เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 16 ความคับข้องใจเรื่องกระโจม
คนฉลาดอย่างหลี่ไท่รู้ดีว่าถ้าคนอื่นมองผู้หญิงชาวหูผู้นั้นในเวลานี้จะต้องคิดว่านางเป็นนักบุญอย่างแน่นอนจึงทำได้เพียงก้มหัว ครู่หนึ่งต่อจากนั้นเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้อง ก็พบว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังคุยอยู่กับท่านย่าตระกูลอวิ๋น ซ้ำยังรับไม้เท้าของท่านย่าด้วยความใส่ใจแล้วพยุงท่านย่าค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ
ถอนหายใจยาวเพื่อทำให้ความหงุดหงิดในใจสงบลง หยิบสัมภาระของน้องชายและน้องสาวแล้วเดินก้าวต่อไปข้างหน้า…
เมื่อใกล้ถึงจุดหมายการเดินทางก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ อวิ๋นเยี่ยจะขี้เกียจไม่ได้แล้ว ในกลุ่มของผู้หญิงมีบางคนที่ไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือ ลากลูกน้อยพร้อมกับถือของขวัญเดินโซเซไปข้างหน้า บางคนสามีป่วยตายไปแล้ว บางคนสามีตายในสนามรบไปแล้ว จึงต้องดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตที่ดีเทียบเท่ากับเหล่าขุนนาง เพื่อที่ลูกจะได้มีโอกาสในการสืบทอดตำแหน่งของพ่อ หากหลุดออกจากกลุ่มก็จะไม่มีใครสงสารพวกเขา ความหวังที่ลูกจะได้สืบทอดตำแหน่งก็จะสลายหายไป
ผู้หญิงเหล่านี้หัวแข็งเป็นอย่างมาก ความแน่วแน่ของผู้หญิงกวนจงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย การเดินขบวนในอากาศร้อนเช่นนี้พวกนางก็สามารถอดทนได้ เหงื่อซึมผ่านผ้าขาวบางๆ จนมองเห็นเนินอก ในเวลานี้ไม่มีใครมามัวห่วงเรื่องพวกนี้ เหล่าหนิวต้องแบกสัมภาระของสมาชิกในครอบครัวของผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาที่เสียชีวิตในสนามรบไปแล้วโดยรับเอามาถือไว้เอง เหล่าเฉิงก็ทำเช่นเดียวกัน จั่งซุนอู๋จี้เองก็มีสัมภาระอยู่บนบ่าของเขา แม้แต่ฝางเสวียนหลิงก็โน้มตัวไปอุ้มเด็กน้อยมาหนึ่งคน…
พิธีศักดิ์สิทธิ์ ชื่อฟังดูดี แต่ไม่เคยมีใครคิดถึงความโหดร้ายของพิธีนี้ สถานการณ์ที่น่าเศร้าของเหล่าผู้หญิงที่เดินต่อไปไม่ไหว คุกเข่าลงกับพื้นแล้วร้องไห้ ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเศร้าใจ เพื่อจะได้ดีกว่าผู้อื่น บางครั้งความทุกข์ทรมานที่ได้รับก็ไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นรับรู้ได้
“พี่สะใภ้ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว แต่เพื่อลูกน้อย เราไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ อย่างไรก็ต้องปีนข้ามไปให้ได้ เอากระเป๋ามาให้ข้า ส่วนลูกน้อยข้าจะเป็นคนอุ้มเอง ท่านดึงเสื้อของข้าไว้เถิด เราจะเดินไปข้างหน้ากันต่อ”
อวิ๋นเยี่ยอุ้มเด็กน้อยที่กำลังร้องไห้โยเยขึ้นมา แบกกระเป๋าไว้ที่ด้านหลัง ให้ผู้หญิงคนนั้นจับเสื้อของตัวเองแล้วเดินไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าคอจะถูกรัดจนหายใจไม่ค่อยออก แต่ก็ยังคงเดินไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ หลี่ซื่อหมินคนโหดร้าย เพื่อความมีเกียรติของเขาทำเอาข้าต้องทรมานแทบตาย อวิ๋นเยี่ยกล้าพนันได้เลยว่าในเวลานี้คนที่คิดเช่นนี้ไม่ได้มีแค่เขาคนเดียว…
ในที่สุดก็มาถึงเสียที ให้ขุนนางกรมพิธีกรรมตรวจสอบป้ายชื่อที่เอว สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลงไปนอนบนพื้นหญ้า หายใจแรงๆ โดยอ้าปากพะงาบเหมือนกับปลาที่ถูกโยนขึ้นฝั่ง
ผู้หญิงคนนั้นนอนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยในสภาพยุ่งเหยิงทีเดียว ถ้าหากเปลี่ยนสถานที่ คนอื่นคงจะคิดว่าสองคนคงเป็นชู้กัน แต่ว่าเมื่ออยู่ที่นี่ก็ไม่มีใครล้อใครทั้งนั้น ทุกคนต่างก็เหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน ปกติถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี ไม่เคยต้องมารับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ หลังจากที่เด็กน้อยหลับไปในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกสดชื่นขึ้น ดึงแขนเสื้อของแม่เพื่อที่จะขอของกิน ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นแล้วพาลูกโค้งคำนับอวิ๋นเยี่ย วันนี้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากอวิ๋นเยี่ยคนทั้งสองคงไม่สามารถมาถึงที่แห่งนี้ได้ พิธีพระราชทานรางวัลหลังจากที่จบสิ้นการบวงสรวงนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาแล้ว
เอาชีสสองชิ้นออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้สองแม่ลูก จากนั้นก็เดินจากไป ทำดีไม่จำเป็นต้องทิ้งชื่อไว้ นี่คือหลักในการใช้ชีวิตของอวิ๋นเยี่ยเสมอมา ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเอาแต่ขอบคุณอวิ๋นเยี่ย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ข้าบอกนางไม่ใช่หรือ
สำหรับวันนี้ ชีวิตของขุนนางไม่ดีเท่าขอทาน ไม่อนุญาตให้จุดพลุระหว่างการบวงสรวงสวรรค์ โชคดีที่มีน้ำเย็นอยู่บ้าง ตอนนี้ไม่มีผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์คนใดในราชวงศ์ถังที่ดื่มน้ำอย่างตะกละตะกลามเพราะคิดว่านั่นเป็นพฤติกรรมหยาบคายของคนไร้การศึกษา
ท่านย่ากับซินเย่วมีของกินอยู่บ้างเล็กน้อย อวิ๋นเยี่ยไม่ได้แตะต้อง ไปเอากระเป๋าข้าวโพดของตัวเองมาจากรัชทายาท นั่งอยู่ใต้ร่มไม้เป็นเพื่อนท่านย่า ส่วนซินเย่วร้องไห้ไปถอดรองเท้าไป ให้อวิ๋นเยี่ยดูตุ่มพองใหญ่สี่ห้าตุ่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ก่อนจะค่อยๆ เจาะไปทีละตุ่ม
“คราวหน้าหากมีงานเช่นนี้อีกให้น่ารื่อมู่เป็นคนมา ต่อให้ต้องเดินไปหนึ่งร้อยลี้นางก็จะไม่ร้องโอดโอยแม้แต่นิดเดียว แบกแพะอีกหนึ่งตัวเลยก็ยังได้” อวิ๋นเยี่ยพึ่งจะปลอบใจซินเย่วไปหนึ่งประโยคก็ค้นพบว่าจู่ๆ นางก็ทำคิ้วขมวดขึ้นมา
“นางอยู่ในตำแหน่งอะไร นางมีส่วนต้องแบกรับความทรมานเช่นนี้ด้วยหรือ รอให้ข้าตายก่อน หลังจากที่เจ้าแต่งตั้งนางแล้วค่อยพานางมาก็ยังไม่สาย” พึ่งจะพูดจบก็ถูกฝ่ามือของท่านย่าตีเข้าที่หลัง ใครใช้ให้นางพูดจาเหลวไหลล่ะ
อวิ๋นเยี่ยที่กำลังหัวเราะได้เอาชีสออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ซินเย่ว ตัวเองกะจะไปเดินดูรอบๆ ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลขุนนาง ไม่แน่อาจจะเข้าไปในกระโจมได้ นอนอยู่กลางภูเขาทุรกันดารเช่นนี้ กะจะให้เป็นอาหารยุงหรืออย่างไรกัน
“เจ้า เจ้านั่นแหละ มานี่ กระโจมของข้าอยู่ที่ไหน รีบพาข้าไป ข้าจะได้พักผ่อน” อวิ๋นเยี่ยตะโกนใส่ขุนนางกรมพิธีกรรมอย่างเย่อหยิ่ง มาถึงจุดนี้แล้วใครยังจะสนใจยศตำแหน่งเล็กๆ อย่างขุนนางระดับเจ็ดระดับแปดอีก
ขุนนางผู้น้อยตอบโดยไม่เงยหน้าว่า “ท่านโหว ท่านอย่าได้คิดไปเอง คืนนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็ต้องนอนโดยไม่มีกระโจม ท่านทำใจเสียเถิด หากต้องการกระโจมท่านก็ไปขอเอาที่ไท่ซั่งหวง พระองค์ท่านพอจะมีอยู่บ้างสองสามกระโจม” เมื่อพูดจบก็ยกมือขึ้นคำนับอวิ๋นเยี่ยอย่างมีมารยาท ดูเหมือนว่าจะยังมองไม่ชัดว่าท่านโหวหน้าตาเป็นอย่างไรเขาก็เดินจากไปเสียแล้ว
ในค่ายเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เสียงถอนหายใจต่างๆ ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสาปแช่ง แน่นอนว่าพวกเขากำลังด่าขุนนางกรมพิธีกรรม ไม่มีใครกล้าพูดถึงฝ่าบาท ต่อให้มีความกล้ามากแค่ไหนพวกเขาก็ยังขี้ขลาดอยู่วันยังค่ำ
อย่างไรก็ตามในฐานะขุนนางชั้นสูงก็ต้องไปถามสารทุกข์สุกดิบฝ่าบาทเสียหน่อย จะได้บอกเขาด้วยว่าตัวเองก็ปีนขึ้นมาแล้ว เห็นฝางเสวียนหลิงกับจั่งซุนอู๋จี้กำลังจัดการเครื่องแบบราชการก็รู้ได้เลยว่าตัวเองก็ต้องจัดการด้วยเช่นกัน แต่เรื่องอะไรจะต้องจัดการเครื่องแต่งกาย ต่อให้ไปในสภาพนี้ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตาย ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อ อย่างไรข้าก็ไม่ไปล้างในลำธาร เจ้าจะทำอะไรข้าได้
ผลของการทำเช่นนี้ก็คือการถูกเหล่าเฉิงและเหล่าหนิวกดลงไปในลำธาร กดหัวลงไปล้างในน้ำเสียหน่อยแล้วเอาผ้าขนหนูที่มีกลิ่นเปรี้ยวมาเช็ดบนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย ท่านย่าและซินเย่วช่วยเขาจัดแต่งเสื้อผ้า จากนั้นก็ถูกชายเฒ่าสองคนลากไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทต่อทันที
หลี่ซื่อหมินเป็นคนอารมณ์สุนทรีย์ กำลังพูดคุยอยู่กับไท่ซังหวงอย่างสนุกสนาน หลี่ซื่อหมินไม่มีกระโจมเพราะว่าเขามีห้องเป็นของตัวเอง ซ้ำยังใหญ่มากๆ เสียด้วย คาดว่าคืนนี้คงจะพาลูกๆ ของตัวเองนอนในห้องใหญ่นี้ ส่วนหลี่หยวนไม่สะดวกที่จะพักที่นี่ ดังนั้นเขาจึงมีกระโจมเป็นของตัวเอง
หลี่หยวนมีความสุขที่ได้เห็นอวิ๋นเยี่ย “ไอ้หนุ่ม คืนนี้เป็นวันที่ดี พวกเรามาเดิมพันกันบนภูเขาสักหน่อยดีหรือไม่ ได้ยินว่าเจ้าร่ำรวย เราก็อยากจะหาประโยชน์จากเจ้าเสียหน่อย ว่าอย่างไรล่ะไอ้หนุ่ม เจ้ากล้าหรือไม่”
หลี่ซื่อหมินยิ้มอยู่ข้างๆ สีหน้าเรียบเฉย นี่แหละคืออวิ๋นเยี่ย หลี่หยวนสามารถทักทายหรือเชื้อเชิญอย่างไรก็ได้ หากเป็นขุนนางคนอื่นๆ คงจะตกใจกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
อวิ๋นเยี่ยทำความเคารพหลี่ซื่อหมินอย่างเป็นทางการแล้วพูดว่า “ไท่ซังหวง ท่านช่างมีอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง แน่นอนว่าผู้น้อยต้องเข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าการเดิมพันของท่านนั้นมากมายแค่ไหน หากไม่ระวังต้องเสียกระโจมให้ผู้น้อยจะแย่เอาได้ ทำให้ท่านต้องนอนอยู่โพรงหญ้าจะกลายเป็นความผิดของผู้น้อยไปได้”
“เสด็จพ่อ ท่านต้องระวังไว้ให้ดี เจ้าเด็กนี่กำลังคิดจะยึดกระโจมท่าน จะให้เขาสมใจไม่ได้นะเพคะ” จั่งซุนได้ส่งถ้วยนมให้หลี่หยวนและหลี่ซื่อหมินคนละถ้วย ข้างบนโรยด้วยดอกกุ้ยฮวา ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกไม่น้อย
หลี่หยวนเป็นคนเส้นตื้น เขาหัวเราะจนแทบหายใจไม่ทันแล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอเจ้า อยากได้อะไรก็บอกมาได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการปล้น ชิงทรัพย์ หรือโกงก็ได้ทั้งนั้น จะเป็นคนร้ายก็เป็นอย่างเปิดเผย ถือว่าเป็นเด็กที่มีความซื่อสัตย์ กระโจมที่พึ่งจะมอบให้หยวนชัง เราไม่ให้แล้ว เราจะเอามาเดิมพัน”
แม้แต่คนโง่ก็ยังรู้ได้ว่าคำพูดของหลี่หยวนมีนัยยะแอบแฝง แก้มของหลี่ซื่อหมินกระตุกสองที บนใบหน้าเรียบเฉย มีเพียงจั่งซุนที่หัวเราะแล้วพูดว่า “ของที่ให้ลูกชายไปแล้วท่านจะเอาคืนมาได้อย่างไร หากท่านอยากเอาไปเดิมพัน หม่อมฉันจะให้มหาดเล็กส่งมาให้ท่านอีกหนึ่งกระโจม ไม่จำเป็นต้องเอาคืนมาจากลูกชาย”
หลี่ซื่อหมินมองไปที่อวิ๋นเยี่ยอย่างยิ้มไม่ออก ใบหน้าเย็นชาดูน่ากลัว จากนั้นหันกลับไปมองหลี่หยวนชัง ยิ้มแล้วพูดว่า “หยวนชัง เจ้าเป็นอะไรไป”
หลี่หยวนชังพูดกับหลี่ซื่อหมินด้วยความเคารพว่า “แล้วแต่เสด็จพี่จะจัดการ ข้าเป็นคนร่างกายแข็งแรง แม้ว่าเกือบจะถูกคนร้ายฆ่าตายก็ไม่เป็นไร เรือที่ข้านั่งบนแม่น้ำก็จมอย่างไม่มีเหตุผลไม่ใช่หรือ ส่วนเสียงยิงของหน้าไม้สามขาก็ทำเอาข้าขวัญกระเจิง คืนนี้คงไม่มีหน้าไม้สามขาใช่หรือไม่”
ในห้องเต็มไปด้วยญาติพี่น้องตระกูลหลี่ ลูกพี่ลูกน้องอย่างหลี่เซี่ยวกงก็นั่งอยู่ด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นก็อยากจะลุกขึ้นพูดแต่กลับถูกหลี่เต้าจงที่อยู่ข้างๆ กดให้เขานั่งลง
หลี่หยวนบอกให้นางในที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด พูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “ไอ้หนุ่ม เจ้าอธิบายเรื่องนี้มาให้ชัดเจนแล้วเราค่อยเริ่มเดิมพันกัน ความจริงแล้วเจ้าก็ไม่ถือว่าเป็นคนนอก เจ้าเป็นลูกเขยของตระกูลหลี่ เจ้าคงไม่คิดว่าเรื่องนี้กะทันหันไปหรอกนะ อย่างไรอันหลานก็มีลูกให้เจ้าแล้ว เป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องอธิบายกันให้ชัดเจนจะดีกว่า”
อวิ๋นเยี่ยสีหน้าไม่เปลี่ยน ยังคงยิ้มและพูดว่า “ไท่ซังหวง หากไม่ใช่เพราะคำสั่งอันเข้มงวดของฝ่าบาทที่ไม่ให้ข้าทำให้ท่านต้องเสียพระทัย หัวของฮั่นอ๋องก็คงได้แขวนอยู่บนประตูเมืองฉางอันตั้งนานแล้ว คงไม่มีโอกาสรอดมาได้ถึงบัดนี้”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้ายอมรับว่าเขาเคยออกคำสั่งนี้กับอวิ๋นเยี่ย ถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดของจั่งซุนแต่ก็เหมือนกับเป็นคำพูดของเขาเองจริงๆ
“ไอ้หนุ่ม เรายังพอรู้จักความเป็นคนของเจ้าอยู่บ้าง เห็นความสัมพันธ์ของเครือญาติสำคัญมากกว่าผลประโยชน์ เจ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดมาให้เราฟังสักหน่อย เราจะเป็นคนตัดสินถูกผิดเอง” พูดจบก็หันไปมองหลี่ซื่อหมิน หลี่ซื่อหมินหัวเราะแล้วพยักหน้า
“ไท่ซงหวงเองก็คุ้นเคยกับการเดินทัพอยู่แล้ว ตอนนั้นผู้น้อยเป็นผู้นำของกองทัพเรือหลิ่งหนาน เอากองเดินเรือของผู้น้อยลงสู่น่านน้ำ บนเรือมีธงอักษรถังตัวใหญ่โบกสะบัดอยู่ เรือทุกลำในแม่น้ำต้องถอยหลีกทางให้กองทัพ ต้องรอให้กองทัพของข้าไปก่อนพวกเขาจึงจะแล่นไปต่อได้ ข้าขอถามไท่ซังหวงว่าในเวลานี้ข้าเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในแม่น้ำสายนี้ใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว เมื่อเรือกองทัพหลวงแล่นผ่าน การหลีกเลี่ยงคือสิ่งที่ควรจะกระทำ”
“แต่ว่าในเวลานั้นเอง กลับมีเรือของทางการแล่นเข้าใกล้กับกองทัพเรือ เพราะรู้ว่าเป็นฮั่นอ๋อง ดังนั้นกระหม่อมจึงได้ชะลอเรือให้เขาไปก่อน ใครจะไปรู้ว่าบนเรือทางการลำนั้นกลับมีผู้หญิงสองคนทำท่าทางยั่วยวนอยู่ จากนั้นเรือลำนั้นก็ถูกกระหม่อมขว้างหินใส่หนึ่งกองจนกลายเป็นเศษไม้”
“เหลวไหล เจ้าขว้างหินมาหลายสิบกองต่างหาก เสด็จพ่อ เห็นได้ชัดเลยว่าอวิ๋นเยี่ยต้องการจะเอาชีวิตของลูก”
หลี่หยวนพูดอย่างเบื่อหน่ายว่า “เขากำลังให้เวลาเจ้าหนีต่างหาก มิเช่นนั้นภายใต้การโจมตีของก้อนหิน เจ้าอาจกลายเป็นอาหารของปลาไปนานแล้ว ไอ้หนุ่ม เราเข้าใจความหมายที่ว่าฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ของสามกองทัพเป็นอย่างดี เรื่องทุบเรือก็ให้มันจบแต่เพียงเท่านี้ แต่เหตุใดต่อมาเจ้าต้องใช้หน้าไม้สามขายิงเขาด้วย อย่าบอกเราเชียวว่าเจ้าไม่ได้ต้องการชีวิตของเขา”
อวิ๋นเยี่ยยกมือขึ้นคำนับหลี่หยวนแล้วพูดว่า “ไท่ซังหวง ท่านคงไม่รู้ว่าตอนนั้นบนเรือของกระหม่อมเต็มไปด้วยทองคำและสมบัติ อาจกล่าวได้ว่าคลังสมบัติครึ่งหนึ่งของต้าถังอยู่บนเรือของกระหม่อม มีคนแอบดูจากฝั่งตอนเที่ยงคืน ท่านลองพูดมาสิว่าหากกระหม่อมไม่ใช้หน้าไม้สามขายิงแล้วควรจะใช้อะไร จะให้บุกขึ้นฝั่งทั้งๆ ที่ไม่รู้สถานการณ์ที่ชัดเจนหรือพะยะค่ะ ความจริงแล้วหากถูกยิงตายก็ถือว่าเขาโชคร้าย หากยิงไม่ตายก็ถือว่าเขาดวงแข็งก็แค่นั้น” อวิ๋นเยี่ยตอบอย่างไหลลื่น ต่อให้พูดเรื่องนี้อย่างไรตัวเองก็มีเหตุผลอยู่ดี