เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 17 การโจมตีของตัวต่อ
หลี่หยวนเอามือลูบหน้าแล้วเอ่ยกับอวิ๋นเยี่ยว่า “คืนนี้เรามาเดิมพันกันว่าเจ้าจะเป็นหนี้ทองคำเราหรือว่าเจ้าจะได้กระโจมไปให้ครอบครัวของเจ้า” หลังจากที่ฟังอวิ๋นเยี่ยเล่าเรื่องทั้งหมดเขาก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรถึงเรื่องพวกนี้อีก กระโจมของหลี่หยวนชังถูกเขายึดคืนมา
อวิ๋นเยี่ยไม่เข้าใจว่าทำไมหลี่หยวนจึงชอบใช้ลูกเต๋าที่เคลือบด้วยตะกั่วสามลูกนี้อยู่เสมอ เพราะว่ามันกระจายตัวได้ดีงั้นรึ คราวที่แล้วตัวเองแพ้ราบคาบจึงได้ทำลูกเต๋าส่วนตัวขึ้นมา ตอนนี้มันได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคของหลี่หยวนไปแล้ว การเล่นไพ่นกกระจอกไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ การทอยลูกเต๋าต่างหากคือทักษะที่แท้จริง
ขอแค่มีกำลังพอเหมาะ การที่จะทอยได้แต้มสูงก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากที่ชนะหลี่หยวนครั้งที่แล้วก็ลืมแลกกลับคืนมา ตอนนี้สิ่งนี้จึงได้กลายเป็นของหลี่หยวนไปแล้ว ไม่มีคำว่าพ่อลูกบนโต๊ะพนัน หลี่หยวน หลี่เฉิงเฉียน หลี่หยวนชัง หลี่เซี่ยวกง หลี่เต้าจง รวมทั้งอวิ๋นเยี่ยกำลังสุมหัวกันล้อมรอบโต๊ะเปิดการเดิมพัน เสียงดังออกไปไกลถึงข้างนอก แม้ว่าเฉิงเหย่าจินจะอยากเข้าไปเสี่ยงดวงดูสักครั้ง แต่เมื่อนึกถึงดวงตาที่เย็นชาของหลี่ซื่อหมินเขาก็ทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลายแล้วนอนหลับไปในโพรงหญ้า
ดูเหมือนว่าหลี่หยวนชังจะเดิมพันกับอวิ๋นเยี่ยโดยเฉพาะ หากอวิ๋นเยี่ยเลือกสูงเขาก็จะเลือกต่ำ ยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงกระโจมของเขาก็กลายเป็นของตระกูลอวิ๋นไปเสียแล้ว หลี่หยวนหัวเราะแล้วให้คนรับใช้ตั้งกระโจมให้ตระกูลอวิ๋น ส่วนตัวเองก็เริ่มเดิมพันกับอวิ๋นเยี่ยต่อ
แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าลูกเต๋ามีปัญหา โยนไปสิบตามีแปดตาที่ออกสูง แต่ว่าอุปกรณ์ที่ใช้ในการเดิมพันถูกจัดเตรียมโดยหลี่หยวน ดังนั้นหลี่เฉิงเฉียน หลี่เต้าจง หลี่เซี่ยวกงและคนอื่นๆ จึงเข้าใจได้ทันทีว่าควรจะเลือกสูง มีเพียงหลี่หยวนชังขี้โมโหและเพื่อนเขาทั้งสองคนที่เลือกต่ำ
เกมการเดิมพันออกจะน่าเบื่อมากทีเดียว เมื่อดวงจันทร์ลอยถึงกลางฟ้าหลี่หยวนชังก็เป็นหนี้อยู่ไม่น้อย เขาอ้าปากจะขอยืมเงินจากเสด็จพ่ออีกครั้ง แต่กลับถูกหลี่หยวนโบกมือไล่ บอกว่าเขาเป็นจอมล้างผลาญสมบัติ มีเท่าไหร่ก็แพ้หมด สู้รีบออกไปนอนในโพรงหญ้าเสียตอนนี้จะดีกว่า
เมื่อทุกคนต่างพากันเลือกสูง การเดิมพันก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ หลี่หยวนจึงต้องเปลี่ยนจากทอยลูกเต๋ามาเริ่มเล่นไพ่นกกระจอกกับอวิ๋นเยี่ย หลี่เต้าจง และหลี่เซี่ยวกงกันสี่คน
หลี่หยวนชอบการเดิมพันเป็นอย่างมาก แม้จะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่พลังงานก็ยังคงเหลือล้นเป็นร้อยเท่า อวิ๋นเยี่ย หลี่เซี่ยวกง และหลี่เต้าจงผู้น่าสงสารเมื่อตอนกลางวันต้องแบกของหนักเดินขึ้นภูเขากว่าหลายสิบลี้พากันหาวไปเล่นไพ่นกกระจอกไปเป็นเพื่อนกับชายเฒ่าแห่งตระกูลหลี่ เป็นไปได้ยากที่จะเอาชนะหลี่หยวนได้ในสภาพเช่นนี้ หลี่หยวนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งหลังจากชนะหลายตาติดกันทำให้เขากระปรี้กระเปร่ามากขึ้นกว่าเดิม
เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาทางด้านทิศตะวันออก หลี่เซี่ยวกงและอีกสามคนก็ง่วงจนแทบทนไม่ไหว ได้ยินเสียงกรี๊ดดังลั่นมาจากด้านนอกกระโจม “กรี๊ด ตัวต่อ แม่เจ้า ตัวต่อมาแล้ว” หลี่หยวนชังวิ่งกุมหัวเข้าไปในกระโจมของหลี่หยวน ด้านหลังมีตัวต่อขนาดใหญ่บินตามมาอีกหลายสิบตัว อวิ๋นเยี่ยหยิบเสื้อของหลี่หยวนเอามาคลุมหลี่หยวนไว้ กดเขาลงไปใต้โต๊ะแล้วเอาผ้าปูโต๊ะมาพันรอบตัวเขา หากเกิดอะไรขึ้นกับหลี่หยวน โทษของพวกเขาอาจร้ายแรงได้
น่าแปลก ตัวต่อเอาแต่บินตามหลี่หยวนชัง พวกมันไม่สนใจพวกหลี่เซี่ยวกงที่กำลังยุ่งวุ่นวายกับการเอาผ้ามาห่อตัว เหล่าคนรับใช้รีบวิ่งถือตาข่ายเข้ามา ไม่นานก็จับตัวต่อได้จนหมด จากนั้นก็นั่งคุกเข่าตัวสั่นอยู่กับพื้นรอรับการลงโทษ
เมื่อหลี่ซื่อหมินที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวเดียวรีบวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เขาก็เห็นว่าของในกระโจมกระจัดกระจายไปหมดจึงรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเห็นหลี่หยวนชังเอาตูดชี้ฟ้าหัวมุดเข้าไปบนเบาะเก้าอี้ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก สั่งประหารคนรับใช้ทั้งหมดโดยไม่ต้องพิจารณา
หลี่หยวนรีบคลานออกมาจากใต้โต๊ะเพื่อห้ามไม่ให้หลี่ซื่อหมินฆ่าคนรับใช้ของเขา ตัวเองมีคนรับใช้ที่คอยดูแลเอาใจใส่ไม่กี่คน หากประหารพวกเขาแล้วตัวเองก็ไม่เหลือใครให้บ่นแล้ว
เมื่อหลี่เซี่ยวกงดึงหลี่หยวนชังขึ้นมาจากเบาะนั่งก็ถึงกับถอนหายใจยาว เรื่องเกิดขึ้นแค่ในระยะเวลาอันสั้น แต่หัวของหลี่หยวนชังกลับเลอะเทอะไม่ต่างจากหัวหมู ไม่สามารถลืมตาได้เพราะใบหน้าปูดบวมไปหมด ปากเบี้ยวน้ำลายไหลออกมา ขนาดสภาพเป็นเช่นนี้ก็ยังจะตะโกนบอกว่า “อวิ๋นเยี่ยเป็นคนทำ เสด็จพ่อต้องจัดการให้ลูก ต่อให้ข้าตายก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
แม้แต่หลี่ซื่อหมินก็มองอวิ๋นเยี่ยด้วยความสงสัย อวิ๋นเยี่ยยิ้มแห้งแล้วส่ายหัวโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลี่หยวนมองดูลูกชายที่น่าสงสารแล้วพูดกับเขาว่า “รอบนี้เจ้าเข้าใจเขาผิดแล้ว ตั้งแต่เมื่อคืนวานจนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้ออกจากกระโจมไปไหนเลย ขนาดจะทำธุระก็ยังใช้กระโถน เพราะว่าพ่อกลัวว่าพวกเขาจะหนีการเดิมพันไป ดังนั้นเรื่องนี้อาจมีบางอย่างแอบแฝงแต่ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา”
หลี่หยวนชังร้องไห้ขึ้นมาทันที เวลานี้เขารู้สึกกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ หากไม่ใช่อวิ๋นเยี่ยแก้แค้นเขา เช่นนั้นก็เหลือหลี่ซื่อหมินอยู่คนเดียวแล้ว ทำแบบนี้เท่ากับว่าจะให้เขาถูกต่อต่อยตายทั้งเป็น
หลี่หยวนร้องไห้แล้วพูดกับหลี่ซื่อหมินว่า “ปล่อยเขาไปเถิด ข้าจะให้ลูกตัวเองตายอีกไม่ได้แล้ว” ในเวลานี้หลี่หยวนที่อยู่มานานก็ได้นึกถึงวันที่เลือดไหลดั่งสายน้ำอีกครั้ง อดไม่ได้ที่จะร้องขอให้หลี่ซื่อหมินปล่อยหลี่หยวนชังไป
“เสด็จพ่อ หากลูกเป็นคนทำเรื่องนี้ก็ขอให้ลูกถูกฟ้าผ่า แม้ตายก็ไม่มีที่ฝังศพ” พูดจบก็คุกเข่าลงต่อหน้าหลี่หยวน
เมื่อได้ยินคำยืนยันของหลี่ซื่อหมิน หลี่หยวนจึงหยุดร้องไห้ทันที เขารู้ดีว่าหลี่ซื่อหมินเป็นคนเช่นไร หากเขาบอกว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าเขาไม่ได้ทำอย่างแน่นอน ลูกชายคนนี้เป็นผู้รักษาสัจจะเสมอ
หลี่หยวนพยุงหลี่ซื่อหมินขึ้นมาแล้วพูดว่า “เราเข้าใจเจ้าผิดไป ในเมื่อเจ้าพูดแล้วว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าไม่ใช่เจ้า แต่ว่าเจ้าต้องหาตัวคนร้ายที่ทำร้ายหยวนชังมาทุบให้แหลกเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความแค้นในใจให้เรา”
หลี่ซื่อหมินพยักหน้าตกลงและสั่งให้คนรับใช้ทำความสะอาดกระโจม ส่วนตัวเองพาหลี่เซี่ยวกงและคนอื่นๆ ออกไปจากกระโจม พึ่งจะออกมาจากกระโจม ดวงตาดุร้ายของหลี่ซื่อหมินก็จ้องไปที่อวิ๋นเยี่ยแล้วถามว่า “ไอ้หนุ่ม เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าจริงๆ หรือ หากเจ้าคิดจะหลอกไท่ซังหวง เจ้าก็สามารถทำได้แม้จะอยู่ภายใต้การจับตามองของเขา”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มกว้างจนเห็นฟัน โบกมือไปมาเพื่อจะบอกว่าตัวเองไม่รู้เรื่องจริงๆ หลี่ซื่อหมินพยักหน้า เขายังคงเชื่อใจอวิ๋นเยี่ย ในเมื่อบอกว่าไม่ได้ทำก็แสดงว่าเขาไม่ได้ทำ การตัดสินของหลี่ซื่อหมินนั้นแม่นยำอย่างยิ่งในเรื่องนี้
ฮั่นอ๋องที่อยู่มานานเกือบจะถูกตัวต่อต่อยจนตาย เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายไปทั่วค่ายอย่างรวดเร็ว ข่าวลือแพร่กระจายไปในทันทีโดยกล่าวว่าฮั่นอ๋องถูกพระเจ้าลงโทษในวันบวงสรวงสวรรค์ดีๆ เช่นนี้ นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่ดีนัก
หลังจากตรวจสอบทั่วทั้งค่ายแล้วก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าใครเป็นคนทำ อีกเพียงหนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาเปิดพิธีแล้ว จะรอช้าไม่ได้อีก มองดูอวิ๋นเยี่ยที่หาวเอาเป็นเอาตาย หลี่ซื่อหมินก็อดไม่ได้จึงปล่อยให้เขาไปพักผ่อนสักครู่ ตัวเองลองใช้สมองคิดไตร่ตรองดูอีกครั้งว่าใครน่าสงสัยที่สุด
แน่นอนว่าอวิ๋นเยี่ยรู้ดีว่าใครเป็นคนทำ นอกจากหลี่ไท่แล้วก็ไม่มีใครทำได้ ตอนแรกคิดว่าเขาล้มเลิกแผนการแก้แค้นไปแล้วเสียอีก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะกล้าดำเนินการตามแผนของตัวเองในเวลานี้ เงาในวัยเด็กของเขาได้คอยทำร้ายเขาอยู่ตลอด
หลี่เค่อหยิบถุงกระดาษน้ำมันออกมาจากแขนเสื้อแล้วส่งให้อวิ๋นเยี่ย เมื่อเปิดออกจึงได้รู้ว่าเป็นขาไก่ที่มีมันเยิ้ม ถอนหายใจแล้วห่อกระดาษน้ำมันใส่ไว้ในแขนเสื้ออีกครั้ง บ่ายวันนี้ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล ไม่รู้ว่าท่านย่าจะทนไหวหรือไม่
“ชิงเชวี่ยทำเกินไปแล้ว ในเวลานี้ไม่ควรทำเรื่องเช่นนี้ จะทำให้เกิดการขัดแย้งในราชวงศ์” หลี่เค่อพูดเบาๆ อยู่ข้างอวิ๋นเยี่ย ไม่ได้มีเพียงแค่เขาที่รู้ คาดว่าหลี่เฉิงเฉียนก็คงพอจะเดาออกอยู่บ้าง แต่ดูจากที่เขาไม่ได้พูดอะไรเลยในตอนนั้นแสดงว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทรยศน้องชายของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตอนนี้หลี่เค่อกำลังบอกอวิ๋นเยี่ยเกี่ยวกับความกังวลของเขาเพื่อให้อวิ๋นเยี่ยคิดหาทางออกให้หลี่ไท่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เกิดผลเสียเป็นอย่างมาก สิ่งที่เราทำได้คือปิดปากเงียบจนกว่าพิธีจะจบลง คาดว่าชิงเชวี่ยคงจะบอกกับฮองเฮาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝ่าบาทคงไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ชิงเชวี่ยคงมีวิธีรัดกุมพอที่จะรับมือกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เราแค่รอดูความเปลี่ยนแปลงก็พอ” อวิ๋นเยี่ยมั่นใจในความฉลาดของหลี่ไท่
กระโจมของตระกูลอวิ๋นตั้งตระหง่านอยู่กลางค่าย เมื่อคืนซินเย่วเชิญเหล่าบรรดาผู้หญิงที่ใกล้ชิดกับตระกูลอวิ๋นเข้ามาพัก ถึงแม้ว่าจะแออัดเสียหน่อยแต่ก็ดีกว่านอนในโพรงหญ้า แต่สุดท้ายก็มีเพียงท่านย่าตระกูลอวิ๋นและหญิงชราสองสามคนเท่านั้นที่เข้ามาพัก แล้วยังมีเด็กน้อยอีกยี่สิบกว่าคน เมื่ออวิ๋นเยี่ยเดินไปที่ข้างกระโจม ซินเย่วได้หยุดเขาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ลำบากท่านพี่เสียแล้ว ตระกูลอวิ๋นไม่เคยมีหน้ามีตาเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้เมื่อคืนข้าจะนอนหลับอยู่ในโพรงหญ้าแต่ก็มีความสุขเป็นอย่างมาก”
“แต่สามีของเจ้าไม่สบายเอาเสียเลย ต้องเล่นไพ่นกกระจอกทั้งคืน ตอนนี้ง่วงจะตายอยู่แล้ว โพรงหญ้าที่เจ้านอนเมื่อคืนอยู่ที่ไหน ข้าจะไปนอนหลับพักผ่อนเสียหน่อย”
มันคือโพรงหญ้าแห้งจริงๆ ด้วย พิธีศักดิ์สิทธิ์ของหลี่ซื่อหมินโบราณสุดๆ แต่เขาไม่อยากสนใจอะไรแล้ว พึ่งจะโน้มตัวลงนอนในโพรงหญ้าก็ได้ยินเสียงกรนดังขึ้นมาแล้ว ซินเย่วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาคลุมให้เขา นั่งข้างๆ แล้วไล่แมลงวันที่น่ารำคาญเหล่านั้น
อยู่ๆ ไฮปาเทียก็โผล่มาอย่างกับผี พูดกับซินเย่วเบาๆ ว่า “ข้ารู้ว่าองค์ชายโดนต่อต่อยได้อย่างไร”
ซินเย่วร้องด้วยความตกใจแล้วรีบเอามือปิดปากตัวเอง มองไปรอบๆ พบว่ารอบตัวไม่มีคน จึงได้ถามไฮปาเทีย “เจ้าได้บอกคนอื่นหรือยัง”
ไฮปาเทียพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้ายังไม่ได้บอกใคร ข้ามีเจ้าเป็นเพื่อนเพียงแค่คนเดียว แน่นอนว่าข้าต้องบอกเจ้าเป็นคนแรก”
ซินเย่วพูดกับไฮปาเทียอย่างจริงจังว่า “เจ้าต้องปิดปากเงียบ เจ้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าเองก็ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เจ้าคิดว่าบนโลกนี้มีเจ้าคนเดียวที่ฉลาดหรือ สามีข้าฉลาดเช่นนี้ยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย คนฉลาดอื่นๆ ในค่ายก็ยังไม่รู้อะไรเลย หรือเจ้าคิดว่าพวกเขาไม่ฉลาดเท่าเจ้า หากเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่อย่างสงบและสอนหนังสือในสำนักศึกษา เจ้าก็ต้องปิดปากเงียบ เรื่องต่อแตนพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้หญิงอย่างเรา นั่นคือสิ่งที่พวกผู้ชายควรจัดการกันเอง”
ไฮปาเทียไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินคำเตือนของซินเย่วก็หน้าซีดไปในทันที ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่าที่ไฮปาเทียรุ่นแรกเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชเป็นเพราะได้มีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างอำนาจของกษัตริย์และศาสนา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความภาคภูมิใจเมื่อครู่ได้กลายเป็นความกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแทน ขยับเข้าไปใกล้ซินเย่วเพื่อต้องการคนปลอบใจ เมื่อซินเย่วเห็นว่าไฮปาเทียขยับเข้ามาใกล้ตัวเองจึงอดคิดถึงคำพูดที่สามีพูดกับตัวเองไม่ได้ ดูเหมือนว่าไฮปาเทียจะชอบผู้หญิงมากกว่า ไม่ได้การแล้ว จึงรีบลุกขึ้นมาแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่งของสามี