาโค้งคำนับทำความเคารพ ท่านย่ายิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่อวิ๋นเยี่ยกลับอับอาย เขาพูดด้วยสีหน้าที่มืดมนว่า “ในเมื่อขโมยเงินมาแล้วก็ซ่อนเอาไว้ให้ดี อย่าให้ถูกจับได้แล้วร้องห่มร้องไห้อีก เจ้ารู้อยู่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นบ้าไปแล้ว ตอนนี้นางเห็นคนอื่นแตะต้องเงินไม่ได้เลย”
น่ารื่อมู่หน้าแดงส่งยิ้มให้ท่านย่าและรีบเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ผู้หญิงคนนี้เมื่อก่อนไม่เคยรู้ถึงความสำคัญของเงิน ไม่ว่าซินเย่วจะให้เงินนางเท่าไรนางก็รับมาอย่างมีความสุข ตอนนี้อาศัยอยู่ที่บ้านนี้มาแล้วสองปี ในที่สุดก็ใช้เงินเป็น เงินจึงไม่พอใช้ เป็นเรื่องปกติที่มักจะแอบหยิบเอาจากกระเป๋าของอวิ๋นเยี่ยสองสามเหรียญ
ไม่ใช่ว่าซินเย่วไม่ได้ให้เงินนาง แต่ให้ไปแล้วสองสามวันก็หมด เงินห้าสิบเหรียญที่เพียงพอสำหรับครอบครัวเล็กๆ ใช้ได้ตั้งสิบปี แต่เมื่อตกมาอยู่ในมือนางคงไม่เกินสิบวันอย่างแน่นอน หากซื้อของที่มีประโยชน์กลับมาก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นางมักจะซื้อหม้อเหล็ก พลั่ว และมีดกลับบ้าน คนที่รู้ก็จะรู้ว่านางจะขนกลับไปยังฉ่าวหยวน แต่คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าตระกูลอวิ๋นกำลังเตรียมจะก่อกบฏ
วันธรรมดาๆ ก็เป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เมื่อซินเย่วถือไม้ปัดขนไก่ไล่ฆ่านาง ท่านย่าทำสีหน้าไม่พอใจ น่ารื่อมู่วิ่งออกมาจากห้อง เสแสร้งทำเป็นลูกหลานกตัญญูเข้ามาหลบอยู่ขางหลังของท่านย่า ทำให้ซินเย่วไม่กล้าลงไม้ลงมือต่อ นางกัดฟันและโค้งคำนับให้กับท่านย่า จากนั้นก็กลับไปเฝ้าเงินที่อยู่ลานข้างหน้าต่อ บางทีตอนนี้เสี่ยวยาก็คงไม่สบายใจอยู่บ้าง
อวิ๋นน้อยนั่งบนรถหัดเดินก้าวเท้าเตาะแตะเข้ามาหาท่านย่าอีกครั้ง ทันใดนั้นก็ทำให้ท่านย่ายิ้มหน้าบานทันที ตั้งแต่เจ้าตัวน้อยคนนี้เกิดมา สถานะของหลานชายจอมล้างผลาญของนางก็ลดด้อยลงไปมาก ซึ่งหลานชายคนโตได้เติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปนี้ทันที เขาคว้าอาหารในชามบนโต๊ะมากิน ยิ้มอย่างมีความสุข นางหยิบอาหารที่ติดอยู่ที่เท้าของอวิ๋นน้อยออก กลัวเจ้าตัวจะเอาของไม่ดีเข้าปากแล้วกินตามใจชอบ และหากจะเอาแจกันเครื่องครามดีๆ มาเป็นของเล่นกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงก็ย่อมต้องได้อยู่แล้ว
ในที่สุดก็ปอกข้าวโพดเสร็จตอนพระอาทิตย์ตกดินพอดิบพอดี อวิ๋นเยี่ยรู้สึกว่ามือของเขารวดร้าวไม่ไหวแล้ว ตอนนี้เพียงแค่กำหมัดยังเป็นเรื่องยาก ท่านย่าค่อยๆ เกลี่ยข้าวโพดอย่างระมัดระวัง หยิบเมล็ดที่ไม่ดีออกมา ฮ่องเต้จะจัดเทศกาลฉงหยางที่เขาหนานซัน ได้ยินมาว่าจะมีทูตมามากกว่าสามร้อยคน จะเชิญมาทุกดินแดน แม้แต่ข่านเจี๋ยลี่ของหงหลูซือ รัชทายาทของชนเผ่าเกาชังก็มาด้วย ถึงตอนนั้นจะมีการร่ายรำที่สง่างาม แสดงความยินดีกับฮ่องเต้ที่มีอายุยืนยาว
ฐานทัพในเขาหนานซันถูกเหล่าทหารม้ากว่าสามหมื่นนายล้อมรอบไว้อย่างแน่นหนา คาดว่าแม้แต่บ้านของหนูในถ้ำหน่วยข่าวกรองก็คงไปเยี่ยมชมมาแล้ว ตลาดฉางอันต้องอยู่ภายใต้การควบคุมถึงสามวัน ชาวบ้านที่ออกมาจากตรอกเห็นว่าตอนนี้เมืองฉางอันได้กลายเป็นทะเลสีแดงไปหมดแล้ว คนจัดงานในครั้งนี้คือหงหลูซือร่วมกับกรมพิธีกรรม ทั้งๆ ที่มีทรายสีเหลืองแต่ก็ไม่ใช้ เอาทรายผงละเอียดสีแดงจากเขาเป่ยซันมาปูบนพื้นถนนของฉางอัน อวิ๋นเยี่ยเห็นแร่ธาตุอยู่ในเม็ดทรายสีแดง คนพวกนี้ไม่ชอบที่ทรายยังแดงไม่พอ จึงจงใจเพิ่มแร่ธาตุเข้าไปตามสัดส่วน ไม่รู้ว่าตระกูลของใครในกรมกระทรวงพิธีกรรมที่ขายแร่ธาตุสีแดง
ในใจรู้สึกเสียดายไม่น้อย ทำไมต้องเอาข้าวโพดไปมอบให้ฮ่องเต้มากมายเท่านี้ ตอนนี้ตัวเองต้องมาแบกข้าวโพดเดินบนถนน ด้านหนึ่งมัดข้าวโพดไว้สิบกว่าฝัก อีกด้านหนึ่งเป็นเมล็ดข้าวโพดสีเหลืองห่อด้วยผ้าไหมสีแดง ดูแล้วน่าจะหนักสิบห้ากิโลกรัม แค่เดินจากไร่มาถึงเขาหนานซันก็แทบจะตายอยู่แล้ว ส่วนรถม้านั้นจะมีให้ใช้แค่ไท่ซั่งหวง ฮ่องเต้ ฮองเฮาและรัชทายาท คนอื่นๆ ไม่ได้โชคดีแบบนั้น แม้แต่แขกผู้มีเกียรติที่สุดอย่างเหยียนจือทุยก็ยังนั่งรถเข็มสี่ล้อที่มีหลานชายของเขาคอยเข็นเข้ามา คนที่มาพร้อมๆ กันนั้นก็มีรถเข็นของหลี่กัง สำหรับคนอย่างอวิ๋นเยี่ย เขาทำได้แค่แบกสัมภาระของตัวเองเดินขึ้นมายังเขาหนานซัน ตั้งสามสิบไมล์เลยทีเดียว
ทว่าทิวทัศน์ก็ดูไม่เลวเลย มีแขกผู้หญิงที่พากันสวมผ้าปิดหน้าและเครื่องแต่งกายหลากสีสัน หากลมพัดมาครั้งหนึ่งก็ยังพอแอบดูหน้าได้ แต่ผู้หญิงอ้วนคนนั้นเป็นภรรยาของใครกันนะ
รอม้าของไท่ซั่งหวงแล่นผ่านไปแล้ว มีเสียงดังออกมาจากรถม้า ชายเฒ่าบ้ากามคนนี้ไปเข้าร่วมพิธีด้วยก็นับได้ว่ามันคือความโชคร้ายของหลี่ซื่อหมิน ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไมชายเฒ่าคนนี้ถึงได้กระตือรือร้นมากขึ้น แค่สองปีก็ผลิตน้องชายน้องสาวออกมาให้หลี่ซื่อหมินเพิ่มอีกสามคน และแม่ของพวกเขาไม่มีใครอายุเกินสิบหกแม้แต่คนเดียว
จั่งซุนชงก็แบกอะไรมาเหมือนกัน ในนั้นมีแต่เมล็ดพันธุ์ ดูจะหนักมาก ด้านหน้าสุดมีต้นข้าวมัดอยู่ ล้วนแต่เป็นเมล็ดพันธุ์ที่คัดเลือกมาแล้วเป็นอย่างดี เมล็ดพันธุ์ที่อุดมสมบูรณ์ รวงข้าวหนักและมีความยาวกว่าครึ่งฟุต แค่เพียงดูก็รู้สึกดีแล้ว ท่านพ่อของเขาเขย่าด้ามพัดขณะเดินช้าๆ ไปพร้อมกับกองทัพเล็กๆ ส่วนเจ้านั่นก็แบกเมล็ดพันธุ์เดินตามมาอยู่ข้างหลัง
เฉิงฉู่มั่วก็เดินตามท่านพ่อของตนอยู่ข้างหลังเช่นกัน แต่จะว่าไปเขาก็น่าอนาถกว่านิดหน่อย หนิวเจี้ยนหู่ไปเมืองไห่โจวแล้ว เขาจึงต้องแบกสัมภาระสูงๆ เดินไปตามถนน นี่คือของขวัญจากตระกูลหนิวและตระกูลเฉิง
รถม้าของฮ่องเต้แล่นผ่านไปอีกคัน ตามด้วยรถม้าของฮองเฮาก็ผ่านไปแล้วเช่นกัน คันสุดท้ายที่วิ่งเข้ามาเป็นรถม้าขององค์รัชทายาท หลี่เฉิงเฉียนนั่งหน้าแข็งทื่ออยู่ข้างใน น้องชายน้องสาวของเขาต่างก็แบกสัมภาระเดินตามอยู่ข้างหลัง มีแต่เขาที่นั่งรถม้า ความรู้สึกเช่นนี้คงจะอึดอัดไม่น้อย โดยเฉพาะภรรยาที่ตั้งครรภ์ของเขาก็เดินอยู่ในกลุ่มผู้หญิง การนั่งรถม้าของเขาครั้งนี้คงจะไม่ได้สบายอย่างที่คิดเท่าไร
ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครเห็น อวิ๋นเยี่ยแอบเอาสัมภาระโยนขึ้นรถม้า ช่วยพยุงภรรยาของรัชทายาท และยังปล่อยโหวเหลียนเอ๋อร์ออกมา เอาสัมภาระของนางโยนขึ้นไปบนรถม้า หันหน้าไปมองหลานหลิงที่ถือกระเช้าดอกไม้เล็กๆ สองใบ โยนนางและกระเช้าเข้าไปในรถม้า องครักษ์ที่ขี่ม้าดูเหมือนกำลังจะตะโกน แต่กลับถูกหลี่เฉิงเฉียนจ้องมองอย่างชั่วร้าย
หลี่เฉิงเฉียนที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองสัมภาระ เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก กฎของราชวงศ์ก็เป็นเช่นนี้ ควรจะเป็นของใครก็เป็นของคนนั้น เจ้าจะแย่งไปไม่ได้ ขโมยไปก็ไม่ได้ นอกจากว่าเจ้าจะมีอำนาจมากพอที่จะดูถูกตำแหน่งพวกนี้ทั้งหมด
ไม่เห็นซินเย่วอยู่ในกลุ่มผู้หญิง นางต้องดูแลท่านย่า ไม่รู้ว่านางจะเดินไปข้างหน้าได้หรือไม่ พิธีที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ชาติหนึ่งก็อาจจะได้เจอแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ซวยจริงๆ ที่ตอนนี้ต้องมาเจอกับเรื่องซวยๆ เช่นนี้ได้ ขุนนางกรมพิธีกรรมที่จิตวิปริตก็เอาแต่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของเสื้อผ้า การเดิน และมารยาท อวิ๋นเยี่ยถูกสอนอีกครั้งว่าควรรัดเข็มขัดให้แน่น ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกลงบันทึกอีกครั้ง
ถนนบนภูเขากว่าสามสิบไมล์ ปกติทุกคนก็จะใช้แต่รถม้า ถ้าใครไม่มีอะไรทำจะไปเดินเล่นที่ถนนบนภูเขาสามสิบไมล์เช่นนั้นหรือ ขณะที่อวิ๋นเยี่ยกำลังนึกอยากอาละวาด เขาก็เห็นซินเย่วพยุงท่านย่าพูดคุยหัวเราะเดินเข้ามา ข้างๆ ของพวกนางคือไฮปาเทีย ท่าทางที่ทั้งสองคนพยุงท่านย่าเดินมาด้วยกันช่างดูผ่อนคลาย เช่นนี้ก็วางใจได้แล้ว แรงของผู้หญิงร่างใหญ่ชาวตะวันตกไม่ใช่ธรรมดา แบกห่อผ้าขนาดใหญ่บนหลัง แต่ดูเหมือนว่ามันไม่ได้ขัดขวางการเดินไปข้างหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ท่าทางดูอนาถนิดหน่อยราวกับผู้อพยพลี้ภัย
จั่งซุนชงพยายามมองมาที่อวิ๋นเยี่ย ดูเหมือนว่าเขาอยากจะให้อวิ๋นเยี่ยโยนสัมภาระของเขาเข้าไปในรถม้า อวิ๋นเยี่ยพยักหน้า หันหลังกลับไปหยิบห่อเมล็ดพันธุ์ที่หนักที่สุดจากฟางอี๋อ้ายที่อยู่ข้างๆ ไปให้จั่งซุนชงแบก ฟางอี๋อ้ายยิ้มกว้าง จั่งซุนชงกำลังจะอ้าปากพูดก็ถูกท่านพ่อตบหน้าผากเข้าให้ทีหนึ่ง เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินตามไปให้ทัน
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกเวลา จงใจให้ออกมาปีนเขาในช่วงเวลาที่แดดแรงที่สุด เพื่อป้องกันคนลักลอบสังหารกระมัง พวกเขาตัดต้นไม้สองข้างทางออกจนหมด ตอนนี้ไม่มีร่มบังแดดใดๆ อันตรายถึงชีวิตจริงๆ
ดอกจูอวี๋ที่เสียบอยู่ที่หน้าผากเริ่มแผดร้อน ผงกำมะถันที่หน้าอกก็ระเหยไปตามอุณหภูมิของร่างกาย กลิ่นของมันพุ่งเข้ามาที่จมูกจังๆ…