เจาะเวลาสู่ต้าถัง - ส่วนที่ 10 ฆ่าฟัน ตอนที่ 24 วิธีปลุกสิงโตให้ตื่น
หลี่จิ้งไม่ใช่คนดี ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนดีแน่นอน ตอนที่หลี่หยวนออกรบเขาก็เคยทรยศตระกูลหลี่ หากไม่ใช่เพราะคำพูดของหลิวเหวินจิ้ง เขาคงจะตายไปตั้งนานแล้ว
เขามักจะยืนผิดฝั่งในช่วงเวลาสำคัญเสมอ หลี่ซื่อหมินอยากจะจัดการพี่ชายน้องชายของตัวเองและขอให้เขาเป็นคนทำ แต่เขากลับเลือกที่จะไม่ช่วยใครทั้งนั้น คนหนึ่งคือแม่ทัพอันดับหนึ่งของต้าถัง ช่วยไม่ได้ เพราะการขาดความรู้เรื่องการเมืองมักจะทำให้เขาต้องอยู่ในตำแหน่งที่น่าอับอายเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีใครใจกว้างพอที่จะยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ หากมีจริงๆ นั่นก็คือทะเล ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคน หลี่ซื่อหมินไม่ใช่คนใจกว้างอยู่แล้ว เขารู้จักแค่การตัดสินเรื่องราวอย่างเย็นชาและรู้จักแค่ใครมีประโยชน์ต่อเขา หากมีประโยชน์ต่อเขา เรื่องอื่นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องไปสนใจก็ได้
ตอนนี้หลี่จิ้งมีประโยชน์ต่อเขามาก เขายังต้องการชื่อเสียงของหลี่จิ้งในการโน้มนาวใจเหล่าขุนนาง ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะลืมความผิดพลาดที่หลี่จิ้งเคยทำ ตอนนี้แม้แต่โหวจวินจี๋ยังกล้าที่จะสงสัยหลี่จิ้ง แม่ทัพที่มีชื่อเสียงคนนี้คิดถึงอนาคตของตัวเองอยู่เสมอ แต่ช่างน่าเสียดาย กลยุทธ์ส่วนใหญ่ของเหล่าแม่ทัพมักจะมักง่าย เขาแค่เรียนรู้กลยุทธ์มาจากแม่ทัพของราชวงศ์ฉิน นั่นคือการทำให้ตัวเองเป็นมลทิน ทำให้เหล่าขุนนางไม่พอใจแต่ก็ไม่ทำให้พวกเขาถึงกับตาย ตอนนี้คือโอกาสที่ดี ก็แค่กลุ่มลูกเศรษฐี ตัวเองจัดการไปซะให้เรียบร้อย มากสุดก็แค่ทำให้พวกเขาไม่พอใจ แต่ไม่มีทางทำให้พวกเขาโกรธแค้น
ความรู้สึกของอวิ๋นเยี่ยที่มีต่อหลี่จิ้งนั้นช่างซับซ้อน เขาสงสารแม่ทัพที่น่าสงสารคนนี้เข้ากระดูก ดังนั้นเขาจึงยอมทนหลี่จิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะความเคารพ เขาจึงยอมเอาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่อ่อนแอกว่า
คิดดูแล้วก็ไม่ผิด แม่ทัพผู้ไร้เทียมทานในสนามรบ แค่กลับมาที่ฉางอันก็กลายเป็นเต่าหัวหดในทันที ปิดประตูบ้านใช้ชีวิตของตัวเองไป แม้แต่กองทัพของตัวเอง เขายังรู้สึกว่ามันอ่อนแอไปหน่อย
ส่วนฉิวหรันเค่อคือนักรบตั้งแต่กำเนิด เขาต้องผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดหรือผ่านแขนขาของเขาไปจึงจะสามารถเปิดหัวใจที่ปิดอยู่ของเขาได้ เป็นซ่านอิงไม่ได้เพราะหากได้รับบาดเจ็บขึ้นมาเขาจะถูกต้ายาวุ่นวายจนรําคาญ อู๋เสอล่ะ ก็ไม่ได้เหมือนกัน น่าจะกำลังยุ่งอยู่กับการฝึกลูกศิษย์ของตัวเองทั้งวัน เวลาที่เหลือก็จะไปดื่มชา ล่องเรือกับผู้เฒ่าคนอื่นๆ อีกสองสามคน บางครั้งคึกคะนองหน่อยก็จะไปจับเสือที่ส่วนลึกของภูเขาฉินหลิ่ง ไปจับมาให้ลูกศิษย์ของตัวเองฝึก คนที่เกษียณไปแล้วอย่างเขา อย่าไปรบกวนชีวิตที่สงบสุขของเขาเลยจะดีกว่า
ในวังหลวงมักจะมียอดฝีมืออยู่เสมอ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะปรากฏตัวออกมาตลอดด้วย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลี่ซื่อหมินไปเอายอดฝีมือพวกนี้มาจากไหนนักหนา อู๋เสอจากไปแล้ว ก็มีต้วนหงเข้ามาแทนที่ทันที ฝีมือของไอ้เจ้านี่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าอู๋เสอไม่น้อยทีเดียว ไม่เอาเขาออกมาใช้งาน มันคงผิดต่อฝีมือของเขาจริงๆ
ช่วงนี้ในวังหลวงมีผู้คนไปๆ มาๆ คึกคักเป็นอย่างมาก ของขวัญเป็นลำรถม้าถูกส่งเข้าไปในวัง สาวใช้เป็นกลุ่มถูกมอบให้กับคนนั้นคนนี้ ตระกูลของเหล่าเฉิงก็ยังได้รับ
หลิวเจิ้งฮุ่ย ตาเฒ่าคนนั้นยังสนใจที่จะหาผู้หญิงอีกเหรอ แค่เดินก็ยังแทบเดินไม่ไหว เห็นรถม้าของตระกูลเขาพึ่งจะเอาสาวใช้กลับไปด้วยสี่คน หน้าตาไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ถือว่างดงามเป็นที่สุด แต่คำอุปมาที่ว่าทำให้คนรักและเอ็นดูคงเป็นคำที่เหมาะสมดีแล้ว หลิวเจิ้งอู่ที่เมื่อวานปวดท้องหนัก ตอนนี้กลับติดสินบนคนรับใช้ด้วยท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส คาดว่าสาวใช้สี่คนนี้คงจะหนีไม่พ้นมือของเขา
“ทำไมตระกูลข้าไม่มีล่ะ” อวิ๋นเยี่ยพึมพำอย่างขมขื่น ถึงแม้ว่าเอากลับไปมันอาจจะเป็นปัญหาใหญ่ แต่ว่าคนอื่นยังมี ทำไมตัวเองถึงไม่มี นี่มันคือการเหยียดหยาม
“เยี่ยจึ หากเจ้าอยากได้ กลับไปแล้วข้าจะเอาคนหน้าตาดีแปดคนส่งไปให้เจ้าที่บ้าน” หลี่เฉิงเฉียนสวมชุดมังกรลายดอกไม้สีเขียวยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นเยี่ยราวกับตุ๊กตาผ้า คาดว่าเขาน่าจะมาถึงได้สักพักแล้ว ได้ยินเสียงพึมพำของอวิ๋นเยี่ย เขาจึงพูดออกมา
“หยุดเลย เจ้าไม่ใช่ไม่รู้ว่านิสัยซินเย่วเป็นเช่นไร แต่งกับน่ารื่อมู่แขนของข้าเขียวตั้งสองสามวัน หากเอากลับบ้านไปแปดคน นางคงจะกล้าฆ่าตัวตาย เพื่อความสงบสุขอันยาวนานของครอบครัว พักไว้ก่อนเถอะ”
“เจ้าเป็นคนใจอ่อน หากอยู่ในวังตะวันออก ตระกูลซูไม่กล้าที่จะพูดสักคำ” หลี่เฉิงเฉียนจงใจยืดหน้าอกตัวเองขึ้น เสแสร้งทำเป็นเย่อหยิ่ง
“ตระกูลซูไม่กล้าพูด แต่ข้าไม่เชื่อว่าตระกูลโหวจะไม่กล้าพูด? ลูกสาวของเหล่าแม่ทัพต่างก็เรื่องมากกันทั้งนั้น ครอบครัวของเจ้ากฎระเบียบเยอะแยะ นางไม่กล้าทำอะไรประเจิดประเจ้อแต่ก็คงแอบทำอะไรเจ้าอย่างลับๆ อยู่บ่อยครั้งใช่หรือไม่”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในวังหลวง โดยทั่วไปจะไม่มีใครกล้าทำอะไรกับพวกเขาทั้งสองคน แต่วันนี้ ทหารองครักษ์ของวังกลับหยุดพวกเขาไว้ ค้นตัวพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถึงได้ปล่อยไป
ดูเหมือนว่าหลี่เฉิงเฉียนจะรู้อยู่แล้ว ถูกค้นตัวก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ยืนอยู่ตรงนั่นนิ่งๆ อวิ๋นเยี่ยเห็นสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ทำได้แค่ทำตาม ในวังมักจะออกกฎระเบียบแปลกๆ อยู่ตลอด
ต้วนหงมักจะมีใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่ารอยยิ้มของเจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนเลย เผยให้เห็นฟันแปดซี่ มุมปากก็มักจะยกขึ้นมาในองศาเดียวกันตลอด แต่เมื่อมันมาอยู่กับดวงตาที่เย็นชาของเขา มันมักจะยั่วให้คนอื่นนึกอยากจะต่อยหน้าเขาสักหมัด
หลี่ซื่อหมินไม่มีเวลาไปเจอกับอวิ๋นเยี่ย เขากำลังต้อนรับทูตเเดนเกาลี่อยู่ ได้ยินคนรับใช้บอกว่าอวิ๋นเยี่ยอยากจะยืมตัวต้วนหงไปรักษาอาการป่วยของสหายของหลี่จิ้ง เขาจึงเห็นด้วยอย่างใจกว้าง อวิ๋นเยี่ยบอกลาหลี่เฉิงเฉียนแล้วเตือนเขาว่าหลี่จิ้งอาจจะมาหาเรื่องเขา จากนั้นก็พาต้วนหงเดินออกไปจากพระราชวังอย่างมีความสุข
ขณะอยู่ในรถม้าต้วนหงก็ยังคงยืนอยู่ โน้มตัวลงเล็กน้อยเพราะหัวติดหลังคา ถึงแม้ว่ารถม้าจะวิ่งเร็วแค่ไหนแต่เจ้านี่ก็ไม่แม้แต่จะขยับตัวแม้แต่น้อย
“ในรถมีแค่เราสองคน เจ้านั่งลงไม่ได้หรือ ข้าจะพูดกับเจ้ายังต้องเงยหน้าขึ้น ลำบากยากเย็น”
“ข้าน้อยยืนดีกว่า หากเกิดอะไรขึ้น ข้าน้อยจะได้วิ่งออกไปเร็วๆ”
“นั่งรถม้าไปรักษาคนป่วย จะมีอันตรายได้เช่นไร ข้าไม่หลอกเจ้าอยู่แล้ว นั่งลง เรามาคุยกันว่าจะรักษาคนป่วยยังไง เจ้าเป็นกำลังหลัก”
ต้วนหงถอนหายใจและพูดว่า “ท่านโหว บ้านท่านมียอดฝีมืออย่างอู๋เสออยู่แล้ว เหตุใดต้องดึงข้าน้อยมาด้วย พระภิกษุรูปนั้น ก่อนจะออกบวชก็เคยเป็นฉิวหรันเค่อที่มีชื่อเสียง ตอนนี้กลายเป็นคนบ้าไปแล้ว ชายชาติทหารอย่างเขา หากอยากจะจดจำเรื่องราวในอดีตได้ วิธีที่ดีที่สุดคือจัดการต่อสู้ที่ดุเดือด หรือกระตุ้นทางประสาทสัมผัสถึงจะได้ผล เห็นได้ชัดว่าท่านเลือกวิธีแรก ข้าน้อยก็คือผีผู้เคราะห์ร้ายที่ต้องไปต่อสู้กับคนบ้าคนนั้นใช่หรือไม่”
“เจ้าก็รู้เรื่องแบบนี้หรือ เยี่ยมมาก เมื่อครู่ข้ายังไม่รู้ว่าจะบอกเจ้ายังไงดี แต่ตอนนี้สะดวกขึ้นมากแล้ว ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่ในวังจนเบื่อ ข้าเลยหางานดีๆ ให้เจ้า คนที่มีศิลปะการต่อสู้ระดับเจ้า คู่แข่งคงจะหาได้ยาก การมียอดฝีมือมาฝึกฝีมือกับเจ้าเป็นเรื่องที่ดี ตอนนี้เจ้าคงจะตื่นเต้นมากใช่หรือไม่” อวิ๋นเยี่ยตกใจที่ต้วนหงรู้วิธีนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาอดไม่ได้ที่จะมองไอ้เจ้านี้ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ความคิดของต้วนหงบินออกไปไกลตั้งนานแล้ว นึกถึงภาพฝึกการต่อสู่ของตัวเองเมื่อตอนยังเด็ก ในใจของเขาก็รู้สึกหดหู่อย่างไม่มีสิ้นสุด ฝึกการต่อสู้ ฝึกจนคนเป็นบ้าไปแล้วตั้งหลายคน ความเจ็บปวดของการถูกดึงข้อต่อกระดูก ไม่ใช่ความเจ็บปวดธรรมดาที่คนจะทานทนได้ อยากจะปลุกคนบ้าพวกนั้นให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากการต่อสู้ก็ไม่มีวิธีอื่น ตัวเองเคยเข้าร่วมการต่อสู้แบบนี้แล้วสองครั้ง รอยหลุมบนไหล่นั่นก็คือชิ้นเนื้อที่โดนคนบ้ากัดออกไปสดๆ
พยายามไม่ไปคิดถึงความเจ็บปวดที่อยู่บนไหล่แล้วพูดกับอวิ๋นเยี่ยอย่างเคร่งขรึม “อวิ๋นโหว ท่านอย่าคิดว่าข้าจะออมมือ การต่อสู้กันระหว่างยอดฝีมือ หากไม่ยืนหยัดในชัยชนะก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ไม่เป็นไร ข้าเตรียมตาข่ายขนาดใหญ่ไว้บนหัวของพวกเจ้า หากถึงจุดที่มันควบคุมไม่ได้ ข้าก็จะปล่อยมันลงมาจับพวกเจ้าเอาไว้ ไม่ต้องกังวล ข้ามีการเตรียมพร้อม”
ต้วนหงมองดูใบหน้าที่พูดจาส่งเดชของอวิ๋นเยี่ย จะให้เขาไม่กังวลได้อย่างไร เขาทำได้แค่อธิษฐานให้ตัวเองเท่านั้น
มาถึงที่บ้านของตระกูลหลี่ ในศาลาที่สวนหลังบ้าน ชายร่างใหญ่กำลังจัดการกับแกะย่าง แทะกินอย่างดุร้าย ธิดาแส้แดงยืนรับใช้อยู่ข้างๆ เช็ดไขมันออกจากมุมปากให้เขาด้วยความอดทน เทเหล้าให้เขา บนพื้นมีไหเหล้าเปล่าสองสามไหวางอยู่เรี่ยราด รู้จักแต่กินกับดื่มเหล้าจริงๆ
จนถึงทุกวันนี้อวิ๋นเยี่ยยังคงลืมรองเท้าที่เตะเข้ามาที่แก้มของตัวเองไม่ลง แค่เขาเห็นหน้าฉิวหรันเค่อเขาก็รู้สึกโมโหขึ้นมา พยักหน้าให้ต้วนหง ตัวเองเดินมาพูดกับธิดาแส้แดง “ข้าน้อยอวิ๋นเยี่ย เว่ยกงสั่งให้ข้ามารักษาอาการป่วยของผู้เฒ่าท่านนี้ เริ่มตอนนี้เลยดีหรือไม่ขอรับ”
ธิดาแส้แดงมองดูฉิวหรันเค่อด้วยความกังวล ปาดน้ำตาตัวเองแล้วตอบกลับอวิ๋นเยี่ยเบาๆ “จ้งเจียนบ้าคลั่งเกินไป ข้าเรียกเขาให้ตื่นไม่ได้จริงๆ ต้องรบกวนใช้วิธีของอวิ๋นโหว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าก็ต้องขอบคุณเป็นอย่างมาก” พูดจบก็ยืนดูอยู่ห่างๆ ดูว่าอวิ๋นเยี่ยจะทำให้ฉิวหรันเค่อตื่นขึ้นมาได้เช่นไร
ต้วนหงถือเหล้าไหหนึ่งมาที่ศาลา เมื่อเดินผ่านฉิวหรันเค่อ มีดสั้นแวววาวก็กรีดเข้าไปที่ใต้ท้องของฉิวหรันเค่อผู้กำลังดื่มกินอย่างเอร็ดอร่อย ฉิวหรันเค่อที่กำลังก้มหน้าก้มตากินช้าไปครึ่งก้าว มีดสั้นได้กรีดเป็นรอยเลือดที่ตัวของเขาเสียแล้ว
ภายใต้ความตกใจและความรู้สึกโมโหของฉิวหรันเค่อ เขาเตะโต๊ะจนบินว่อน เนื้อแกะ เหล้าชั้นดีและขนมต่างๆ นานาที่อยู่บนโต๊ะล้วนกระเด็นใส่ต้วนหง ต้วนหงก้มตัวลงแล้วกลิ้งไปใต้เท้าของฉิวหรันเค่อ เหวี่ยงมีดสั้นที่แวววาวอีกครั้ง กรีดเข้าไปที่ขาของคู่ต่อสู้อีกแผล ฉิวหรันเค่อนั้นราวกับว่าไม่รู้สึกรู้สาอะไร เขายกหมัดขึ้นก่อนจะชกลงมา เขามีแรงมากทีเดียว หมัดนี้มาพร้อมกับเสียงลมผ่านข้างหูของต้วนหงไป ถึงเขาจะหลบหมัดแรกไปได้แต่ไม่มีทางหลบหมัดที่สองได้ ไขว้แขนกันไปมา ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น ต้วนหงบินออกไป ขณะที่กำลังจะบินพ้นออกไปจากศาลา เขาก็ใช้มือเกี่ยวที่เสาแล้วกระโจนเข้าใส่ฉิวหรันเค่ออีกครั้งหนึ่ง มีดสั้นแทงเข้าไปที่หลังศอกเขาเต็มๆ
ฉิวหรันเค่อตะโกนเสียงดัง หมัดของเขาแทบไม่ห่างออกจากหัว หน้าอก ช่วงท้องและกลางท้องของต้วนหงเลย อวิ๋นเยี่ยคิดว่าหากเป็นตัวเขาเองถูกชกเข้าสักทีหนึ่ง เขาคงจะตายไปแล้ว แต่ไม่ว่าหมัดจะเร็วแค่ไหน ต้วนหงก็มักจะหลบหลีกได้ตลอด แล้วยังสามารถทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้นทุกครั้งด้วย
ผ่านไปไม่นาน ทั้งตัวฉิวหรันเค่อก็เต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าที่ดุร้ายก็ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ ความเร็วของหมัดก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดต้วนหงก็ช้าไปหนึ่งก้าว เขาถูกชกเข้าให้เต็มๆ ต้วนหงนะต้วนหง คอเคล็ดไปทีหนึ่ง ทันใดนั้นมีดเล็กๆ ที่อยู่ในเส้นผมของเขาก็จ่อเข้าไปที่บริเวณระหว่างคิ้วของฉิวหรันเค่อ…